วิทยาศาสตร์ที่ถูกบิดเบือน : กรณี "ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น"


      สถานภาพล่าสุดของประเด็นนี้
มีต่อ
ไอน์สไตน์น้อย หัวใจพุทธ

เจอกันใหม่ โอกาสหน้ากับ กับ บทความ พุทธศาสน์ อยู่ เหนือ วิทยาศาตร์ แต่มีความสัมพันธ์กันในหลักการของเหตุและผล............

หนูก็ออ่นหนังสือเล่มนี้ คิดว่าก็ได้ความรู็ แต่ติดอยู่ที่ว่า เหมือน ท่านผู็เขียน จะเหมือนหลงตัวเองนิดหน่อย และข็อมูลที่อาจไม่เป็นจริง แต่ท่านยืนยังว่าจริง เช่น วิญยานไม่มีจริงจิตดับ แล้วเกิดทันที จริงหรือเปล่า แล้วคนที่เห็นวิญานไปนี่คืออะไร หนูมีประสบการณ์มากลับตัว หรือ จินตนาการไปเอง งง และท่านพูดเรื่องภพ แลว้ท่านไม่ได้พูดถึงภพของวิิญญานซึ่งก็อาจมีจริง

สวัสดีครับ ผมก็เป็นหนึ่งคนที่ได้มีโอกาสอ่านหนังสือของ ทพ.สม สุจีรา ...ก่อนหน้านี้ ผมก็เป็นชาวพุทธ(ตามทะเบียนราษฎร์)มิได้เข้าใจลึกซึ้งในธรรม ของพระพุทธองค์ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของผมมีมากกว่าความรู้ทางพุทธศาสตร์เสียอีก แต่ด้วยความที่ผมเกิดและเติบโตมาจากสังคมชนบท ซึ่งก็ซึมซับพุทธศาสตร์(ที่ผสมกับฮินดู)มาแต่เล็กแต่น้อย ตอนเด็กๆจึงกลัวผีจนอุจาระขึ้นลิฟท์ไปบนสมองได้ง่ายๆตามแบบฉบับความเชื่อแถวสังคมชนบท พอเติบใหญ่ได้เรียนรู้เรื่องของวิทยาศาสตร์ ก็เริ่มคลายความกลัวในเรื่องที่วิทย์พิสูจน์ไม่ได้ จนในที่สุดแทบจะหมดความกลัวไปเสียสิ้น เห็นเรื่องผี วิญญาณเป็นเรื่องที่เหลวไหลไปในที่สุด ด้วยความที่เติบโตมาจากหลังกุฏิ ก็พอจะรู้และเรียงศีลห้าถูกต้อง(ซึ่งผมก็มาแปลกใจภายหลังเมื่อรู้ว่าวัยรุ่นสมัยนี้แทบไม่รู้เรื่องศีลห้า เรียงข้อไม่ถูก) แต่ผมก็แค่รู้แล้วเรียงข้อได้ถูก แต่..ทำไม่ได้ทำไม่ถูกซักข้อ !! ผมทำงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ให้ความรู้กับชาวต่างชาติ(ซีกตะวันตก หรือที่เราเรียกว่า ฝรั่ง นั่นแหละครับ) ในเรื่องศิลปะ-วัฒนธรรม ของเรา ซึ่งก็คงไม่พ้นเรื่องของศาสนา ซึ่งผมก็ให้ความรู้ตามตัวหนังสือที่เขียนๆกันในพุทธประวัติแบบนั้นทุกครั้งที่ชาวต่างชาติถาม เชื่อไหมครับ กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของชาวต่างชาติที่ผมพบเจอมา ไม่รู้จักศาสนาพุทธหรือรู้แค่ชื่อของศาสนานี้ว่ามีอยู่บนโลก ไม่ค่อยมีความสนใจกับศาสนาพุทธ พอถ้าเราให้ข้อมูลตามตัวหนังสือ ชาวต่างชาติแทบจะหมดความสนใจในศาสนาพุทธ ง่วงหงวาวหาวนอน ในพุทธประวัติ(ซึ่งผมก็เล่าไปได้ละเอียดพอสมควร) ส่วนใหญ่มองเป็นความเชื่ออย่างงมงาย(แต่ก็มิกล้ากล่าววาจาล่วงเกินอันใด) ณ ตอนนั้น ผมนึกไม่ออกจริงๆครับ ว่าจะทำให้ศาสนาพุทธเราน่าสนใจสำหรับฝรั่งยังไง(อาจเป็นเพราะผม ไม่รู้วิธีโยงศาสนาพุทธให้สามารถเทียบเคียงกับวิทยาศาสตร์ยังไง? ควรจะยกตัวอย่างอธิบายแบบไหน?) จนกระทั่งผมได้มีโอกาสไปเจอหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า"ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น" ไม่ได้สนใจว่าใครเขียน แต่ก็ได้ยืนอ่านดูเนื้อหารวมๆ เห็นวิธีการโยงเรื่องของผู้เขียน ซึ่งเป็นที่น่าสนใจของผมเป็นอย่างมาก จึงซื้อมาอ่าน แล้วก็เกิดอาการสนใจในทฤษฏีของไอน์สไตน์ขึ้นมาจึงได้มีโอกาสเลือกซื้อหนังสือในเรื่องนี้มาอ่านเสริมความรู้อีก(ซึ่งของเป็นของ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นั่นเองครับ) ซึ่งจุดประสงค์ของผมก็เพื่อเอาไว้อ้างอิงกับการค้นพบของพระศาสดาของเรา ให้ได้พอเข้าใจแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินั่นเอง ซึ่งท่านดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ ก็ได้เขียนให้ความรู้อย่างละเอียดเป็นอย่างดี ในที่สุดเล่มที่สอง(ของ ทพ.สม)ก็ตามมาในชื่อว่า "เกิดเพราะกรรมหรือความซวย" ซึ่งผมก็เห็นว่าเป็นโยงเรื่อง อธิบายเปรียบเทียบกับวิทยาศาสตร์ได้เห็นภาพเป็นอย่างดี นี่เป็นจุดแรกที่จุดประกายให้ผมก้าวเข้ามาศึกษาพระธรรมอย่างจริงจัง ตลอดจนศึกษาชีวประวัติของพระอริยสงฆ์หลายๆพระองค์(ซึ่งก่อนหน้านี้ ไม่เคยรู้ว่ามีผู้ไปถึงฝั่งนิพพานจริงๆดังที่พระพุทธองค์ถึงมาก่อนแล้ว) อาทิเช้น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต , หลวงปู่ฝั้น อาจาโร , หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ฯลฯ ทำให้เห็นแล้วรู้จัก การวิปัสสนากรรมฐานแนวสติปัฎฐาน๔ คืออะไร ตลอดจนคำสอนของพระพุทธองค์อย่างซึ้งจิตซึ้งใจของผม เปลี่ยนวิธีการคิด การดำเนินชีวิตของผมไปอย่างสิ้นเชิง รู้จักการจัดการอารมณ์ของตนเอง กำจัดทุกข์ในใจได้อย่างรวดเร็ว การยึดมั่นถือมั่นน้อยลงอย่างน่าแปลกใจสำหรับการเปรียบเทียบตัวผมสมัยหนึ่ง จนกระทั่งพอมองเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์แห่งวงล้อสังสารวัฏฏ์ที่มืดมิดนี้ลิบๆแม้น้อยนิดก็ยังพอมี จะกล่าวได้ว่าอานิสงค์ที่ผมได้รับนี้ เป็นเพราะหนังสือของ ทพ.