เด็กไทยอ่านหนังสือคนละ 8 บรรทัดจริง ?
เกิดข้อสงสัยว่าจริง ? ที่เด็กไทยอ่านหนังสือคนละ 8 บรรทัดต่อปี แม้จะไม่นับรวมหนังสือเรียนก็ตาม เหตุเพราะสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เคยประกาศวาระแห่งชาติส่งเสริมการอ่าน โครงการส่งเสริมการอ่าน ประกวดทั้งห้องสมุดโรงเรียน และเขตพื้นที่การศึกษาที่ส่งเสริมการอ่านดีเด่น ตลอดจนมีคำขวัญเชิญชวนให้นักเรียนอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะเป็น “หยุดทุกงานอ่านทุกคน”
แต่ละโรงเรียนโดยเฉพาะในสังกัด สพฐ. ต่างมีกิจกรรมส่งเสริมการอ่านทั้งให้อ่านพร้อมกันทั้ง โรงเรียน หรือมีชั่วโมงรักการอ่าน นักเรียนแต่ละคนต้องบันทึกสิ่งที่ตนเองอ่านส่งครู ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เด็กไทยจะอ่านหนังสือเฉลี่ยคนละ 8 บรรทัด เว้นแต่นโยบายที่ สพฐ.ให้แต่ละโรงเรียนมีหน้าที่ส่งเสริมให้นักเรียนรักการอ่าน แล้วบางโรงเรียนไม่ได้ปฏิบัติอย่างจริงจังหรืออย่างไร
ไม่ว่าเด็กจะอ่านหนังสือเฉลี่ยคนละ 8 บรรทัดหรือมากกว่าก็ตาม แต่โดยภาพลักษณ์เรื่องการอ่านของทั้งเด็กและคนไทย จะถูกมองว่าไม่ค่อยอ่านหนังสือเท่าใดนัก หากเทียบกับนานาชาติแล้ว คงจะน้อยกว่ามาก หรือแม้แต่เทียบกับประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงที่จัดอยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อย่างสิงคโปร์ที่เด็กแรกเกิดทุกคนรัฐบาลจะจัดทำบัตรห้องสมุดตลอดชีพให้(แทนคุณ จิตต์อิสระ, มติชน : 19 ต.ค. 50, 27) แสดงว่าสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนด้วยการส่งเสริมการอ่าน ให้เป็นเรื่องที่สำคัญจำเป็นต่อการดำรงชีวิต
เมื่อเด็กไทยยังอ่านหนังสือค่อนข้างน้อย จึงเกิดคำถามว่า เพราะเหตุใดเด็กไทยจึงอ่านหนังสือน้อยเกินไป ทั้ง ๆ ที่ในระดับนโยบายพยายามรณรงค์ส่งเสริมให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติบ้าง หรือพยายามจัดกิจกรรมให้เด็กรักการอ่าน แต่เด็กไทยก็ยังอ่านหนังสือน้อย แสดงว่ามีช่องโหว่ที่จะต้องแก้ไข โดยเฉพาะการส่งเสริมต้องเป็นรูปธรรมมากกว่าที่ผ่านมา เพื่อให้เด็กมีนิสัยรักการอ่านมากกว่าอ่านพอให้แล้ว ๆ ไป อย่างที่มักจะพบเห็นตามโรงเรียน หรือจากบันทึกการอ่านที่นักเรียนถูกกำหนดให้บันทึกส่งครู
ปีการศึกษา 2551 คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมีนโยบายส่งเสริมการอ่าน โดยกำหนดให้เด็กนักเรียนแต่ละช่วงชั้นต้องอ่านหนังสือนอกเวลา สำหรับชั้น ป. 1 – ป. 3 ต้องอ่านหนังสือนอกเวลา 5 เล่ม ชั้น ป. 4 – ป. 6 อ่านหนังสือนอกเวลา 10 เล่ม ชั้น ม. 1 – ม. 3 อ่านหนังสือนอกเวลา 15 เล่ม ชั้น ม. 4 – ม. 6 อ่านหนังสือนอกเวลา 20 เล่ม
