ขอรำพึง รำพัน ต่ออีกหน่อย ตามหัวข้อประเด็นดังกล่าว คือ ความเหมือนความต่างของ Blog, Message board หรือ กระดานข่าว และสุนทรียสนทนา (Dialogue-- David Bohm)
Disclaimer ชี้แจงนิดนึงว่าสุนทรียสนทนาฉบับที่ผมกำลังพูดถึง มาจากการแปลส่วนตัวของหนังสือ On Dialogue และประสบการณ์อันน้อยนิดเกี่ยวข้องกับ Dialogue แต่ด้วยความสนใจ เอาไปเชือมโยงกับเรื่องเก่าอื่นๆของตนเอง ฉะนั้น อาจจะมีความเป็นไปได้สูงว่าผมเข้าใจผิดมโหฬารเกี่ยวกับ Dialogue ก้ได้
ผมเข้าใจว่าความ สวยงาม ของสุนทรียสนทนาเกิดขึ้นหลังจากมี collective หรือ community consciousness เกิดขึ้น นั่นคือมีการวางเอาตัวตน ความเป็นเจ้าของ คณค่าเดิม คุณค่าเก่าออกชั่วขณะ ไปเยี่ยมชม รับฟัง หน่วง (suspension and participation) สำรวจ การสั่นไหว ของกระบวนคิด (proprioception of thought) จึงสามารถมองเห็นภาพรวมขยายจากมุมเดิมๆของเรา เป็นมองจาก background ที่แตกต่าง ทั้งอาชีพ อายุ เพศ เชื้อชาติ ความเชื่อ วัฒนธรรม ฯลฯ ดังนั้น "วงสนทนา" ที่กำลังดีของสุนทรียสนทนาควรจะไม่เล็กเกินไป เพราะจะมี ความเหมือน ความเกรงใจ ความไม่อยากกระทบกระทั่ง และไม่ใหญ่เกินไปจนสูญเสียการแสดงความเห็นจากมุมบางมุม ต้อง ใหญ่พอ ขนาดที่ว่าจะมี ความต่าง ของเนื้อหากระบวนคิด และท้าทายเชื้อเชิญให้มี input ลงสู่ community ไม่สามารถนิ่งเฉย ปล่อยเลยตามเลย จึงมีผลทำให้ collective perception มีการเติบโต บูรณาการ และข้อสำคัญคือ การเชื่อมโยง (interconnectedness) เกิดขึ้น
โดยทั่วๆไปตอนเริ่มวงสุนทรียสนทนาตามธรรมชาติก็จะมีความเกรงใจ การหลีกเลี่ยง confrontation การเผชิญหน้าต่างๆจะไม่ค่อยเยอะมาก ดูท่าที แต่เนื่องจากวงที่ใหญ่ หรือวงที่มีความหลากหลาย ความต่างนี้ในที่สุดจะไม่สามารถ contained ได้ จนต้องมีการแลกเปลี่ยน และความคิดที่ diversity สูงๆถูกส่งลงไป มีแค่กติกาแห่ง suspension ที่จะช่วยให้ไม่เกิดการ breakdown ของวงลงไปอย่าง premature เท่านั้นเอง สมาชิกในวงไม่ใช่ไม่มีอารมณ์ แต่จะพยายามหน่วง และรับรู้ พยายามสังเกตเฝ้ามอง ทั้งเนื้อหา และ "ตนเอง" อย่าง มีสติ อย่างเจริญสติ สัมมาสติ observing the observer, the observed, and the observation
แต่ใน media ที่พวกเราใช้อยู่ในโลกข่ายไฟฟ้านี้ แตกต่างออกไป ทั้ง Blog และ กระดานข่าว บางคนอาจจะบอกว่ามันค่อนจะเกือบจะ "ตรงกันข้าม" ซะด้วยซ้ำ (เกือบจริง ในกรณีที่เป็น non-registered message board ที่ identity เป็น anonymous แต่ก็จะใกล้เคียงกันมากขึ้นใน register-only message board)
การเข้า blog นั้น เหมือนเดินเข้าไปในร้านสภากาแฟของเพื่อนบ้าน ยิ้มหวัวทักทายกัน รู้จักอุปนิสัยใจคอกัน พอสมควร หรือไม่ก็เห็นหน้าเห็นตากันอยู่ ถี่บ้าง ห่างบ้าง แล้วแต่ เป็นชุมชนเปิดเผย (ไม่อยากใช้คำว่าศิวิไลซ์ เพราะจะ unfair ต่ออีกประเภทเกิน) แต่ใน anonymous message board นั้น มี Id ออกมาเพ่นพ่านได้เยอะ ไม่มีใครรู้จัก แปลว่าไม่ต้องใช้ superego หรือกฏสังคมมากมายนัก ไม่ต้องมีความรับผิดชอบ (หรือมีไม่โดยตรงๆ) ต่อสิ่งที่ได้พูด ได้แสดง ลักษณะทั้งสองแบบที่ต่างกันนี้ มีทั้งข้อดีและข้อเสียเมื่อมองจากวัตถุประสงค์ของสุนทรียสนทนาเป็นโจทย์
ใน Blog (อย่างน้อยเท่าที่พยายาม serach อ่านของเรา) ไม่ค่อยมี หรือไม่มี confrontation หรือการเผชิญหน้าของความคิดที่ต่างกันมากๆเลย ผมอาจจะยังเล่น blog มานานไม่พอ แต่มันมีความรู้สึกถึงความเป็นกันเอง ความเกรงอกเกรงใจ และการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า นั่นคือเหมือนวง Dialogue แบบเริ่มต้นแรกๆนั้นเอง ทั้งๆที่ diversity น่าจะสูงมากๆ เพราะวงเราใหญ่ (เกินกว่าวง Dialgue จริง แนะนำประมาณ 40 คน)
ใน Anonymous message board นั้น ไม่เหมาะสำหรับคนโรคหัวใจอ่อน และในสังคมไทย (ขออนุญาต stereotype สักนิดเถอะ) ที่ high-tech but inadequate etiquette นั้น ตัวอะไรต่อมิอะไรจึงออกมาเพ่นพ่าน ขาดความยับยั้งชั่งใจ (อ่านข่าว webcam ที่มีเปิดห้อง chatroom โชว์อวัยวะเพศตนเองทาง virtual world ออกมาไม่นาน ประเทสไทยติดยอดการใช้เป็นอันดับสามของดลก รองจากอเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่งดูจากจำนวนประชากรแล้ว เผลอๆเราจะอยู่ใน severe addiction worst ที่สุด) จริงๆควรจะได้ประโยชน์ของการรวบรวม collective consciousness แต่ขาดกลไกที่สำคัญอย่างมากไป คือ suspension หรือการ "หน่วง" ความรู้สึก นึกคิด เป็นการสนทนาไร้สติ (หรือบางคนอาจจะเรียก "เสียสติ") ไม่เกิด proprioception of thought เพราะทุกอย่างเป็น reaction ปฏิกิริยาตอบรับโผงผางไปเลย
ในฐานะที่เคยเล่น message board มานานเป็นสิบปี ในที่ที่มี self discipline ของการแสดงออกนั้น message board แทบจะ create หรือ simulate Dialogue ระดับ Giant scale ได้เลยทีเดียว และการแลกเปลี่ยนนั้นมี diversity จุใจโก๋เล็กโก๋ใหญ่ทุกรุ่นทุกขนาดเลยครับ สนุกจริงๆ ใครเถื่อนเข้ามาก็จะถูก community กดดันจนต้องเปลี่บนพฤติกรรม หรือออกจากวงไป อย่างศิวิไลซ์จริงๆ แต่การ respect autonomy ของคนอืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ไม่มี identity ติดตัวนี้ของ board ไทย ผมว่าน้อยมากๆ น่าเสียดายจริงๆ
ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ที่สุดแล้ว Blog เราจะพัฒนาให้มี open and semi-confrontation มากขึ้น เพื่อพัฒนา collective consciousness ได้ดีขึ้น หรือว่าเราจะ mature พอที่จะเล่น anonymous messageboard ได้ระดับ Dialogue แต่ที่แน่ๆก็คือ การฝึก การทำ การใช้สุนทรียสนทนานั้น อาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของเราในอนาคตอันใกล้นี้ก้ได้ ถ้าเราจะต้อง break dead lock หรือตัดวงจรอุบาทว์ในขณะนี้ให้พ้นไปได้
เมื่อ พฤ. 15 ก.พ. 2550 @ 23:32
165475 [ลบ]
สวัสดีครับอาจารย์
ตามมาอ่านบันทึกอาจารย์ครับ อ่านรอบแรกคิดว่าต้องอ่านอีกหลายครั้งครับ เพราะว่าผมเข้าใจยังไม่หมด(อาจเพราะความรู้ประสบการณ์ที่ยังไม่เพียงพอ)
เท่าที่ผมพอจะเข้าใจ อยากจะขออนุญาต ลปรรกับอาจารย์ดังนี้ครับ
- เท่าที่ผมเข้ามาในนี้1 ปี ผมรู้สึกว่าผู้คนพยามเข้ามาเขียนแต่สิ่งที่ดีๆกัน และเข้ามาชื่นชมหรือ/และเก็บเกี่ยวความดีของผู้ที่มาบันทึกไว้ครับ มองจากมุมมองผมเองครับคือถ้าบันทึกไหนน่าจะสนใจก็จะเข้ามาอ่าน และคิดตามหรือคิดต่อ หรือจดจำและเชื่อมต่อกับความคิดของเราเองครับ.......
- ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่แน่ใจหรือเรื่องที่เห็นขัดแย้งมากๆอาจจะมีการ ลปรร เป็นการส่วนตัวหรือ mail หากันครับ(?) หรืออาจจะมีการถามด้วยคำถามที่ดูแนบเนียนโดยที่เหมือนไม่รู้สึกว่ามันดูขัดแย้งกันมากๆ
- หรืออาจเป็นเพราะว่าคนที่เข้ามาใน blog ส่วนมากจะเป็นกลุ่มคนที่อื่มไม่รู้จะเปรียบอย่างไรนะครับ ....คือจะเปรียบเหมือนคนที่เป็นกลุ่มของคนดีๆ กลุ่มคนที่มีความคิดดีงาม หรือมีความเป็นผู้ใหญ่มากๆ หรือว่ามองโลกในแง่มุมที่กว้างๆ สบายๆและยอมรับในความแตกต่างที่มากๆ คล้ายๆกับการมารวมตัวของผู้บรรลุธรรมในระดับที่ดีแล้วพอสมควรครับ
- มีอีกอย่างที่อยากเรียนถามอาจารย์ครับคือว่าถ้าในบล็อกนี้มีแต่ความดีงามของผู้คน(ซึ่งผมรู้สึกอย่างนั้นครับ) การที่เราเข้ามาในกระแสแห่งความดีงามนี้ เข้ามาเก็บเกี่ยว เข้ามาเรียนรู้ และ ลปรร ผมเข้าใจว่ามันอาจจะทำให้เราซึมซับความดีของผู้คนต่างๆเหล่านี้ได้จริงๆหรือเปล่าครับ....
เมื่อ ศ. 16 ก.พ. 2550 @ 01:31
165539 [ลบ]
เป็นประเด็นที่แหลมคมมากครับ ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ชาว G2K ควรหยิบยกขึ้นมา พิจารณาแบบ dialogue เป็นอย่างยิ่ง
ผมมองว่าลักษณะหวานแบบนี้เป็นมาจาก แนวคิดพื้นฐานของกลุ่ม ผมสังเกตดู blog นี้จะมีจุดเริ่มต้นจากกลุ่ม KM ซึ่งในการมีปฏิสัมพันธ์กันนั้น เหมือนกับจะอิงอยู่บนพื้นฐานของคำว่า "ชื่นชม" ดัง เช่น ..
"ใครอยากมีความสุขให้เข้ามาใน GotoKnow" นี่คือคำคมคำหนึ่งของ ศาสตราภิชาน ไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ ผู้แสดงปาฐกถาพิเศษในงานมหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติ วันที่ ๑ ธค. ๔๙ เป็นคำที่ให้ภาพลักษณ์ของ GotoKnow bloggers ได้ชัดเจนที่สุด ..