สม สุจีรา ก็ไม่ผิด ที่จุดประกายความอยากรู้ จนนำไปถึงการรับรู้ที่สมควรแก่วาระกรรมของผม ผมมองถึงจุดประสงค์ของผู้เขียนไปในทางที่ดีที่จะนำพาเหล่าพุทศาสนิกชน(ตามทะเบียนราษฎ์แบบผม ซึ่งก็น่าจะมีอยู่หลายท่านอยู่ดอก)ให้เริ่มหันเข้ามาศึกษาแนวทางของพระพุทธองค์อย่างจริงจัง เพื่อให้เราได้รู้จุดหมายจริงๆของการเกิดขึ้นมาของมนุษย์นั้นคืออะไร(บางท่านคิดว่าเกิดมาแล้วทำงาน ทำงาน ทำงาน แต่งงาน มีลูก ก็ยังทำงาน เก็บเงิน สะสมทรัพย์ ซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกบำเรอกิเลส จนกระทั่งตายจึงไม่ต้องทำงาน<เหมือนผมเมื่อก่อน>อาจจะรอเกิดใหม่แล้วมาทำงานอีก) ซึ่งพิจารณาดูแล้ว น่าเป็นห่วงอย่างมาก.. ต้องขออภัยมา ณ ทีนี้ด้วย ที่ผมมิได้ใส่ใจในรายละเอียดของวิทยาศาสตร์ หรือทฤษฎีต่างๆของนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายอย่างละเอียดจนแยกข้อผิดพลาดในศาสตร์ที่ท่านว่าอย่างนี้ผิดอย่างนี้ถูก เพราะไม่ได้ทำให้ผมหยุดความว้าวุ่นในใจ สลัดความทุกข์ที่สุมอยู่ในใจ ไปได้เรย แต่ก็เข้าใจดีในประการหนึ่งที่ว่า ผิดก็ต้องแก้ตามผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์นั้นๆไปอย่างที่ควรจะเป็น ที่ผมมองแล้วรู้สึกไปในทางที่ดีกับหนังสือของ ทพ.ท่านนี้ เพราะได้จุดประกายเริ่มต้นที่จะศึกษาธรรมของผมโดยแท้ จนกระทั่งรู้จักวิธีการจัดการอารมณ์ต่างๆของตน ละความยึดมั่นถือมั่นได้ลงเป็นอย่างดี ซึ่งก็อาจจะมิได้จากหนังสือไม่กี่เล่มนี้มาทั้งหมด แต่ก็ถือได้ว่าเป็นชนวนจุดประกายได้ไม่ผิด ผมได้เห็นคอมเม้นท์ที่ว่า มีคนเชื่อและทำตามหนังสือของ ทพ.ท่านนี้แล้วเสียสติหรือฟั่นเฟือนวิกลจริตไป ก็เกิดความสงสัยขึ้นว่าเพราะอะไร? อาจเป็นเพราะเขาไปฝึกวิปัสสนากรรมฐาณที่ผิดแนวทางมาหรือ? (เพราะสำนักวิปัสสนากรรมฐาณในปัจจุบันนี้มีแพร่หลาย บางที่ก็จัดตั้งขึ้นเพราะความเข้าใจของตนว่าตนนั้นมาถูกทาง จึงจัดตั้งสำนักวิปัสสนาขึ้น มีหลากหลาย..โดยส่วนตัวผมนั้น เลือกที่จะปฏิบัติตามสายของ หลวงปู่มัน ภูริทัตตเถระ อย่างแน่วแน่ครับ) เพราะถ้าผิด แล้วไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ ก็อาจจะเลยเถิดไปถึงขั้นเสียสติได้ จึงอยากฝากคอมเม้นท์น้อยๆมาเพียงแค่นี้

