เป็นหมอเมด ( อายุรกรรม ) ไม่ค่อยเจอคนไข้ยิ้มให้ก่อนนะครับ เว้นแต่คนไข้ที่ซี้กัน คือติดตามการรักษากันมานาน แล้วสบายดี มารับยาต่อเนื่อง ก็ได้คุยกันเฮฮาเอิ๊กอ๊ากบ้าง
วันหนึ่ง ผมเจอคนไข้คนหนึ่งมาตรวจ ดูวัยของเธอ 30 เศษ ยังถือว่าไม่มาก แต่ดูหน้าตาเธอเฉยเมย เหมือนอมทุกข์ หรือกำความลับอะไรไว้สักอย่างไว้
ข้อมูลที่ผมได้จากเธอ คือ " คุณหมอขา หนูรู้สึกว่าหน้าหนูบวมขึ้น มีแต่คนทักว่าหน้าหนูบวม "
หมอถาม " แล้ว เป็นมานานหรือยังครับ"
เธอตอบว่า " เป็น มา 5-6 เดือนแล้วค่ะ ตั้งแต่หนูใช้ครีมหน้าเด้ง ยี่ห้อ ....... หนูก็เป็นมาตลอด หนูคิดว่า ต้องเป็นจากครีมหน้าเด้งแน่ ๆ "
ผมตรวจดูใบหน้าเธอ หน้าเธอยังดูเฉยเมย แม้จะเล่าดูเหมือนกับใส่อารมณ์ อย่างฝังใจว่า เป็นผลจากครีมหน้าเด้งนี่แน่ ๆ
ตาข้างขวาเธอ ดูโปน กว่าข้างซ้ายเล็กน้อย ในใจผมนึกถึง โรคแรก คือ " Graves' Ophthalmopathy" ซึ่งเป็นภาวะพิษของธัยรอยด์อย่างหนึ่งที่มีผลกับเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อรอบดวงตา อีกโรคหนึ่ง คือ "Myasthenia Gravis" เป็นโรคเกี่ยวกับการทำงานของกล้ามเนื้อ ที่มีอาการอ่อนแรง และมักเกิดกับกล้ามเนื้อของลูกตาด้วย
ผมพยายามตรวจร่างกายของเธอ โดยเพ่งเล็งที่การตรวจรอบ ๆ ดวงตา ไม่พบความผิดอะไร นอกจาก ดูตาขวาเธอปิดไม่สนิท การเคลื่อนไหวลูกตาทำได้ดี มองเห็นดี ไม่มีภาพซ้อน ตรวจร่างกายส่วนอื่น ๆ ไม่มีอาการแสดงของโรคธัยรอยด์เป็นพิษ ต่อมธัยรอยด์ก็ไม่โต
ผมถามเธอว่า เป็นมาตั้งหลายเดือน ไปหาหมอที่ไหนมาบ้าง เธอบอกว่า ไปหาหมอตามาแล้ว ก็ให้ยาหยอดตา ยาป้ายตามา ไม่ได้บอกว่าเป็นอะไรชัดเจน
ผมอธิบายให้เธอฟังว่า สงสัยว่าเธอจะเป็นโรคอะไร และแนะนำให้เธอตรวจเลือดดูภาวะธัยรอยด์เป็นพิษก่อน
เธอถาม ผมย้ำอีกครั้งว่า "ตกลง ที่หนูเป็นแบบนี้ เป็นจากครีมหน้าเด้งหรือเปล่าคะ"
ผมจึงยืนยันให้เธออีกครั้ง ว่า "อาการที่คุณเป็นนี่ไม่น่าจะเกิดจากครีมหน้าเด้งหรอกครับ " ก่อนที่เธอจะลุกออกไปจากเก้าอี้
ก่อนที่เธอจะลุกไปจากเก้าอี้ มีรอยยิ้มน้อย ๆ จากปากของเธอ และกล่าวขอบคุณผม แต่สิ่งที่ผมสังเกตเห็น เมื่อเธอยิ้ม
เธอยิ้มด้วย มุมปากข้างซ้ายข้างเดียวครับ
ผมรีบเรียกเธอ กลับมานั่งลงอีกครั้งหนึ่ง แล้วตรวจการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าส่วนอื่น ๆ ของเธอใหม่ พบว่าเธอมีกล้ามเนื้อใบหน้าซีกขวาทั้งซีกอ่อนแรง ไม่สามารถแสดงสีหน้าได้ นั่นคือ เธอน่าจะเป็นโรค " Bell's Palsy " ซึ่งน่าจะเป็นมานานพอควร จนกล้ามเนื้อด้านนั้นฝ่อ ดูเหมือนลูกตาด้านนั้นโปนออกมา เนื่องจากไม่ได้รับการฟื้นฟูที่ถูกวิธี
ผมจึงต้องคุยกับเธอใหม่ กับ ผลการตรวจ ที่ผมเห็นเมื่อสักครู่ และน่าจะเป็นโรคนี้มากกว่าโรคชุดแรกที่ผมบอกไป คำแนะนำที่ให้เธอ คือมันเป็นมานาน จนกล้ามเนื้อหน้าฝ่อไปพอสมควร อาจจะต้องปรึกษานักกายภาพบำบัดช่วย ที่ตอนแรกตรวจไม่พบ เพราะหน้าเธอเฉยเมยมาก จนกล้ามเนื้อใบหน้าไม่แสดงออกอะไร ให้สังเกตเลย
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากผู้ป่วยคนนี้ คือ การปลดปล่อยสิ่งที่คาใจผู้ป่วย เพียงบอกเธอว่า ที่เธอไม่สบายน่าจะเป็นอะไร หรือไม่ได้เป็นจากอะไร และให้คำแนะนำที่เหมาะสม ทำให้เราข้อมูลเพิ่มอีก ซึ่งบางข้อมูลก็เป็น Non-verbal Information ครับ
สวัสดีครับ อ.ขจิต
เป็นมุกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เจอในเวชปฏิบัติครับ คือ แอบขำตัวเอง วินิจฉัยแยกโรค ให้คนไข้ฟังเสียมากมาย
พอแกจะลุก ต้องคุยใหม่เลย
ตอนนี้สบายดีครับ งานของ อ.ขจิต คงเชิญราวเดือน ก.ย. นะครับ
แวะมา ขำ ๆ ด้วยคนค่ะ อันนี้อ่ะ Clinical risk อิอิ