และ ..ได้เห็นสภาพ "ญาติ บล็อก" ของเหล่า บล็อกเก้อร์ แล้วผมมีความสุขมาก "
(อ้างจากhttp://gotoknow.org/blog/thaikm/66976)
ข้อสังเกตของอาจารย์ Phoenix ผมคิดว่าก็เป็นสิ่งที่หลายๆ คนสังเกตเห็น อาจารย์จันทรรัตน์ก็เคยมีความรู้สึกทำนองนี้เหมือนกัน (คุณเคยเจอความจริงใจบน gotoknow.org ในรูปแบบไหนบ้างคะ )
ผมคิดว่าการชื่นชมเป็นความจำเป็นในเบื้องต้น ในการกระตุ้นพลัง การผูกไมตรี การสร้าง unity อย่างไรก็ตาม มันก็ต้องมีระยะเวลาที่ดำรงอยู่แค่ช่วงหนึ่ง แล้วก็คลายความเข้มข้นไป เกิดพัฒนาการของ ideology ใหม่ๆ ขึ้นมา พออีกระยะหนึ่งก็จะเกิดการคลี่คลายตัวสู่ภาวะใหม่ขึ้นอีก
ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อเกิดการชะงักงันอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งนานเกินไป อาจเป็นเพราะความคุ้นเคย ความอิ่มเอิบ การพะวงต่อรูปแบบใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร
การชื่นชมนี้ถ้าอยู่ไปนานเกินและอยู่แค่นี้ก็จะกลายเป็นตัวถ่วงการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าประเด็นในการพัฒนาของเราคือ "ความรู้" และ "ปัญญา" ซึ่งการชื่นชมหรือคำหวานถ้ามากไปก็เหมือนน้ำตาลที่ทำให้เด็กอ้วน ไม่ยอมกินอาหารอื่นเพราะไม่อร่อยเท่า ถ้าองค์กรติดอยู่แค่ในระดับนี้ก็จะเป็นเหมือนกับ "ลัทธิ" ทีอยู่สุขกับความอิ่มเอิบ หลงลืมการแสวงหา
เนื่องจากสมาชิกของ blog นี้เป็นลักษณะ dynamic มีสมาชิกใหม่เข้ามาอยู่เรื่อยๆ ผมมองว่าในการดำเนินการ จำเป็นต้องมีการสร้างแนวร่วม ส่งเสริมพลังในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แก่สมาชิกใหม่ ก็อาจมีสมาชิกจำนวนหนึ่งที่ทำหน้าที่คอยต้อนรับ ประคับประคอง ให้กำลังใจ ส่งเสริมให้เขียนเรื่องเรื่อยๆ (เหมือนกับที่ผมได้รับของเข้ามาใหม่ๆ) จนเขาเกิดความคุ้นเคย รู้สึกว่าที่นี่คือสถานที่ปลอดภัยที่เขาสามารถจะ ลปรร ได้อย่างมั่นใจ ก็จะชักนำเขาเข้าสู่ระดับสองคือการ ลปรร แบบ critical, synthetic, lateral etc. ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาได้เห็นจากสมาชิกรุ่นพี่ทำกัน ทั้งนี้สำหรับสมาชิกรุ่นพี่คงไม่ต้องการการเติมน้ำตาลให้กันมากแล้ว การบันทึก การวิจารณ์บันทึกจะเข้มข้นขึ้น มุ่งในประเด็นของการสร้างความรู้มากขึ้น เป็นหมือนหัวหอกนำกลุ่มเรา ชักนำประเด็นการขบคิดไปสู่เรื่องที่เป็นการสร้างสรรค์พัฒนาปัญญามากยิ่งขึ้นๆ
ถ้าให้อาจารย์ phoenix ประมาณการคิดว่าสมาชิกของเราตอนนี้อยู่ในระดับต่างๆ เป็นสัดส่วนประมาณเท่าไรครับ
เมื่อ ศ. 16 ก.พ. 2550 @ 03:16
165551 [ลบ]