สิ่งที่ดีดีจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่รู้จักใช้ประโยชน์ของสิ่งที่ดีดีเท่านั้น.

ผมสนใจมากทั้งฟิสิกส์และพุทธศาสนา ได้อ่านหนังสือสัมพัทธภาพของ อ.บัญชาแล้วและอ่านไอน์สไตน์พบ ของ ทต. สม แล้ว และเกิดแรงบัลดาลใจ ให้ผมอยากจะเขียนบ้าง โดยใช้หลักการศึกษาเข้าสู่ภายในแบบพุทธประยุกต์กับหลักการทางฟิสิกส์ แล้วได้ทฤษฎีใหม่ออกมา และยากให้อ.บัญชา ตรวจสอบให้นะครับ

               หลังจากที่ผมอ่านหนังสือของ ของ ทต.สม ผมว่าก็เข้าใจง่ายในลักษณะของคนที่       ต้องการคำตอบว่า ศาสนาคืออะไร ทำไมเราต้องทำตามที่คนอื่นบอกทั้งๆที่ไม่บอกเหตุและผลมาด้วย พ่อสอนผมไหว้พระ แต่ไม่สอนว่า ไหว้เพื่ออะไร พอเราไม่ทำตามก็จะมีคนดุว่าไม่มีความเคารพศาสนา แล้วจึงสงใสต่อว่าแล้วเราจะเคารพทำไมเพื่ออะไรอีกละ แต่เมื่อได้อ่านหนังสือของ ทต. สม ก็เกิดความสนใจว่าจริงไหม เพราะสิ่งที่ผมยึดมั่นคือ ไม่เชื่อโดยไม่มีเหตุและผล ซึ่งในหนังสือดังกล่าวก็ได้พิมพ์ถึง คำสอนดั่งกล่าวด้วย  ส่วนอันอื่นที่เป็นความคิดของผู้เขียนนั้นแล้วแต่บุคคลจะพิจารณา 

                ดังนั้นในความคิดเห็นผม ไม่ใช้แค่คนเขียนที่ผิด แต่คนอ่านก็ผิดด้วยถ้าไม่มีสติในการอ่าน ถ้าคนเรามีสติก็จะไม่หลงยึดถืออยู่ว่าสิ่งที่เรามีนั้นถูกต้อง    ในความคิดผมอาจไม่ถูกสำหรับคนอื่น แต่มันถูกสำหรับตัวผม ในความคิดผมต่อให้ หนังสือเรียนทุกคนบอกว่าถูก แต่ผมอาจมองว่ามันผิด ผมก็มั่นใจในความคิดดั่งกล่าว เพราะเรายังไม่พิสูตร ที่ผมเขี่ยนมายืดยาวตังนานนี้ก็ไม่ได้จะถกเถียงกับใคร เพียงจะแสดงคาวมคิดเห็นอีกมุมนึงว่า คนที่อ่านควรมีสติในการอ่าน หนังสือทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าเราไม่เอาใส่สมอง จริงหรือเท็จ อยู่ที่ตัวเรา ไม่ใช่หนังสือ หรือ ศาสนา 

 

  ผิดพลาดประการใดก็ขอโทษเอาไว้ทีนี้ด้วย เนื่องจากผมอายุยังน้อย

เป็นประเด็นที่ดีมาก สามารถถามตอบได้ข้ามปีและผ่านมาก็หลายปีแล้ว ยังมีคนพูดถึงอยู่ ขนาดอาจารย์ไม่ได้นับถือพุทธ ยังเป็นห่วงหลักธรรมคำสอนจะผิดเพี้ยนขนาดนี้ สาธุครับ

หนังสือเขาดีนะ  ผมก้อไม่มั่นใจ  ว่ามันจริงหรือไม่

แต่ไม่แน่ บัญชา ธนบุญสมบัติ อาจเป็นคนที่เชื่อว่าโลกกลมเมื่อก่อนก้อได้

นักฟิสิกส์คนหนึ่ง

เห้ออออออ.....เข้ามาอ่านแล้วเพลีย


คนโง่งมงายนี่มันก็โง่งมงายอยู่วันยังค่ำ ยังพยายามยัดเยียดว่าศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์อีก

ส่วนเจ้าหมอฟันนี่ก็ได้เงินบนความโง่งมงายของคน คนโง่นี่มันก็โง่จริงๆ

สิ่งหนึ่งในโลกนี้ที่แถหัวชนฝาอ้างข้างๆคูๆเถียงชนะให้ได้ก็คือความเชื่อความงมงายเนี่ยแหละ

ไหนลองสิว่าหมอฟันและคนงมงายทั้งหลายลองเขียนสมการง่ายๆอย่างเวฟฟังก์ชันหรืออธิบายฮิกส์โบซอนหรือคัลเลอร์ออฟคาว์กให้หน่อย

พร้อมเขียนสมการทางฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ประกอบการคำนวณและอธิบายด้วย

