สวัสดีครับคุณบัญชา ยินดีที่ได้สนทนานะครับ
ประเด็นที่ว่า ทำไมฝึกจิตมาดี ศึกษามาดี จึงมีความคลาดเคลื่อนในธรรม
หรือประเด็นทำนองที่ว่า รู้ไม่จริง แล้วชอบเอาไปพูด
ในการศึกษาพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านวางหลักสูตรมาแล้วว่า
ต้อง ปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฏิเวธ
โดยเฉพาะว่าผู้เขียนก็เป็นนักวิทยาศาสตร์
การเรียนวิทยาศาสตร์ มันก็เป้นปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฏิเวธ ในตัวอยู่แล้ว
กล่าวคือ หนังสือเรียนนั้นเขาก็แจกแจงความรู้ที่ถูกต้องเอาไว้หมดแล้ว
แต่ก็้ยังบังคับให้เราเข้าห้องแล็บเพื่อทดลองดู ว่าที่หนังสือพูด มันจริงไหม
เมื่อทดลองแล้ว มาสอบทานเทียบกับหนังสือ ก้จะมีความเข้าใจอย่างแตกฉานในที่สุด
ความรู้ประเภท"ประสบการณ์ตรง"นี้เอง คือ ความรู้ขั้นปฏิเวธ
หรือที่เรียกว่า สันทิฐิโก , ปัตจัตตัง
แต่ปัญหาของหนังสือนี้ คงจะเป็นว่า ปริยัติก็ไม่แตก แต่ด่วนเข้าห้องแล็บก่อน
หรือไม่เข้าห้องแล็บเลยแล้วนั่งนึกๆเอา
ผลการทดลองเลยเพี้ยนๆไป ปฏิเวธไม่จริง
คนสมัยนี้ ที่ธรรมะกำลังบูม แต่ว่ากลับ"พูด"กันมากกว่า"ทำ"
หลวงพ่อ"ชยสาโร" ท่านเรียกตลกดี ท่านเรียก"ชาวพุทธ"พวกนี้ว่า "ชาวพูด"
คือพูดกันมาก พูดกันเก่ง แต่หาคนปฏิบัติให้รู้จริงจริงนั้นมีน้อย
อาศัยจำ-แล้วคิด-แล้วพูด ่ไม่ใช่ จำแล้ว-เอามาปฏิบัติ-จนรู้จริง-แล้วค่อยพูด
เมื่อแรกผมหันมาสนใจศาสนาพุทธ ผมก็เหมือนผู้เขียนนี่แหละครับ
พิมพ์เดียวกัน ชาวพูดเหมือนกัน และก็สังเกตุว่าคนประเภทเดียวกันนี้มีมาก
สังเกตุต่อไปอีกว่า พอเข้ามาศึกษาใหม่ พบเห็นอะไรแปลกประหลาดเยอะ พระพุทธศาสนานี้มีอะไรเหนือเหตุผลเยอะ
เราที่คุ้นเคยในโลกของเหตุผล พอมาเจอแล้วเราพยามจะโยงมันให้เป็นเหตุผล
เราเคยชิน Perception แบบวิทยาศาสตร์มาอย่างนั้นทั้งชีวิต
พอมาเจอคำว่า นรก สวรรค์ นิพพาน และเื่รื่องพิศดารทั้งหลายในพระคัมภีร์ปั๊บ
เราก้จะเอาวิญญานนักวิทยาศาสตร์มาเลย เอามาพิสูจน์
แต่ปรากฏว่าไม่ได้ ไม่ใช่ ยิ่งพยามกดให้มันเข้าล็อกวิทยาศาสตร์
ยิ่งขัดแย้ง ยิ่งวิปลาสไปใหญ่
คุณบัญชาลองนึกดูสิครับ ว่า เราจะหา existance ของ จิต ได้อย่างไร
จิตเป็นพลังงานหรือสสาร หรือถ้ามันเป็น "ผุดกำเนิด" เราจะพิสูจน์อย่างไรในแบบของวิทยาศาสตร์
สุดท้ายเราก็ไปใช้วิธีในกาลามสุตร เช่นเทียบเคียง คะเน ตรรกะ
ซึ่งไม่มีวิธีใดพิสูจน์ความมีอยู่ของจิตได้
แต่ปรากฏว่า นั่งสมาธินี่แหละ ถึงจะเข้าถึงจิตได้ ศึกษาปรากฏการณ์ของจิตได้
ซึ่งมันหลุดกรอบวิทยาศาสตร์ไปเลย
ถ้าคุณบัญชาอยากจะทดลองว่า ปรากฏการณ์ทางจิต
ที่ override วิทยาศาสตร์ไปเลย เช่น "การอ่านใจคน" มีอยู่จริงไหม
ลองไปที่วัดสวนสันติธรรม ศรีราชา ชลบุรี ไปปฏิเวธให้เห็นจริงๆเลยว่า
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโชนี้ อ่านใจคนได้จริงไหม อ่านได้แค่ไหน
อ่านเป้นภาพ อ่านเป้นคำๆ หรืออย่างไร
ไปปัตจัตตัง สันทิฐิโกกับตัวเองเลยว่า