ขออนุญาตแสดงตนว่าเข้ามาอ่านนะคะ
แม้ยังไม่เข้าใจทั้งหมด (เพราะมีศัพย์ยากๆหลายคำ) แต่ก็พอเข้าใจในประเด็นที่อาจารย์ทั้งหลายกำลังพูดถึงค่ะ
แต่ยังไม่สามารถร่วม ลปรร ได้ เพราะยังนึกอะไรไม่ออก เนื่องจากรู้สึกว่า สิ่งที่ทั้ง 3 ท่าน โพสต์ไว้ข้างบนนั้น เติมในความคิดจนเต็มแล้วน่ะค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
เมื่อ ศ. 16 ก.พ. 2550 @ 09:56
165673 [ลบ]
สวัสดีครับคุณหมอ kmsabai
มนุษย์เรามี selective perception คือ "เลือกที่จะรับรู้" ทั้งรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง ตลอดเวลาครับ ลองนั่งนิ่งๆสักนิดแล้ว "เปิดจิต" เราจะเริ่มได้ยิน ได้เห็น ได้กลิ่น อะไรต่อมีอะไรมากมายเพิ่มขึ้นกว่าตอนที่เรากำลังทำอะไรอยู่เมื่อตะกี้นี้ เริ่มรู้สึกเมื่อยขบก้น คันตายิบๆ หิว ง่วง ฯลฯ และเรายังมี selective interpretation ได้ด้วย คือเลือกรับแล้วก็ยังเลือกแปล
เรา classify ดี/ไม่ดี บางทีเราคิดว่าโดยกระบวนการคิดและไตร่ตรอง แต่บางทีก็โดยอารมณ์ครับ พฤติกรรมอย่างเดียวกัน บางทีเราก็ไม่เห็นด้วยจึงไม่ชอบ แต่ถ้าเพื่อนเรา คนสนิทเรา ทำในบริบทอีกแบบ เราก็อาจจะชอบ เห็นด้วยก็ได้ แต่เนื่องจากน้อยครั้งที่เราจะจัดเรื่อง "ความดี/ไม่ดี" เป็นบริบท พอเราจัดว่าไอ้นี่ไม่ดี หมอนี่เลว (ทั้งที่ใช้อารมณ์อยู่) เราก็จะ "จำ" ไปอย่างนั้น แม้ว่าภายหลังอารมณ์ดีขึ้นแล้ว เราจะเผลอคิดว่าไปที่จัดว่าเลว หรือไม่ดีนั้น กลายเป็น "ข้อเท็จจริง" ไม่ใช่ emotional judgemental attitude
ตอบคำถามคุณหมอนะครับ ผมคิดว่าถ้าเรา "เลือก" แล้วเราก็ได้สิ่งที่เรา "เลือก" ติดตัวไปแน่นอนครับ ตรงนี้มีคนเรียกว่า free will เป็นการได้สิ่งที่เราเป็นคนเลือก ไม่ใช่คนอื่น สังเกตเห็นผมจะตัดคำว่า "ดี" ออกไปจากคำถาม เพราะตรงนั้นเป็น value ของตัวเราเองครับ แน่นอนเราเลือกเพราะเรา "คิด" ว่าดี แต่ผมเองค่อนข้างลังเลที่จะประกาศว่าอะไรเป็น absolute goodness ครับ มันมักจะเป็นบริบทเสมอๆ อย่างที่มีคนบอกว่า "บางทีเราไม่ได้ทำ good thing, แต่เราต้องทำ the right thing" นั้นแหละครับ เช่น ผู้พิพากษาตัดสินประหารชีวิตตามกฏหมาย ยังไงๆตามจริยศาสตร์ ทำลายชีวิตนี่มันขัดแย้งแน่ๆอยู่แล้ว แต่ใน "บริบท" เป็น the right thing ที่สังคมนั้นๆยอมรับ
อีกประการ สิ่งที่เราซึมซับนั้น เป็นแค่ "ความคิด และคำพูด" ของคนๆนั้นครับ ไม่ใช่ "ความดีของคนๆนั้น" ดูเหมือนจะเล่นคำ แตผมคิดว่าสำคัญครับ ในยุคปัจจุบัน คน "พูดดี" หาไม่ยากมากเท่าไร แต่ถ้าเราเผลอไผลคิดว่าคนพูดดี คือคนดี เรากำลังใช้ emotional judgement และก็อาจจะคิดต่อๆไปได้ว่าสิ่งที่คนๆนี้ทำน่าจะดีด้วย เพราะคิดดี ในกรณีที่สงสับก็จะยกประโยชน์ให้จำเลยไป ก็จะกลายเป็นการใชตรรกะแบบผิดครับ