จำนวนเล่มที่กำหนด หากเป็นเด็กที่มีนิสัยรักการอ่านอยู่แล้วย่อมไม่เป็นปัญหา แต่หากเป็นเด็กที่ไม่ได้รับการปลูกฝังให้มีนิสัยรักการอ่านมาก่อน จำนวนเล่มที่กำหนดถือว่ามาก เช่น เด็กม. 4 – ม. 6 ต้องอ่านหนังสือนอกเวลาถึง 20 เล่ม ในขณะที่เด็กกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มัวสาระวนอยู่กับการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย หากให้อ่านหนังสือถึง 20 เล่ม คงอ่านให้พอแล้ว ๆ กันไป
อีกทั้งการให้อ่านหนังสือนอกเวลาจะใช้วิธีการตรวจสอบอย่างไรว่าเด็กอ่านครบ 20 เล่มจริง ใช้วิธีการแบบเดิมคือ กำหนดให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาในวิชาภาษาไทย ที่เด็กต้องสอบเก็บคะแนน ? ถ้าอย่างนั้นจำนวนหนังสือที่มีให้เด็กอ่านต้องมีจำนวนเพียงพอ ทั้งจำนวนเรื่องที่จะให้เลือกอ่าน เฉพาะมัธยมปลายต้องมีมากกว่า 20 เรื่อง เพื่อให้เด็กได้เลือกตามความสนใจ อีกทั้งจำนวนเล่มต้องมีอย่างเพียงพอ เพราะนักเรียนแต่ละโรงเรียนมีจำนวนมากเป็นพัน ๆ คนถึงหลายพันคน
การกำหนดจำนวนเล่มเท่านั้นเท่านี้ หากเน้นปริมาณก็จะได้ตามเป้า แต่หากจะเน้นที่คุณภาพให้อ่านกันอย่างจริงจัง ก็คงต้องรณรงค์กันต่อไป ที่ผ่านมาการรณรงค์ให้รักการอ่าน ส่วนใหญ่เน้นให้บันทึกการอ่านด้วย เพื่อให้รู้ว่าอ่านเรื่องอะไรได้แง่คิดอะไร ซึ่งได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง เนื่องจากเด็กบางคนชอบอ่านแต่ไม่ชอบบันทึก หรือถ้าบันทึกก็บันทึกพอให้แล้ว ๆ บางทีการที่บังคับให้ต้องบันทึกก็มีผลทำให้ไม่อยากอ่าน
หากคิดอีกที วิธีการศึกษาหาความรู้ของเด็กในยุคที่โลกไร้พรมแดนอาจมีหลากหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องอ่านในหนังสือเสมอไปก็เป็นไปได้ การอ่านจากอินเตอร์เน็ต หากเด็กรู้จักเลือกเวปไซต์ที่ดี ๆ มีประโยชน์ก็สามารถศึกษาหาความรู้จากการอ่านในเวปไซต์ได้เหมือนกัน เพียงแต่การอ่านในหนังสือทำให้มีเวลาคิดใคร่ครวญได้มากกว่า อีกทั้งหนังสือย่อมได้รับการกลั่นกรองจากทั้งสำนักพิมพ์ และผู้เขียน ตลอดจนกระแสการตอบรับของผู้อ่านเท่ากับเป็นการคัดกรองหนังสือมาอย่างดีแล้ว แต่ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตบางเรื่องอาจจะมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนอยู่บ้างก็ได้
หากการอ่านเป็นเรื่องสำคัญ คงต้องทำให้บรรยากาศแวดล้อมตัวเด็กเต็มไปด้วยคนที่รักและส่งเสริมการอ่าน ควรเริ่มต้นที่ครอบครัวก่อน ไม่เป็นที่สงสัยกันอยู่แล้วว่าเด็กที่รักการอ่านหนังสือ มักมาจากครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความสำคัญกับการอ่าน ทั้งอ่านเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็นจนปฏิบัติตามได้ หรือพยายามส่งเสริมให้ลูกมีหนังสือดี ๆ มีประโยชน์อ่าน หรือพาเข้าไปในแวดวงของการอ่าน เช่น พาลูกไปร้านหนังสือ พาลูกไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ งานมหกรรมหนังสือต่าง ๆ เป็นต้น
