-
บันทึกเป็น AAR ที่เกิดจากงานสัมนา "Value Culture & สุนทรียพาสร้างสรรค์(Dialogue) Learning Organization & Knowledge Management" จัดโดย ศูนย์พัฒนาและประกันคุณภาพ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
-
โดยในวันที่ 2 นี้ ได้รับเกียรติจากท่านอาจารย์ทวีสิน ฉัตรเฉลิมวิทย์ ผู้จัดการด้านพัฒนาองค์กร -ของปูนใหญ่ เป็นวิทยากรกระบวนการ พาเรียนรู้เครื่องมือต่าง ๆ ที่จะนำพาเข้าไปสู่สุนทรียสนทนา (Dialogue) อย่างไม่รีบร้อน
-
เริ่มต้นเช้านี้โดยการ Action Learning เครื่องมือที่ชื่อว่า World Cafe'
-
ท่านวิทยากรเริ่มด้วยการเปิดวีดีทัศน์ เรื่อง "การเกษตรเชิงเดี่ยว" (ม้งปลูกกะหล่ำปีที่เพชรบูรณ์) ให้ทุกคนดูอย่างสงบร่วมกันก่อน เพื่อจะได้นำสิ่งที่ได้เห็นและได้ฟังไปเป็นประเด็นในการสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกิจกรรม World Cafe' กันต่อไป
-
ให้ผู้เข้าร่วมจัดเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละประมาณ 6 คน นั่งล้อมวงหันหน้าเข้าหากันเพื่อแรกเปลี่ยนเรียนรู้และฝึกฟังให้ได้ยิน (Deep Listening)
-
โดยในรอบแรกนี้กำหนดให้ทุกคนพูดในสิ่งที่ได้เห็นกับสิ่งที่ได้ฟังโดยไม่ต้องใส่ความคิดเห็นหรือความรู้สึกของตนเองเข้าไป โดยให้พูดทีละคน คนที่ไม่ได้พูดให้ฝึกฟังให้ได้ยิน
-
หลังจากเสร็จแล้วให้เลือกตัวแทนของกลุ่ม 1 คนให้อยู่เป็นเจ้าบ้าน (Host) ไว้คอยต้อนรับสมาชิกใหม่ในรอบต่อไป โดยคนที่เหลือให้แตกกันออกไปคนละทิศคนละทางเพื่อไปร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกลุ่มอื่นต่อไป
-
ในรอบที่ 2 นี้จะให้ทุกคนเล่าทีละคนว่าได้ ลปรร. อะไรมาบ้างจากกลุ่มเดิม โดยคราวนี้ให้ใส่ความคิดเห็นและความรู้สึกของตนเองเข้าไป โดยเริ่มที่เจ้าบ้านจะทำการต้อนรับแขกและเล่าก่อน เมื่อเล่าเสร็จแล้วก็ให้เลือก Host ใหม่และแตกกระจายกันออกไปจับกลุ่มกันใหม่ในรอบที่ 3 ต่อไป
-
ถึงตรงนี้ถ้าคำนวณเป็นคณิตศาสตร๋ง่าย ๆ จะเห็นได้ว่า ความรู้เดิมที่แต่ละคนได้มารวมทั้งของตนเองด้วย คือ 6 แนวคิด และเมื่อนำมาแลกเปลี่ยนกันในวงรอบที่ 2 นี้ จะเท่ากับ 6x6 = 36 แนวคิดเลยทีเดียว โดยเป็นการมองผ่านแว่นความคิดเห็น ความรู้สึก และประสบการณ์ของแต่ละคน เน้นอย่าลืมว่าคนที่ไม่ได้พูดจะต้องฝึกฟังให้ได้ยิน (Deep Listening)
-
จะสังเกตุได้ว่า ในรอบแรกทุกคนจะได้เห็นและได้ฟังมาเหมือน ๆ กัน ไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก
-
แต่ในรอบที่ 2 นี้ จะมีความแตกต่างหลากหลายออกไปตามประสบการณ์เดิมของผู้พูดแต่ละคน เพราะผู้พูดแต่ละคนมี Tacit Knowledge ของตนเองที่แตกต่างกันไป
-
ถ้าเราสามารถฟังให้ยิน และสามารถเปิดพื้นที่การเรียนรู้ของเราให้ได้มากเท่าไร เราก็จะสามารถเรียนรู้ในความแตกต่างและหลากหลายเหล่านั้นได้มากยิ่งขึ้นด้วย
-
ในรอบที่ 3 (คราวนี้ผมได้รับเลือกให้เป็นเจ้าบ้านด้วย และสมาชิกที่เข้ามา ลปรร นั้นเป็นผู้หลักผู้ใหญ่กว่าชุดเดิม) มีข้อกำหนดว่าให้นำความรู้ที่ได้เรียนรู้มาบูรณาการเพื่อพัฒนาองค์กรของเรา
-
ในการเล่าเริ่มต้นในฐานะเจ้าบ้านผมก็พยายามสรุปสิ่งที่กลุ่มเดิมได้เสนอแนวคิดเอาไว้ก่อนเป็นเบื้องต้นเพื่อต้อนรับแขก และเวียนเล่าเรื่องกันทีละคน
-
รอบนี้พบว่า แต่ละท่านจะค่อนข้างมีประสบการณ์สูงมากเพราะเป็นผู้บริหาร มีมุมมองที่เกิดจาก Action Learning จริง ๆ ที่เกิดขึ้นในหน่วยงานของท่านมาเล่าสู่กันฟัง พอจะสรุปได้ประมาณนี้ครับ
-
ท่านที่ 1 กล่าวว่า คนในหน่วยงานควรคุยกันให้มากขึ้น ผู้บริหารควรจัดให้มีห้องสำหรับพบปะกันเน้นให้น่าอยู่ให้คนอยากเข้าไปใช้เพื่อเป็นสถานที่ให้ได้พูดคุย ลปรร. อาจจะพูดคุยกันทุก ๆ เช้าก่อนการทำงานก็ได้
-
ท่านที่ 2 กล่าวว่า หน่วยงานของท่านก็มีการจัดพบปะพูดคุยกันตอนบ่ายวันพฤหัสบดีทุกสัปดาห์ ท่านเสริมว่าถ้าเราไม่คุยกันแล้ว จะทำให้แต่ละคนคิดเอาเอง คิดไปเอง จนสุดท้ายไม่เข้าใจกันก็กลายเป็นการนินทากันก็มี
-
ท่านที่ 3 เล่าว่า ที่ทำงานเก่าท่านมีคนไม่มากก็จัดพูดคุยกันได้สะดวกดีมาก แต่พอมาอยู่หน่วยงานใหม่ที่มีคนจำนวนมากการจัดแบบนั้นก็ทำได้ยากขึ้น
-
...ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น ผมเกิดปิ้งแว๊บ! ขี้นมา และประกอบกับท่านวิทยากรให้ตัวแทนกลุ่มออกมาเล่า ลปรร. ให้กลุ่มใหญ่ฟัง
-
และด้วยความกลัวจะลืม+ถือวิสาสะใช้อำนาจเจ้าบ้าน ยกมือขอนำเสนอก่อนเพื่อน แต่ที่จริงตั้งใจอยากให้เกิดบรรยากาศจิตอาสา กระตุ้นให้คนอื่น ๆ ออกมาพูดกันมากขึ้น
-
ผมปิ้งแว๊บ! (Open will) ว่า ...กิจกรรมที่ทำกันมา 2 วันนี้ เป็นกิจกรรมที่ดีมากสำหรับที่จะนำไปพัฒนาบุคลากรและพัฒนามหาวิทยาลัย แต่ความยากอยู่ที่ว่า เราจะสานต่อจากการสัมมนาในครั้งนี้ให้สุนทรียสนทนากลายไปเป็นวัฒนธรรมองค์กรของ มมส. ได้อย่างไร ?...ประมาณนั้น
-
จริง ๆ ผมมีคำตอบในใจของผมอยู่แล้วระดับหนึ่ง แต่ตัดใจไม่นำเสนอแต่หยุดลงโดยการทิ้งคำถามนี้เอาไว้ให้ทุกท่านนำไปคิดต่อ
-
เพราะนึกถึงคำของ ดร.วรภัทร์ ว่า จะรีบไปไหน ?
ขอหยิบยืมภาพมาจากท่านอาจารย์ JJ อีกตามเคยครับ