ชีวิตใน Launceston ของคนรู้ภาษาอังกฤษน้อย : ชีวิตใน Camp(ต่อ)


ชีวิตใน Camp…….4 มีนาคม 2551

4  มีนาคม  2551

                วันนี้ตื่นเสียสองโมงเช้าเลย เพราะเขาบอกว่าไม่รีบ  ตื่นแล้วรีบแต่งตัววันนี้เราและพี่อุไรจะใส่เสื้อกันหนาวที่ Billet ซื้อให้ เพื่อเขาจะได้ชื่นใจ พอเข้าไปในห้องครัวเรากล่าว “Good  Morning” กันตามธรรมเนียม แต่วิบพูดว่า   “Good  Afternoon” (แซวว่าเราตื่นสาย  แหม..ฝรั่งก็แซวเป็น) เช้าวันนี้กินกาแฟ กับขนมปังทาแยม      เสร็จแล้วให้ทั้งครูและนักเรียนเตรียมอาหารกลางวันซึ่งก็คือแซทวิช (ทำเอง  โดยเขามีขนมปังผ่าครึ่ง(อันใหญ่เกินกำลังเรากิน  แล้วก็ใส่ผักสด  แฮม  เนย  มะเขือเทศ  แตงกวา และน้ำสลัด  และให้เลือกกินส้ม  กล้วยหอม  และองุ่น  เราต้อง เตรียมน้ำใส่ขวด ไปกินกลางทาง

                เราเดินทางด้วยรถคันเดิม สามีของวิบเป็นคนขับ(ขับดีมาก)  ส่วนใหญ่เป็นทางขึ้นเขา        บางแห่งรถวิ่งอยู่ตามไหล่เขา แต่ก็ไม่น่ากลัว  เราแวะเข้าชม “Visitor  Centre” ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ และมีของที่ระลึกขาย

           ต่อจาก “Visitor  Centre”  เราก็เดินทางต่อ และมาแวะกินอาหารว่างและแวะเข้าห้องน้ำ  เรา กับพี่อุไรไม่อยากกินอะไร ก็เลยเดินไปเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ชายทะเล

          ต่อจากนั้นเราก็ขึ้นรถเดินทางต่อ  มิเชลที่น่ารักก็ซื้อ Hot  Chocolate  มาให้(น่ารักจริง ๆ) เราต้องพยายามกินให้หมด   วิวสองข้างทางส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ยืนต้น ซึ่งก็มีต้นยูคาลิปตัส (Gum) กับต้นสนหลากหลายชนิด   เดินทางขึ้นที่สูงจนถึงทางขึ้นของ Mt. Amos  เราเตรียมน้ำขึ้นไปกัน คนละขวด  ครูฝรั่งบอกเด็ก ๆ ว่าห้ามทิ้งเศษผลไม้ลงในป่าเด็ดขาด เพราะสัตว์จะมากิน ทำให้สัตว์อาจได้รับสารพิษจากผลไม้ไปก็ได้  เรานั่งแล้วคิดไปถึงเมืองไทย ประเทศเราไม่เคยห่วงสัตว์ป่าขนาดนี้ ที่นี่เขาช่างเป็นคนมีความคิดรอบคอบและสั่งสอนให้เด็กมีความรอบคอบได้อย่างดีเยี่ยม

                การเดินครั้งนี้ทำให้นึกถึงการเดินขึ้นภูกระดึง ถึงแม้ว่ามันมีระยะทางแค่ 2 – 3  กิโลเมตร แต่ทางขึ้นชัน (โดยมีขั้นบันไดตลอดสาย) ทำให้เหนื่อยมาก  สงสารพี่อุไรเดินไปบ่นไปว่าไม่ไหว พึ่งรู้ตัวเองว่าแก่ก็คราวนี้แหละ เรากับวิบพยายามบอกว่ามาแล้ว   น่าจะไปให้ถึง เหนื่อยก็พักบ่อย ๆ ก็แล้วกัน (อย่าว่าแต่พี่อุไรเลย    เราก็เหมือนกันเกือบจะเป็นลมแน่ะ)

         หลังจากนั่งพัก เราก็เดินกันขึ้นไปสู่ยอดเขาสูงกันเรื่อย  ๆ ด้วยความลำบากยากเย็น ระหว่างทางมีนักท่องเที่ยวเดินขึ้น  เดินลงกันตลอด ทั้งชาวแทสมาเนีย  ชาวเอเชีย(ที่ไม่ใช่เรา) เกาหลี  ญี่ปุ่น  และชาวอะไรไม่รู้ วิบพูดว่าพวกนี้พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ (พูดแบบกระซิบกระซาบ)  พวกเราเดินไป  พักไป ...........ที่สุดเรา พี่อุไร  วิบ และน้องนุ่น ก็เดินไปถึงยอดเขา  ในขณะที่กลุ่มคณะนักเรียนและครูของพวกเราที่เขาเดินมาล่วงหน้าแล้วกำลังลงจากยอดเขา  เสียงนักเรียนร้องทักกันเกรียวว่า อาจารย์เพิ่งมาถึงหรือค่ะ  พวกเรากำลังจะลงแล้ว 