ในส่วนของโรงเรียนมีหน้าที่ส่งเสริมการอ่านให้เด็กอยู่แล้ว ดังนั้นการจะทำให้เด็กมีนิสัยรักการอ่าน ครู และผู้บริหารโรงเรียนควรทำตัวเป็นแบบอย่าง หรือแสดงให้เห็นนิสัยรักการอ่าน แต่หากครูและ ผู้บริหารไม่เคยเข้าห้องสมุด หรืออ่านหนังสือให้เป็นตัวอย่างแก่เด็ก ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะให้เด็กรัก การอ่าน เพราะหากครู และผู้บริหารอ่านหนังสือน้อย โลกและความคิดย่อมแคบตามไปด้วย ครูจึงจำเป็นต้องอ่านหนังสือ เพื่อให้โลกและความคิดกว้างไกล เป็นตัวอย่างให้เด็กได้ตระหนักถึงความสำคัญของการอ่าน
นอกจากครูและผู้บริหารโรงเรียนต้องเป็นแบบอย่างแล้ว ห้องสมุดของแต่ละโรงเรียนต้องมีหนังสืออย่างเพียงพอ และทันสมัยอยู่เสมอ โดยเฉพาะในปีหนึ่ง ๆ จะมีงานมหกรรมเกี่ยวกับหนังสือซึ่งมีหนังสือออกจำหน่ายปีละหลายครั้ง อย่างน้อยห้องสมุดโรงเรียนน่าจะได้ซื้อหนังสือใหม่ ๆ อยู่เสมอ ส่วนจะได้รับการสนับสนุนหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์เรื่องนี้ของผู้บริหารโรงเรียนเป็นสำคัญ
สพฐ. เอง นอกจากทำหน้าที่กำหนดนโยบายว่า เด็กต้องอ่านหนังสือคนละเท่านั้นเท่านี้เล่มแล้ว ควรจะต้องพิจารณางบประมาณที่จัดสรรเป็นงบอุดหนุนให้โรงเรียนซื้อหนังสือปี ๆ หนึ่ง เป็นจำนวนเท่าไร เพียงพอที่จะซื้อหนังสือได้กี่เล่ม เป็นหนังสือประเภทใด เหมาะกับวัยของเด็กที่เป็นหนังสือประเภทวรรณกรรมเยาวชนกี่เล่ม เพราะหนังสือประเภทนี้เด็กนิยมอ่าน สังเกตจากทั้งเด็กไทย และเด็กทั่วโลก ทำไมจึงคลั่งไคล้ตั้งตาคอย จับจองหนังสือเรื่อง “แฮรี่พล็อตเตอร์” มาก หากทำให้บรรยากาศการอ่านของเด็กไทย เป็นแบบนั้นตลอด การส่งเสริมการอ่านก็คงไม่ต้องทำอะไรมาก ผู้ใหญ่มีหน้าที่หาหนังสือที่เด็กอยากอ่านให้พอเพียงก็คงเพียงพอ
งบประมาณที่แต่ละโรงเรียนได้รับ สมมติโรงเรียนขนาดใหญ่ถ้าได้รับงบประมาณปีละ 60,000 บาท ขณะที่มีนักเรียนสัก 2,500 คน ถ้าหนังสือเล่มละประมาณ 200 บาท (ความจริงหนังสือดี ๆ บางเล่มอาจแพงกว่านี้) เฉลี่ยแล้วโรงเรียนนี้จะมีหนังสือประมาณปีละ 300 เล่ม (เด็กม.ต้น สพฐ. กำหนดให้อ่านหนังสือนอกเวลา คนละ 15 เล่ม เด็ก ม.ปลายคนละ 20 เล่ม) หากคิดเป็นค่าเฉลี่ยรายหัวของเด็ก เด็ก 1 คน จะได้รับงบประมาณเป็นค่าหนังสือคนละ 24 บาท ถือว่าน้อยมาก
อีกทั้งหนังสือจำนวน 300 เล่ม ต้องแยกแยะเป็นหนังสือวิชาความรู้ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการค้นคว้าของแต่ละวิชา เป็นหนังสือเตรียมสอบบ้าง เหลือเป็นหนังสือที่สามารถดึงเด็กให้อ่านได้มาก ประเภทวรรณกรรมเยาวชน คงได้ไม่ถึง 100 เล่ม ดังนั้นการจัดสรรงบประมาณในส่วนของการซื้อหนังสือเข้าห้องสมุด ควรให้สมดุลกับการกำหนดให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ หรือเป็นปีแห่งการส่งเสริมการอ่าน