เมื่อ ศ. 16 ก.พ. 2550 @ 12:36
165800 [ลบ]
สวัสดีครับอาจารย์
เมื่อ ศ. 16 ก.พ. 2550 @ 15:14
165896 [ลบ]
ขอบคุณ อ.มาโนชครับ
อาจารย์พูดเหมือนกฤษณมูรติเลย ในหนังสือเล่มนึงว่าด้วยการศึกษาเรียนรู้ พฤติกรรมของคนที่มีการ "เปลี่ยน" แปลงความเชื่อทีนึงก็ดีอกดีใจ แต่จริงๆก็คือแค่เป็นฤดูกาลย้ายลัทธิเท่านั้นเอง แล้วเราก็จะ ติด อยู่กับลัทธิใหม่ทดแทนไปเรื่อยๆ
ส่วนหนึ่งที่ผมคิดว่าขาดไปในการโต้ตอบ (ไม่ทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่ของการ response ในกระทู้) ของบทความใน blog คือ การต่อยอดความคิด การแลกเปลี่ยนความต่าง และถ้าจะให้ดีก็คือ การสะท้อนความคิด ความรู้สึก ลงไป เพื่อการพัฒนา collective consciousness ให้เกิดให้ได้ ไม่งั้นอุตส่าห์มาตอบแล้ว แต่คนเริ่มยังรู้สึกเหมือนซ้อมชกลมอยู่ ก็น่าเสียดาย
จริงๆที่เคยทำได้ ถ้าเห็นด้วยกับกระทู้เป็นส่วนใหญ่ คือการทำ elaboration ใหม่ เป็นอีกมุมหนึ่ง เพื่อทดสอบสุดท้ายว่าเหมือนกันจริงหรือเปล่า เพราะบางทีเราใช้คำๆเดียว แต่คนละความหมายก็บ่อย พออ่านแค่คำเหมือนกันเผลอคิดว่าคิดเหมือนกัน ก็พลาดได้ หรือไม่ก็ลองลงไปที่เบื้องหลังกระบวนคิด อะไรเป็นตัวผลัก อะไรเป็นตัวตกผลึก ของเรา ที่มาที่แตกต่างแต่ออกมาเป็น output คล้ายๆกันก็มีส่วนในการสร้าง collective consciousness ได้ดีไม่น้อยเหมือนกัน
อาจารย์ถามสัดส่วนสมาชิก โห... อันนี้เกินความสามารถ ไม่เดาล่ะครับ total มีเท่าไร? ร้อย พัน หมื่น และที่ได้อ่านเป็นสักเท่าไร สิบ? ผมยังอยากจะคิดว่าเรายังไม่เจอชุดที่มีการแลกเปลี่ยนมันๆ ซ่อนเร้นอยู่ภายในนี้ก็เป็นได้ (ในกระทู้กระดานข่าวคณะแพทย์ ม.อ. ขนาดเป็น anonymous ก็ยังแห้งแล้งได้เป็นบางฤดูกาลครับ แต่มีหลายกระทู้ที่ต่อความยาวสาวความยืดได้เนื้อหาพอสมควร)
เมื่อ ศ. 16 ก.พ. 2550 @ 15:16
165900 [ลบ]
ต้องขออภัยคุณ K-jira ด้วยครับ ผมติดนิสัยใส่ภาษาต้นฉบับ (ที่ไปลอกเขามา) ประกอบด้วย เพราะไม่แน่ใจตนเองว่าจะแปลได้ดีแค่ไหน พอดี reference มาจากหนังสือเป็นส่วนใหญ่ บางทีมาอ่านทีหลังก็มึนเหมือนกันว่าตูเขียนยังกะ thesis
แล้วกลับมา ลปรร ใหม่นะครับ (กำลังหัดใช้คำย่อนี้อยู่ครับ)
เมื่อ ศ. 16 ก.พ. 2550 @ 15:42
165919 [ลบ]
คุณหมอ kmsabai ครับ
ผมก็เคยคิดว่าตัวเองเป็นนักตรรกทีดีมากเลยครับ ตอนหลังอ่านเจองานวิจัย ปรากฏว่าสิ่งที่เราทำ (พฤติกรรม) นั้น ระหว่าง emotional versus logical เป็นสัดส่วนประมาณ...