เราเดินขึ้นไปตรงจุดที่เขาสร้างคอกไว้ให้ชมวิว แล้วก็มองลงมาที่ด้านล่างซึ่งเป็นทะเล      แหมมันหายเหนื่อยจริง ๆ  สวยมาก ๆ  พี่อุไร (ตอนนี้ยิ้มได้แล้ว) บอกว่า พี่นึกว่าจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เสียแล้ว  สถานที่ที่เรามองลงมาจากยอดเขา Mt. Amos  เรียกว่า  "wineglass  bay" เรามองแล้วยังนึกไม่ออกว่าเหมือนแก้วไวน์ตรงไหน ?

  ลงมาถึงข้างล่าง ทุกคนรอเราอยู่แล้ว เรารีบเดินไปที่รถ มิเชลดึงแขนเราให้ดูตัว Wallaby  เรารีบคว้ากล้องมือไม้สั่นกลัวมันจะเข้าป่าไปเสียก่อน แต่ก็ถ่ายทัน  

หลังจากที่ชมวิว เรียบร้อยแล้วก็เดินลงจากยอดเขา ลงแบบสบาย ๆ  เพราะไม่ต้องใช้แรงมากเหมือนตอนขึ้น 

ต่อจากนั้นเราก็ขึ้นรถเดินทางไปกินข้าวกลางวันที่ชายหาด   แดดแรงมาก อาหารกลางวันก็คือ    แซนวิช ที่ทุกคนลงมือทำ เราต้องกล้ำกลืนฝืนทนกินเข้าไปให้มันไม่หิว แต่ก็กินไม่หมด โยนให้     นกนางนวลกิน  แล้วเราก็เดินไปตามชายหาดไปขึ้นรถ  มิเชลและวิบ  ใจดีมากเก็บเปลือกหอยมาให้   เราไม่ได้เอามาแต่ถ่ายรูปมาแทน คือ มีทั้งหอยเม่น  หอยชนิดต่าง ๆ หลากหลายชนิด  มิเชลบอกว่าคิดว่าเมืองไทยมีไม่เหมือนที่นี่

Wallaby 

       เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับจิ้งโจ้  มีกระเป๋าหน้าท้องเหมือนกัน  แต่ขนาดตัวเล็กกว่า    กินพืชเป็นอาหาร มีความเป็นมิตรมากกว่าจิ้งโจ้ มิเชลเล่าว่า  ถ้าจิ้งโจ้โมโหจะใช้ขาหลังซึ่งใหญ่และแข็งแรงเตะเรา    ให้ระวัง

      ถ้าเรานั่งรถไปตามถนน เรามักจะเห็น Wallaby  ถูกรถทับตายเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ใช่ว่าคนที่นี่ขับรถไม่ระวัง(ตามถนนจะมีเครื่องหมายบอกว่าบริเวณนี้ให้ขับรถความเร็วเท่าไร  ระวังสัตว์วิ่งข้ามถนน)  แต่แสดงว่าที่แทสมาเนียมีสัตว์พวกนี้จำนวนมาก

 

 

           ต่อจากนั้นก็ขึ้นรถเดินทางไป Light House  แต่ระยะทางไม่สูงมากนักเดินได้สบาย ๆ     ตอนแรกนึกว่าไม่หนาว  เมื่อเดินไปถึงข้างบนลมแรงมากถ่ายรูปออกมาผมกระจาย  หนาว  แต่วิวสวย เป็นที่สำหรับดู TASNIA  SEA   แล้วก็เดินทางกลับที่พัก  วันนี้รู้สึกเหนื่อยมากอาจเป็นเพราะเราอายุมาก  แต่ก็เป็นสุขจากการได้รับประสบการณ์ใหม่  เจอสถานที่ใหม่แปลกไปจากวิวเมืองไทย

คำสำคัญ (Tags): #ประสบการณ์
หมายเลขบันทึก: 190450เขียนเมื่อ 25 มิถุนายน 2008 19:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:13 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เสียดาย ถ้ามีรูปภาพประกอบมาให้ดูด้วย จะได้เห็นว่าหน้าตา Wallaby เป็นยังไง จินตนาการไม่ถูกจริงๆครับ

แต่อ่านเรื่องราวแล้วก็น่าสนุกดีนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท