กระบวนการเริ่มต้นสอนภาษาที่ได้ผล
การฟังและการอ่าน
ถ้าสังเกตในวัยประถมต้น จะเห็นว่าเด็กๆ ชอบเพลงที่มีการเคาะ เขย่า ตี และชอบเพลงและบทคล้องจองประเภท
" จันทร์เจ้าขา ขอข้าวขอแกง ขอแหวนทองแดงผูกมือน้องข้า..."
ความจริงเด็กชอบเล่นกับภาษาแบบนี้มาตั้งแต่วัยอนุบาล จะยังคงอยู่จนประถมต้น แล้วค่อยๆลดลงในวัยประถมปลาย แสดงว่าสมองเริ่มพัฒนาความสามารถรับรู้และสร้างสรรค์ทางภาษา พอที่จะล้อเลียนและเล่นคำ เด็กจะชอบเล่นคำสัมผัสอักษรต่างๆ เล่นเกมสัมผัสคำพร้อมกับเปลี่ยนท่าทางของมือและเท้าอย่างรวดเร็ว
เช่น" กรรไกร ไข่ ผ้าไหม ไข่หนึ่งใบ สองบาทห้าสิบ ห้าสิบ สองบาท หนึ่งใบ ไข่ ผ้าไหม ไข่ กรรไกร "
เด็ก 7 - 9 ขวบมีการพัฒนาสมองซีกซ้ายชัดเจนมาก เช่นเดียวกับการมีทักษะในการสะกดคำ วัยนี้เริ่มสนใจในรายละเอียดต่างๆ ของมวลประสบการณ์ จึงเป็นวัยความพร้อมเข้าสู่การเรียนรู้จากสิ่งที่เป็นรูปธรรมนานาชนิด
การเรียนภาษาคือ เด็กต้องมีประสบการณ์รูปธรรม หรืออย่างน้อยต้องเรียนภาษาเชื่อมโยงกับภาพและเรื่องราว เด็กในวัยนี้เรียนรู้ได้ดีที่สุดในกิจกรรมที่ต้องใช้มือและเสียง การปฏิสัมพันธ์กับสิ่งอื่น เด็กยังยึดเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง
ขั้นที่ 1 การอ่านให้ฟัง
1. สอนและฝึกฝนให้เด็กใช้ภาษาเพื่อการฟังและอ่าน ดังนี้
ก. ฟังและอ่านบทร้องเล่น บทคล้องจอง บทกล่อมเด็ก และบทเพลงง่ายๆเป็นต้น
ข. ท่องจำบทร้องเล่น และบทร้องกรองต่างๆ ที่ไพเราะ สนุกสนาน หรือน่าสนใจ
ค. อ่านและเล่าเรื่องนิทาน เรื่องจริง และเรื่องในจินตนาการง่ายๆ ที่ใช้ภาษาอ่านง่าย ต้องเริ่มใช้คำจำนวนน้อย
ขั้นที่ 2 อ่านด้วยกัน
การอ่านด้วยกัน คือ เด็กอ่านร่วมกับเช่นอ่านคลอหรืออ่านตาม นับเป็นความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษรและเสียงอ่าน โดยการอ่านให้ฝึกฟังเสียงสัมผัส เสียงคล้องจอง หรือเรื่องราวที่ประโยคใช้โครงสร้างซ้ำๆ ซึ่งจะมีผลให้ " การรู้ภาษา " เกิดขึ้นตามธรรมชาติในตัวเด็ก
การอ่านเริ่มจากการให้เด็กฟังครูอ่านบทคล้องจอง นิทาน หรือเรื่องราวสนุกที่มีภาพประกอบชัดเจน ให้เด็กดูตามตัวหนังสือและรูปภาพจากหนังสือที่ครูอ่าน เพื่อมองจะได้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างภาพที่เห็นกับความหมายของคำจากภาพ ทำให้เด็กเข้าใจคำศัพท์ ลักษณะเสียงที่เกิดจากการเรียงตัวของอักษรในคำ และจังหวะจะโคน
การฟังจะเกิดขึ้นก่อน ส่วนการอ่านจะตามมาทีหลัง การอ่านด้วยกันสำคัญ คือเด็กได้เปล่งเสียงออกมา เช่น
เด็กอ่านข้อความว่า " เอ้าเฮพวกเรา เร็วเข้าจับปลา " เสียงที่เด็กอ่านตามครูหรืออ่านเดี่ยวในห้องจะดัง และเด็กจะได้ยินเสียงตัวเองสมองรับรู้เสียงที่เปล่งออกมาจากลำคอ เป็นการป้อนสัญญาณกลับคืนสู่สมองอีกครั้งหนึ่ง ทำให้การอ่านเกิดขึ้นอย่างถาวรในสมองเด็ก แต่ถ้าเป็นการอ่านตามครูแบบนกแก้วนกขุนทอง คือ ขยับปากอ่าน แต่ใจเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น ( อีกทั้งไม่รู้อ่านอะไร ) การอ่านนั้นจะไร้ความหมาย
หนังสือที่ควรเลือกให้ฝึกอ่าน
1. ควรเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดจินตนาการและความใฝ่ฝันของเด็กเล็ก
2. หนังสือ ยังไม่เน้นความรู้และวิชาการ เพราะทำให้เด็กเบื่อ
3.ควรเป็นหนังสือที่อ่านง่าน ตามความสนใจ เพื่อให้เด็กหัดเดาความหมายของคำที่ไม่รุ้จักตามข้อความที่แวดล้อม
ขั้นที่ 3 การอ่านในใจ และการอ่านเองเงียบๆ
การอ่านเองในใจ และการอ่านเองเงียบๆ เกิดขึ้นหลังจากการฟังครูอ่าน และการพยายามอ่านออกเสียง การอ่านในใจและการอ่านเองเงียบๆเกิดขึ้นตั้งแต่เด็กเริ่มสนใจหนังสือ มคต้นจากการอ่านคนเดียว หรืออ่านคู่กันก็ได้ ถ้าเด้กสมัครใจจะจับคู่กันอ่าน เขาอาจช่วยเหลือกันเองในการอ่านก็ได้
การอ่านเองเงียบๆ ค่อยๆเกิดขึ้นเมื่อ
1. เด็กสนใจที่จะหยิบหนังสือขึ้นมาพลิกดู แม้จะยังอ่านไม่เข้าใจ
2. เด้กสนใจที่จะลองอ่าน โดยอาศัยความจำเชื่อมโยงมาจากความทรงจำจากการฟัง
หนังสือที่เด็กจะอ่านในใจ มักจะเป็นหนังสือที่คุ้นเคยมาก่อน อ่านง่าย เนื้อหาไม่มาก และมีภาพประกอบช่วยให้จำคำศัพท์ในเรื่อง และที่สำคัญต้องเป็นหนังสือที่คุณภาพดีมาก น่าสนใจ จนเด็กกระหายที่จะอ่าน จัดหาหนังสือที่หลากหลายมาให้เด็กอ่าน เช่นหนังสือ
นิทานประกอบภาพ หนังสือตลก หนังสือเกี่ยวกับสัตว์ เป็นต้น
( เรียบเรียงจาก กระบวนเรียนรู้ภาษาไทยเพื่อพัฒนาสมอง ของ สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี 2550 )
ครูอ้อยมาอ่านเก็บความรู้ไปแล้วนะคะ
ครูอ้อยเคยสอน ป.1 ปัจจุบันสอน ป.4ค่ะ
เรียนรู้กับครูอ้อย ที่นี่ .... ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ได้ไปอ่านเรียนรู้กับคุญณครูอ้อย ขอชื่นขม อยากให้ครูไทยเอาใจใส่เด็ก
และพัฒนาเด็ก อย่างจริงจัง เราคงไม่มีปัญาระดับชาติที่เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่คล่องโดยเฉพาะภาษาไทยที่เป็นภาษาแม่
ที่จริงมีตัวอย่างที่เป็นแบบฝึก
กำลังฝึกในการจะนำรูปภาพลงบล็อก
เพราะคอมฯไม่เก่ง เป็นครูสมัยเก่าค่ะ