แต่น แตน แต๊น
24:1 หรือ 96% เป็น emotional driven behavior ครับ!!
เพียงแต่เรานึกย้อนหลังว่าเราทำยังงั้นๆเพราะเหตุผลยั้งงี้ๆ เป็น retrospective rationale เท่านั้นเอง ตั้งแต่ตื่นนอน ลุก แปรงฟัน อาบน้ำ หยิบสบู่ ร้องเพลง เช็ดตัว กิจกรรมเกือบทั้งหมดเป็น emotionalbased ทั้งสิ้น น้อยมากที่เรากำลัง "คิด" ว่าเดี๋ยวจะแปรงฟันสัก 1 นาที แล้วค่อยบ้วนปาก ที่แปรงฟันก็เพื่อให้ปากสะอาด อย่าลืมแปรงซอกฟัน ฯลฯ เป็นเกียร์ออโต และผลักโดยอารมณ์เป็นหลักครับ
โฆษณาขายสินค้าแทบจะไม่เคยแตะส่วนตรรกะของลูกค้าเลยถ้าจะสังเกตดู เน้นอารมณ์กันเนื้อๆครับ ไม่ว่าโฆษณา "พ่อรักลูก" ของไทยประกันชีวิต โฆษณา จน เครียด กินเหล้า จะเห็นว่าสื่อต่างๆเน้นอารมณ์เป็นหลักครับ ใช้แล้วสวย กินแล้วเท่ห์ ดื่มแล้วหล่อ อะไรทำนองนี้ รายการโทรทัศน์ยอดฮิตอย่าง AF ก็หาสาระอะไรไม่ได้เลย เป็น glorify easy hit และ quick money เท่านั้น
คุณหมอลอง explore ด้านอารมณ์มากขึ้น นำมาประกอบกับความรู้สึกในด้านต่างๆ จะมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะเลยครับ
เมื่อ ส. 17 ก.พ. 2550 @ 10:10
166444 [ลบ]
ผมเป็นคนชอบฟังมากกว่าพูดโดยเฉพาะในการประชุม ผมจะนั่งแบบที่สกลบรรยายไว้ได้อย่างถูกใจผมมากกกกก ว่า "ได้แต่อมยิ้ม ทำตาลึกลับ" เพราะชอบฟังเวลาผู้รู้หลากหลายความคิด โต้กันด้วยปัญญาอย่างเปิดเผยตัวตน บรรยากาศใน GotoKnow ก็เป็นแบบนั้น ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ อ่าน มากกว่า เขียน และได้รู้ ได้รับประสบการณ์จากคนทำงาน หรือบางบันทึกก็มีการ โต้กันด้วยปัญญาอย่างเปิดเผยตัวตน ถึงแม้จะมีลักษณะประนีประนอมไปบ้าง
ผมจะไม่ชอบถ้าการโต้ตอบนั้นเกิดขึ้นโดยไม่เปิดเผยตัวตน ซึ่งไม่ต่างจากบัตรสนเท่ห์หรือการนินทาลับหลัง ซึ่งผมจัดกลุ่มความเห็นเหล่านี้ว่าอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐาน จึงรู้สึกแย่เอามากๆใน webboard ทั่วไป
แต่เมื่อมาใช้ชีวิตใน GotoKnow ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของบางคนที่ไม่อยากเปิดเผยตัว อย่างคุณ K-jira มากขึ้น ซึ่งผมคิดว่า เธอแค่ไม่อยากเปิดเผย..ใบหน้าตัวเองเท่านั้น แต่ตัวตนสามารถสืบค้นได้ง่ายว่าเธอคือใคร ผมคิดว่านี่เป็นเพียงแค่กลุ่มชนที่ชอบยืนอยู่ในร่ม ไม่ใช่เงามืด ไม่ใช่ไม่เปิดเผยตัว
ผมจะรู้สึกแย่เอามากๆ ถ้าบุคคลนั้นไม่แสดงตัวอะไรเลย อย่างเช่น ผู้เรียกตนเองว่า นักเรียน เข้ามาร้องเรียนความประพฤติของคุณครูท่านหนึ่งในจังหวัดสตูลโดยบอกชื่อเสียงเรียงนามคุณครูคนนั้นชัดเจน แต่ไม่เปิดเผยตนเอง และยังรู้สึก ติดขัด..แม้แต่สิ่งนั้นจะเป็นเรื่องดีๆ อย่างกรณีของ ครูอ้อยถูกบอกรัก หรือ ผมถูกชม
ผมชอบบรรยากาศแบบ สุนทรียสนทนา เรื่องเล่าเร้าพลังของ KM เพราะกติกาหนึ่งคือ คนฟังฟังอย่างตั้งใจ พยายามสนับสนุนให้คนพูดกล้าพูดออกมา เพราะเดิมผมเป็นพวก กลัวดอกพิกุลร่วงจากปาก พูดน้อยจนคนสงสัยว่าเป็นใบ้ กว่าจะมาถึงวันนี้ซึ่งก็ยังถือว่าพูดน้อยอยู่ ก็เข้าข้างตัวเองว่าก็พัฒนาทักษะนี้จากจุดเดิมมากแล้ว ที่เป็นอย่างนี้ได้ ก็เพราะได้รับการประคับประคองมาจากวงสนทนาแบบนี้ จากเพื่อน จากผู้หลักผู้ใหญ่ที่เมตตา
ผมคิดว่าบรรยากาศในแต่ละบันทึกของ GotoKnow จะเป็นตัวบอกเองว่า บันทึกไหนเข้มข้น บันทึกไหนชุบชู บันทึกไหนต้อนรับน้องใหม่ ผู้เข้ามาเยือนสามารถเลือกเข้าไปหาอ่านเอง ว่าอยากจะลับเขี้ยวลับคมสมอง หรือจะดื่มน้ำทิพย์ชะโลมใจตนเอง ได้อย่างอิสระ นั่นคือข้อดีของโลกไซเบอร์นี้ ในขณะที่การพบหน้ากันในวงแบบ F2F เราไม่ได้มีทางเลือกหรือโอกาสทำอย่างนี้ด้วยมารยาทในสังคม ผมเคยรู้สึกอึดอัดในวงสุนทรียสนทนาบางวงที่มีบุคคลที่ผมเคารพรักทั้งนั้น แต่เพราะความไม่รู้ว่าสุนทรียสนทนาคืออะไร ทำให้ผมอึดอัดแต่หนีไปไหนไม่ได้ ต้องเดินเข้าห้องน้ำตั้งหลายหน
ผมไม่ชอบขัดแย้งใคร ลึกๆอาจเป็นเพราะกลัวคนไม่รัก เหม็นขึ้หน้า จึงพยายามประนีประนอม ซึ่งแน่นอนมันมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัว แต่ผมก็หัดที่จะแสดงออกถึงความขัดแย้ง ถ้าผมมั่นใจว่าคนที่เราคุยด้วยจะรับฟังเรา ถ้าผมมั่นใจว่าความเห็นขัดแย้งของผมจะเป้นประโยชน์กับคนๆนั้นถ้าเขาสัมผัสได้
ถ้าผมทักสกลว่า เนื้อหาสูงส่งเกินไป คนฟังเมื่อยคอ ผมก็จะเก็บมาคิดว่า เนื้อหาของเราต่ำไป น้ำเน่าเกินไปหรือเปล่าด้วย
ถ้าผมทักสกลว่า พูดมากไป ยากไป ผมก็จะเก็บมาคิดว่า ผมพูดน้อยไป ธรรมดาไปหรือเปล่าด้วย
ถ้าผมทักสกลว่า ต้องหัดพูดให้สั้นลง ผมก็จะเก็บมาคิดว่า ผมเองต้องหัดให้ความเห็นยาวขึ้น ซะบ้าง
ความเห็นนี้ของผม ยาวขึ้นแล้วนะ สกล
เมื่อ ส. 17 ก.พ. 2550 @ 10:58
166494 [ลบ]
ต้องหัดพูดให้สั้นลง พูดสั้นลงน่าจะได้ผลดีกว่า
เมื่อ ส. 17 ก.พ. 2550 @ 11:18
166532 [ลบ]
เมื่อยหัว
แต่ว่าแต่ว่านะคุณหมอ
เรื่องแบบนี้ พูดบนG2Kตอนนี้ พอได้ พอมีคนฟัง
ไร้นามถูกเบียด ถูกแช่ง ถูกด่า มา