นอกจากนี้แต่ละโรงเรียน ซึ่งสามารถใช้เงินค่ารายหัวนักเรียนที่รัฐจัดสรรให้แต่ละโรงเรียน เพื่อจัดกิจกรรมหรือโครงการต่าง ๆ ก็ควรให้ความสำคัญกับโครงการเกี่ยวกับห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดกลุ่มสาระฯต่าง ๆ เพื่อให้มีเงินซื้อหนังสือให้เด็กได้อ่านอย่างเพียงพอ การเห็นความสำคัญแต่ไม่สนับสนุนงบประมาณ รวมทั้งต้องการให้นโยบายรักการอ่านบรรลุเป้าหมาย แต่ทั้งห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดกลุ่มสาระฯ แต่ละปีมีหนังสือใหม่ ๆ น้อยมาก หรือไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควร
การสนับสนุนมีทั้งการให้งบประมาณ และการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานในฐานะเป็นบรรณารักษ์ถือว่าสำคัญ เพราะโดยส่วนใหญ่บรรณารักษ์โรงเรียนมักต้องทั้งสอน ทั้งดูแลห้องสมุด การมีบุคลากรอย่างพอเพียง ถือว่าเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านได้ดี
ประการต่อมาสภาพแวดล้อมในสังคมที่เห็นความสำคัญของการอ่าน ย่อมมีผลต่อการอ่านของเด็ก สังเกตจากเด็กคลั่งไคล้อ่าน “แฮรี่พล็อตเตอร์” หรือหนังสือที่ได้รับรางวัล เช่น ซีไรท์ แม้ว่าจะเป็นการอ่านตามกระแสสังคมก็ตาม แต่หากเราสามารถทำให้เกิดกระแสการอ่านหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้อยู่เสมอ บรรยากาศของสังคมแบบนี้ก็จะเอื้อต่อการส่งเสริมการอ่านได้
การสร้างกระแสการอ่าน คงต้องจัดประกวดหนังสืออยู่เสมอ ๆ แม้ว่าจะมีการทำกิจกรรมนี้อยู่บ้างแล้ว ทั้งการประกวดหนังสือดีเด่น หรือการประกวดหนังสือของ สพฐ. นั้น สาธาณชนได้รับรู้ หรือมีผู้ให้ความสนใจค่อนข้างน้อย ไม่ฮือฮาเหมือนรางวัลซีไรท์
คนอ่านแทบจำไม่ได้ว่าหนังสือเล่มใดได้รับรางวัล ยกเว้นเห็นหน้าปกหนังสือแล้วติดตรา หรือพิมพ์ไว้ว่าได้รับรางวัลอะไรมา แสดงว่าการประชาสัมพันธ์ หรือเชิญชวนให้เด็กได้รู้จัก ได้อ่าน ค่อนข้างน้อย คงต้องดูแบบอย่างสำนักพิมพ์ที่มีโอกาสพิมพ์หนังสือรางวัลซีไรท์แต่ละปี ว่าเพราะเหตุใดยอดการพิมพ์หนังสือเล่มนั้น ๆ จึงสูงมาก แสดงว่าปริมาณการอ่านย่อมสูงตามไปด้วย
นอกจากนี้การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน ประเภทงานมหกรรมหนังสือนานาชาติ งานสัปดาห์หนังสือ ที่เราจะพบเห็นลูกเล็กเด็กแดงที่พ่อแม่พาไปซื้อหนังสืออ่าน ตลอดจนภาพของเด็ก ๆ ตัวเล็ก ๆ นั่งอยู่กับพื้นก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ บรรยากาศแบบนี้หากได้รับการสนับสนุนให้ไปเกิดขึ้นในต่างจังหวัด หรือตามโรงเรียนต่าง ๆ อยู่เสมอ โดยรัฐหรือ สพฐ. ร่วมมือให้การสนับสนุนสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ได้ออกมาจัดกิจกรรมร่วมกับโรงเรียนในต่างจังหวัด น่าจะสร้างบรรยากาศกระแสรักการอ่านได้ดีกว่าการกำหนดว่าเด็กกลุ่มไหนต้องอ่านหนังสือกี่เล่มเท่านั้น
การอ่านทำให้เด็กเกิดจินตนาการ มีความคิดที่กว้างไกล แก้ปัญหาได้ มีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งในการใช้ชีวิต การปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน เพื่อให้สามารถใช้การอ่านเป็นเครื่องมือในการดำรงชีวิตไปตลอด