กระบวนวิธีในการศึุกษาจิตของพระพุทธเจ้านี้ มีจริงไหม
ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าสักแต่พูดคนเดียว แล้วไม่มีคนทำตามได้ ไปดูเลยสักตัวอย่างหนึ่งของเรื่องพิศดารเช่นว่า จิตมีสมรรถนะในการอ่านจิตผุ้อื่นได้นั้น มันมีจริงไหม มาได้ยังไง เป้นอย่างไร
เนียะครับ ผมถึงเล่าให้ฟังแต่แรกว่า ความรู้แบบพระพุทธเจ้านี่มันไม่ใช่"เพียงแค่"วิทยาศาสตร์"
แต่มีความเป้นศาสตร์อย่างมีระบบแบบแผนเฉพาะของตน
หนังสือนี้ก็เป้นความพยามที่จะ ทำให้พระพุทธศาสนา = วิทยาศาสตร์
มันเลยมีแต่ข้อผิดพลาดเต็มไปหมด
แล้วโดยเฉพาะว่า ไม่เข้าใจอย่างแท้จริงในศาสตร์ทั้งสอง
แล้วพยามจะผสมกันให้มันลงบล๊อกเดียวกันให้ได้ มันเลยมีแต่ความผิดพลาด
ผมอยากจะพูดว่า วิทยาศาสตร์เป้น sub set ของพระพุทธศาสนา แต่มันก็ไม่ใช่อีก
มันแค่มีกระบวนการบางอย่างที่ intersect กันเท่านั้น
ใช้เครื่องหมาย = ไม่ได้เลย
..............
เวลาเราจะเรียนหนังสือนะครับคุณบัญชา เรามักจะได้รับการชี้แจงเรื่อง outline ของการศึกษาก่อน ว่าจะศึกษาเรื่องอะไร มีโครงสร้างอย่างไร "มีขอบเขตอย่างไร"
พระพุทธศาสนาในกำมือของสังคมเรานี้ ก็มีจุดอ่อนตรงนี้แหละครับ
คือไม่มี outline
ตามมีตามเกิด ตาดีได้ ตาร้ายเสีย
คนที่หันมาศึกษาพุทธศาสนาใหม่ๆ เลยต้องงมตั้งนาน กว่าจะจับต้นชนปลายถูก จึงมีผู้พลาดอยู่บ่อยๆ
กว่าจะรู้ว่าที่ตัวศึกษาอยู่นี้ มันเป็นใบไม้นอกกำมือพระพุทธเจ้า
นอก course outline
แม้ว่ามันจะอยู่ใน universe แต่มันอยู่นอก set ที่ชื่อว่า"พุทธธรรม"
เรื่องที่่ผู้เขียนพยามเข้าใจเรื่องโลก จักรวาล อะไรทำนองนี้
ใครพยามอธิบายเรื่องโลก จักรวาล ด้วยพระพุทธศาสนานี้
ก็พึงทราบว่า "ไม่ใช่ขอบเขตของพุทธศาสนา"
ในอจินไตยสูตร หรือ เรื่องที่(มนุษย์)ไม่ควรขบคิด บอกไว้ชัดว่า "โลกวิสัย"
หรือขยายความว่า พุทธธรรมนั้น ไม่สนใจเรื่องที่มาของโลก จักรวาล อะไรทำนองนั้น
เพราะศาสนาพุทธเรา มีจุดประสงค์เดียวคือ "ทำให้เราพ้นทุกข์"
นอกเหนือจากนี้ เราไม่สนใจตอบ
แต่คนเขียนเขาอาจจะไม่ทราบ course outline เลยพลาดไป
ถ้าเขาคิดแก้ไขก็น่าอนุโมทนานะครับ
และเพราะมีกัลยาณมิตรอย่างคุณบัญชา ช่วยแยกแยะให้ชัดเจน
ยิ่งน่าอนุโมทนาขึ้นไปอีก
ควมเข้าใจผิด ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเสียประโยชน์แต่อย่างเดียว
เพราะถ้าเราชำระกันให้บริสุทธิ์แล้ว
ผู้ที่เขาจะเผอิญซ้ำรอยประวัติศาสตร์เดิมก็จะได้ทราบว่าตนนั้นเข้าใจผิด
และมีคนเข้าใจผิดไปก่อนหน้านี้แล้ว แล้วได้รับการชำระแล้ว
ก็ช่วยให้เขาประหยัดเวลา ไม่เปลืองตัว เปลืองใจ
บุญใหญ่นะครับคุณบัญชา ผมยินดีมากที่คุณบัญชาช่วยเสียสละเรื่องนี้
แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท อาศัยศีลเป้นอาภรณ์
พยามให้บริสุทธิ์ แล้วทานบารมีนี้จะช่วยให้คุณบัญชาชื่นใจทีหลัง
อานิสงค์ของศ๊ลบริสุทธิ์นี่เหลือเชื่อจริงๆครับ แต่ก้เป็นเหตุเป้นผลให้เข้าใจได้
สาธุอนุโมทนาครับ