ไม่ใช่เอาแต่แถหรือพูดเป็นภาษาคำพูดแต่งเอาเอง บิดเบือนจับแพะชนแกะแบบหมอฟัน

หรืออ้างพระอ้างเจ้าเพื่อเอามาแถความเชื่อและความงมงายชนะให้ได้แบบนี้ไม่เอานะ


เฮ้อ...คนโง่นี่มันก็โง่จริงๆ

คนที่ออกมาเขียนข้อผิดพลาดของหนังสือ หลงตัวเองไปหน่อยนะที่บอกว่ามีสภาพที่ตรงข้ามกับความสัมพัทธอยู่คือความไม่แปรเปลี่ยนน่ะ คือความไม่แปรเปลี่ยนมันก็ต้องอาศัยสิ่งที่มันจะไม่แปรเปลี่ยนด้วยไม่ใช่หรือไง เช่นความไม่เที่ยงไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น จะเห็นได้ว่าความไม่เที่ยงอาศัยความไม่แปรเปลี่ยน ความไม่แปรเปลี่ยนอาศัยความไม่เที่ยง โหๆ แค่นี้ยังดูไม่ออก เราก็รู้ว่านายอยากจะอวดฉลาด แต่บางครั้ง มันเสื่อมเสียนักเขียน ที่นายดันเอาความถูกต้องของเค้ามาประจาน ความจริงของธรรมลึกซึ้งมาก นายศึกษา 10 ปีก็ไม่เข้าใจถ่องแท้ นายอย่าเอาตัวเองขึ้นวัดเลยดีกว่าแล้วก็หนังสือเล่มนี้ ถ้าเป็นสากล เราก็คิดว่า ควรจะให้ทุกเพศทุกวันอ่านสนุก ไม่ต้องถึงขนาดมาบอกเจาะลึกต้นตอเหตุว่าทฤษฎีนี้มันมาจากแบบนี้ๆ ให้เค้างงกันหลอก หนังสือเชิงหลักการมีเยอะแยะ เดี๋ยวเค้าไปเจาะเอาเอง แล้วโดยรวมเล่มนี้ดีอยู่แล้ว อ่านสนุก ไอเรื่องทฤษฎีที่นายบอก มักซ์ พังค์ ไม่ได้คิดค้น ถามหน่อยเหอะ นายเข้าใจคำว่าเจ้าของทฤษฎีมากพอหรือยัง เค้านี่แหละคือผู้ค้นพบ และเป็นเจ้าของทฤษฎีนี้ เหมือนกลับคนสร้างปรามานูถามว่า ไอสไตล์สร้างหรอ ป่าวเลย เพราะเค้าค้นพบปรากฏการณ์ที่นำไปสู่การสร้างปรามาณูไงล่ะ เลยได้ชื่อว่าคนสร้างปรามาณู แล้วที่เราไม่ชอบที่สุดคือ นายเอานักเขียนมาประจานแบบนี้ ถึงจะเป็นการบอกตักเตือนให้แก้ไข เราว่ามันก็เหมือนการประจานนั่นแหละ เพราะคนอ่านนักล้านก็รู้สึกเหมือนเรา เราไม่ชอบเลย เรารักคนเขียน เขียนได้สนุกมาก แล้วมันก็เป็นหนังสืออ่านหนุก วิชาการมีให้เข้าใจบ้าง ไม่เชิงลึกซึ้ง ชอบๆ

ถ้าจะทักท้วงข้อผิดพลาด ให้ทักท้วงแบบนายน้อย เช่นความสัมพัทธ กับ อธิปัจยตา ไม่ใช่ตัวเดียวกัน แต่นายกับตั้งคำถามซะเองว่า สิ่งที่ตรงข้ามกับความสัมพัทธคือ ความไม่แปรเปลี่ยน อันนี้ไม่ถูกนะ

เรื่องศาสนา มั่นใจว่า เรามีมาก แต่ไม่ลึกซึ้งถึงจะลึกซึ้ง ก็ไม่ลึกซึ้งมาก ถึงจะลึกซึ้งมากก็ไม่มากนัก เอาง่ายๆนะ นิพพานแค่คำเดียวพระองค์ยังตรีสว่าลึกซึ้งยิ่ง ผู้ไม่บรรลุนิพพาน จะสอนผู้อื่นให้บรรลุตามไม่ได้ นี่ขนาดนิพพานอย่างเดียวนะ อย่าให้ถึงระดับ จำแนกทางนิพพาน จำแนกกรรมเลย แว๊กกกกกกกกกกกกกก !! เสื่อมใสมากธรรม 

