ชีวิตต้องสู้ ของครูจนๆ
ครูจนๆอย่างผมมันต้องเจียมตัว ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ตีสองครึ่ง ต้องตื่น ทิ่งลูกไว้ตามลำพังบ้าง ให้น้องและคนข้างบ้านมาช่วยดูแลบ้าง... เดินออกไปซื้อของขายตั้งแต่มืดสองหาบกับเมียสุดที่รัก (เขาเป็นคู่สร้างคู่สมที่ผมไม่คิดเป็นอื่น ไม่สวยแต่ดีสำหรับผม) .... ถึงแม้เธอจะมีความรู้เพียง ป.๗ แต่ความรับผิดชอบ การดูแลลูก สามี และความอดทน มีสูงกว่าคนจบปริญญา... ผมจึงอยู่กับเธอได้..และเต็มใจที่จะต้องร่วมสร้างชีวิตที่ดีร่มกัน
เราซื้อผักสด ... ข้าวหมาก.... เห็ดฟาง.... ข้าวหลาม.... ผักผลไม้ที่พอจะหาได้ตามฤดูการ เพื่อไปขายให้แม่บ้านในกรุงเทพฯ แถวสามเสน ลงทุนวันละ ๔๐๐-๗๐๐ ต่อหาบ ทุกวันเราต้องมีทุนไว้ไม่ต่ำกว่า ๑,๕๐๐ บาท ถ้าขายหมด ก็ได้กำไร ๒๐๐-๔๐๐ บาท หักค่าอาหาร หักใช้หนี้สร้างตัวเหลือเก็บวันละ ๑๐๐ บาท นั่นคือช่วงเวลาสร้างตัว ปี ๒๕๒๔-๒๕๓๘ สี่ปีเต็มที่สู้ชีวิต มีความสุขกับรายได้ที่มี และครอบครัวที่เป็นอย่ ห่วงมากคือลูกสาวคนแรก ไม่เคยให้ความสุขกับลูกเต็มที่ ลูกเปิ้ลต้องอด ๆ หยาก ๆ อยู่ตามลำพังยามที่ผมและเมียออกไปหากินในวันเสาร์-อาทิตย์ คืนใดที่ลูกเปิ้ลตืนมาพร้อมก็จำต้องอ้มใส่หาบพาออกไปขายของแล้วเลยไปถึงสามเสนด้วย บางวันก็อ้มไป หาบไป บางวันก็เอาใส่กระจาด หาบกะเตงๆๆไป ....
ตีห้า นั่งรถไฟภาชี-กรุงเทพฯ ลงสถานีรถไฟสามเสน วางของขายหน้าสถานีรถไฟ(ได้การอุปการะจากท่านเผอิญ ศรีภูธร อดีต สส.อยุธยาให้วางหาบขายหน้าบ้าน) จนถึง สามโมงเช้า ผมกับเมียสุดที่รักเดินตามกันไปคนละหาบ เข้าซอยเล็ก-ซอยน้อย ไปโผล่สี่แยกราชวัตร เดินทะลุออกไปถนนสุโขทัย... ยอนกลับมาขึ้นแฟรตตำรวจทั้ง ๕ ชั้น ๒ แฟรต.. เดินอ้อมต่อไปหลังโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย เลยเข้าไปขายในซอยวรารักษ์ จนคนทั้งซอยรู้จักและเปิดประตูรับ ในซอยนั้นมีคุณหญิง.. ท่านหม่อม...และคหบดีหลายท่านที่ให้ความอนุเคราะห์ แม้ว่าป่านนี้ท่านจะละสังขารไปหมดแล้ว ก็ไม่เคยลึมความเมตตาที่ทุกท่านมีให้โดยเฉพาะคุณยายขาว คุณปู่แวว คุณครูมณฑา ท่านหม่อม.ฯ.. คุณหญิง ฯ... และอีกหลาย ๆ ท่าน
" นี่ครูกับเมียมาแล้ว...เรียกไอ้พวกในบ้านมาซื้อ...ครูแกจะได้กลับ...." เสียงท่านหม่อม หรือคุณหญิง ร้องเรียกคนใช้ในบ้านมาซื้อของเป็นประจำ บางวันท่านสั่งให้เอาผักสดจากบ้านนอกอยุธยามาขาย (ผมก็ไปเก็บกลางนาโดยเฉพาะ ผักบ้ง ผักกะเฉด ผักเปาะแปะ ตำลึง ของพวกนี้ไม่ต้องลงทุน หาเวลาไปเก็บเท่านั้นก็ได้กำไร ๕๐-๑๐๐ แล้ว)
โชคดีของผมที่ทำอะไรก็ได้รับความเมตตาจากหลายๆ ท่าน เดินไปจนถึง สี่ย่าน ซอยเขาดิน แล้วเลี่ยวขวาหันหน้ากลับ เดินลัดเลาะ เข้าตรอกซอกซอย กลับมาจนถึงสถานีรถไฟสามเสน มารอรถไฟ บ่ายสองโมง เวลานั่งรถไฟไปและกลับเป็นเวลาหลับพักผ่อนของเรา
กลับถึงภาชี สี่โมงครึ่ง รีบไปซื้อเผือก มัน ต้มไว้ขาย ไปเก็บผักกระถิน ผักเปาะแปะ และผักบุ้งกลางนา มาจัดเป็นกำ ๆ ช่วงนั้นมีอยู่สามชีวิต ลูกเปิ้ลไม่เคยได้ของเล่นอะไรเลยจากพ่อ-แม่ เพราะเงินที่ได้เรามีพอกินไปวัน ๆ
บ้านที่มีอยู่ ได้จากเงินกู้สหกรณ์ครูมาซื้อที่ดินผ่อนส่งไว้ ๒ งาน(สามหมื่นบาท เมื่อปี ๒๕๒๔) ขุดบ่อเล็ก ๆไว้พอเอาดินมาพูลปลูกบ้านเพิงหมาแหงนพอหลบฝนทนหนาว โชคดีที่บริเวณบ้านมีสภาพแวดล้อมที่ดีแม้จะไกลคน แต่ทุกคนที่รู้จักก็เมตตา
" เราทำมาหากิน ดีกว่าไปบากหน้าขอยืมเขามากิน พี่จะไม่ขอใครกิน ยืมเขาให้ก็ต้องเอาไปคืน..พี่ต้องไม่มีเรื่องกับใครอีกแล้ว.. เราต้องอย่ได้ด้วยตัวเราเอง ใครช่วย ใครเมตตาจำบุญคุณท่านไว้ แล้วต้องไปทดแทนบุญคุณ ๑๔ ปีเต็มที่รู้ทาสแท้ของความจน ความอด ความหิว และสายตาของคนที่มองเราอย่างแตกต่าง บ้างพูดเยาะเย้อถากถางเพราะเห็นว่าจน บ้างพูดส่งขวัญให้กำลังใจ...."
วันนั้น ถึงวันนี้ ผมได้ดีเพราะไม่ทิ้งหนังสือ อ่านทุกเล่ม เรียนร้เมื่อมีโอกาส คบทุกคนแต่เลือกไปกับคนบางนที่ดีที่สุด สวดมนต์ภาวนา และกราบไหว้พ่อ-แม่-ผู้มีพระคุณ จึงทำให้ผมมีวันนี้
วันนี้ผมและครอบครัว พร้อมจะช่วยคนอื่น ๆ ด้วยโครงการพัฒนาชีวิตครูโดยความอนุเคราะห์จากธนาคารออมสิน แต่คุณต้องอย่ในกรอบของวินัยทางการเงิน...
ขอบคุณครับท่าน ขจิต ฝอยทอง
ในยามนั้นไม่กล้าที่จะปรึกษาพึ่งพาใคร
แต่บัดนี้สามารถนำมาเล่าส่กันฟังได้อย่างภาคภูมิ