การส่งเสริมให้เด็กมีนิสัยรักการอ่าน จำเป็นต้องเกิดจากการสนับสนุนอย่างจริงจัง ทั้งในครอบครัวที่มีพ่อแม่เป็นแบบอย่าง ในโรงเรียนที่มีครูและผู้บริหารโรงเรียนต้องมีนิสัยรักการอ่าน จึงจะรู้ว่าการอ่านมีความสำคัญ เมื่อเห็นความสำคัญย่อมให้ความสำคัญที่จะสนับสนุนอย่างจริงจัง
ในส่วนของ สพฐ. เอง ซึ่งเป็นผู้กำหนดนโยบาย ต้องเป็นฝ่ายสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม ที่จะทำให้แต่ละโรงเรียนมีหนังสืออ่านอย่างเพียงพอ และทันสมัยอยู่เสมอ โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กในชนบทที่ห่างไกลมีหนังสือเพียงพอแล้วหรือไม่ จำนวนอาจไม่สำคัญเท่ากับโรงเรียนเหล่านั้นมีหนังสือใหม่ ๆ ดี ๆ ที่เหมาะกับเด็กในวัยนั้น ๆ เข้าห้องสมุดปีละกี่เล่ม ที่ได้รับการสนับสนุน ไม่ควรนับรวมกับหนังสือที่ได้รับบริจาคจากสำนักพิมพ์ต่าง ๆ หรือแม้แต่การทอดผ้าป่าหนังสือ เพราะการได้รับบริจาคไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญของรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างแท้จริง
ต้องการให้เด็กรักการอ่าน อ่านหนังสือจำนวนเท่านั้นเท่านี้เล่ม แต่หนังสือไม่น่าอ่าน ที่น่าอ่านกลับมีไม่เพียงพอ หรือหนังสือมีไว้เพื่อโชว์ หรืองบประมาณสำหรับซื้อหนังสือมีอยู่น้อยนิด ความคิดที่จะให้เด็กมีนิสัยรักการอ่าน ก็คงได้เพียงปริมาณตัวเลข (อย่างน้อยก็น่าจะมากกว่า 8 บรรทัด) มากกว่าการอ่านเพื่อคุณภาพกันจริง ๆ
เห็นด้วยจริงๆกับครูสายพิณค่ะ เด็กๆอยากอ่านหนังสือ สังเกตตอนที่ปิดห้องสมุด ปรับปรุง เขามาถามทุกวัน จะเปิดรึยัง เข้าได้ยัง แต่หนังสือที่เหมาะสมสำหรับเด็กมีน้อยเกินไป ลูกศิษย์คนหนึ่ง ฝังตัวอยู่ในห้องสมุด และถือหนังสือติดมือตลอด อย่างนี้เรียกอ่านเท่าไร
สวัสดีค่ะ อ่านแล้วถูกใจมากเลยค่ะ เห็นด้วยกับคุณครูสายพิณทุกข้อเลยค่ะ คุณครูสายพิณวิเคราะห์ได้รอบด้านมากค่ะ ขอร่วมเสนอความคิดด้วยคนค่า
สวัสดีค่ะ ครูเล็ก
ขอบคุณที่เข้ามาให้กำลังใจนะคะ
จริงครับอาจารย์
เด็กสมัยนี้เอาแต่เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ครับ
เห็นด้วยอย่างยิ่ง
จริงจริงเด็กชอบเล่นแต่เกมส์
เพราะว่าการอ่านหนังสือทําให้เด็กเบื่อและง่วง
ครูควรเข้าใจเด็ก
วันนี้ที่กาญจนบุรีเรากำลังเริ่มจากจุดเล็กๆ ด้วยตัวของเราเองครับ จะเป็นพระคุณยิ่งถ้าจะได้รับคำแนะนำดีๆ จากอาจารย์ครับ
ถึงติดเกมส์
แต่ ก็ มี เวลา อ่าน หนัง สือ นะ คับ
อย่า เหมา รวม สิ คับ
เฮ้อ อ. ก็ เป็น ซะ อย่าง นี้
เฮ้อ เซง
สรุปเด็กไทยอ่านน้อยต้องพิจารณาดูจากสาเหตุที่สำคัญ จากการสำรวจและเป็นครูบรรณารักษ์ปัญหาที่ขจัดไม่ได้คือโรงเรียนขาดโอกาสขาดการสนับสนุนงบประมาณ และราคาหนังสือที่แสนแพง ขาดคุณภาพ ผู้ที่รับผิดชอบสูงสุดควรจะดูแลอย่างจริงจังและจริงใจ เด็กไทยก็จะไม่ด้อยกว่าชาติอื่น ๆในการอ่านเลย