เราชอบธรรม เพราะคิดว่าเป็นจริงเสมอ เราเคยอ่านพระไตรปิฎก ตอนที่พระพุทธเจ้าตรีสว่าโลกมีที่สุด มีทรงกลม และโลกไม่มีที่สุ ไม่ได้มีทรงกลม สุดยอด ที่พระองค์รู้ว่าโลกทรงกลมมาก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะคิดค้น ต่อๆ ที่พระองค์ตรัสว่าโลกกลมเหมือนมะขามป้อมเพราะถ้าพวกเราขึ้นไปนอกโลกบนอวกาศ ก็จะเห็นเป็นทรงกลมโดยรวม แต่ไม่ถึงกับกลมนะ เพราะมีภูเขามีเหวเลยทำให้ไม่เรยบเสมอกัน เหมือนมะขามป้อมโดยรวมเป็นทรงกลมแต่ก็ยังมีรอยตะปุ๋มตะปั๋มบ้าง บางลูกถึงกับมี เอิ่ม..เค้าเรียกว่าไรนะ สนิมมะขามละกัน 555555+ (นิยามศัพท์ใหม่) นั่นแหละเลยทำให้มันเป็นทรงกลมแต่ไม่ถึงกับกลมบ๋องเหมือนลูกปิงปองเ แล้วพระองค์ก็ตรีอีกว่าโลกไม่ได้กลม และไม่มีที่สุด อันนี้เพราะไม่มีอุปาทานเป็นเหตุอ่ะ อันนี้แนวทางบรรลุเลย พวกนายๆเชื่อกันหรอว่าโลกกลม แล้วมั่นใจหรอว่าคำว่ากลม มันมีอยู่จริง และรู้หรอว่าที่สุดโลกอยู่ไหน บนโลกที่สิ่งเยอะแยะมากมายจะรู้หรอว่าที่สุดของโลกคืออะไร ไม่มีใครรู้เลย แล้วก็ไม่มีใครรู้หมดทุกสิ่งบนโลกด้วย เพราะฉะนั้นพระองค์จึงตรัสว่าโลกไม่มีที่สุด

จุดประสงค์ที่มนุษย์ ต้องเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คืออะไร เพื่อพัฒนา ศักยภาพ มนุษยชาติ หรือครับ

ขออภัยที่คำถามอาจดูด้อยปัญญา 

ผมได้ทำสมาธิมานานหลายปี สัปดาห์ละหลายครั้ง แต่ยากมาก ส่วนตัวผมกล้าพูดว่า "ผมเข้าใจสาขาวิทยาศาสตร์ที่ผมศึกษาได้ดีกว่าการทำสมาธิ" ในเวลาไม่กี่ปีผมศึกษาจบ แต่การทำสมาธิผมเคยทำตั้งแต่ประถม มันยากมากและไม่ก้าวหน้า

ผมใช้เวลาทั้งชีวิตในการทำสมาธิ...อาจจะนะแต่ปัจจุบันก็ยังทำ

แต่ผมใช้เวลาไม่กี่ปีที่จะศึกษาวิทยาศาสตร์ ระดับความยากง่ายมันต่างกัน ผมจะเข้าใจพูทธให้ได้ก่อนนะจะวิจารณ์วิทยาศาสตร์ ส่วนตัวยังไม่มีใครในนี้ตรัจสรู้ได้เลย ถ้ามีแล้วคน ๆ จะมองวิทยาศาสตร์เป็นอย่างไร ????


พึ่งมาอ่านกระทู้นี้ปี 2558 ส่วนตัวไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แต่เรียนจบวิทยาศาสตร์และปฏิบัติธรรม บอกเลยว่าสิ่งที่คุณบัญชาแย้งมาในหนังสือเป็นสิ่งที่ดีที่ช่วยแก้ไขให้ถูกต้องแต่...

ไม่รู้ผมคิดไปเองป่าวนะ แต่...

คุณบัญชา คุณมีอัตราแรงกล้ามากนะ และยึดติดกับความถูกต้องมากไปสังเกตุได้จากจะแย้งทุกความเห็นที่เข้ามาตำหนิคุณ ยังไงก็วางลงบ้างนะครับเพราะสุดท้ายสิ่งที่ผิดหรือถูกมันไม่มีหรอก มันมีแต่ว่า สิ่งใดจะช่วยให้เราพ้นทุกข์นะ

ถ้าวิทยาศาสตร์ช่วยพ้นทุกข์ได้ หรือแม้กระทั่งศาสนาคริสต์ อิสลาม ช่วยพ้นทุกข์ได้ก็ทำตามนั้นเลย แต่ถ้าไม่ได้ก็มาทางพุทธ แล้วถ้าไม่ได้ก็เป็นคนไร้ศาสนาไปเล้ยย เพราะความทุกข์มันอยู่กับเราเราต้องดับเองไม่ใช่ให้ใครมาช่วยดับนะครับ

ผมว่า คุณบัญชา ยึดมั่นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์อะไรของแกเกินไปหรือเปล่า ผมรู้แต่ว่า ทฤษฎีอะไร ณ วันนี้ยังพิสูจน์ความจริงไม่ได้หมด สิ่งที่ว่า วันนี้จริง วันหน้าอาจไม่จริงก็ได้ ขนาดตัวของตัวมนุษย์เองยังไม่รู้เลยว่าเป็นมาอย่างไร .....หนังสือดังกล่าว ไม่ใช่หนังสือวิชาการ

ผมอ่านจบภายใน1 วัน ผมจำไม่ได้ว่าเนื้อหาเชิงลึกทั้งฝั่งศาสนา หรือ วิทย์ ระบุอะไรชัดเจนเป๊ะๆผมจำอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับทฤษฎีรายละเอียดตรงจุดนั้นผมไม่เสียดายที่จำมันไม่ได้ หรือจำได้แล้วไม่เป๊ะตามตำราในมุมของคนที่เรียนมาน้อย ผมดีใจนะที่ว่าไม่มีพื้นฐานลึกซึ้งทั้งสองทางมันทำให้ผมเข้าใจบางอย่างมากขึ้น และทำให้สนใจกับจุดบรรจบของทั้งสองศาสตร์ง่ายขึ้นคำว่าปัญญา คำว่าความเชื่อ หรือ ยึดมั่นถือมั่น คำว่าเหตุผล คำว่าสุข หรือทุกข์มันไม่ใช่แค่ท่องจำ สุดท้าย ไม่ว่า ทฤษฎีอะไร ถ้ามันไม่นำพา หรือทำให้มองไม่เห็นตัวเอง

กระดาษ A4 แผ่นนึง มีจุดดำๆ อยู่ สัก 10 จุด กระดาษแผ่นนั้นอาจจะเป็นกระดาษที่สกปรกมากของบางคนมากจนกระทั้ง ผ่านไป ปีนคงก็แล้ว 2ปีก็แล้ว 3 ปี 4 ปี ก็แล้วมันก็ยังคงความสกปรกอยู่อย่างนั้นและสิ่งเดียวที่ต้องการคือ ต้องทำให้จุดสกปรกนั้นหายไปในมุมมองแบบ perfectionist มันมีเพียงหนทางเดียวไปสู่ทางที่ใช่ที่สุดผมอาจจะไม่สามารถเข้าใจทฤษฎีฟิสิกส์ยากๆ แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าการเป็นสายพิณที่ตึงเปรี๊ยะ คือแนวทางของวิทย์หรือ พุทธ

น่าเสียดายที่หลายปี นอกจากความผิดที่อภัยไม่ได้ก็ยังหาข้อดีอะไรอื่นของเขามาเสนอไม่ได้ วางก็ไม่ได้ จนเขาเขียนอะไรต่อมิอะไรที่มีทั้งถูกทั้งผิดออกมาอีกก็ไม่น้อยแต่ผมก็ยินดีที่จะมีส่วนร่วมกับมหากาพย์นี้

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท