พื้นฐานความต้องการของนายจ้างและลูกจ้าง มีลักษณะสวนทางกัน แต่เพื่อความอยู่รอดของทั้ง 2 ฝ่าย จึงจำเป็นต้องมีการประสานประโยชน์และมีการสร้างระบบความร่วมมือระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การพัฒนารูปแบบของความสัมพันธ์อย่างเป็นขบวนการ และเป็นระบบหรือที่เรียกว่าระบบทวิภาคี
ความหมายของทวิภาคี
ทวิภาคี หมายถึง ความสัมพันธ์ของบุคคล 2 ฝ่าย
ในความหมายด้านแรงงานสัมพันธ์คือฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง ซึ่งทั้ง 2
ฝ่ายต่างมีพันธรกรณีที่จะปฏิบัติต่อกันในลักษณะต่างตอบแทน
- ระบบทวิภาคี หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างหรือฝ่ายจัดการ
กับลูกจ้างหรือองค์การลูกจ้าง
เป็นความสัมพันธ์ที่มีรูปแบบเฉพาะเพิ่มขึ้นจากความสัมพันธ์ในการจ้างงานตามปกติโดยมีเป้าหมายให้ทั้งสองฝ่ายได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ร่วมมือกันในการปรับปรุงผลิตภาพของสถานประกอบกิจการ
รวมทั้งร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาภายในสถานประกอบกิจการ
วัตถุประสงค์ของระบบทวิภาคีด้านแรงงานสัมพันธ์
-
ระบบทวิภาคีด้านแรงงานสัมพันธ์มีหลายลักษณะไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม
ต่างมุ่งที่จะให้ลูกต้างได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินกิจการ
ซึ่งลูกจ้างอาจเข้ามามีส่วนร่วมทางตรง (Direct Involvement)
หรือมีส่วนร่วมทางอ้อม (Indirect Involvement) ก็ได้
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของระบบทวิภาคีที่สถานประกอบกิจการนำมาใช้
โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
- 1.
เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
- 2.
เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสื่อข้อความที่ดีต่อกันทั้ง 2
ฝ่าย
- 3.
เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงสภาพการจ้างและสภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น
- 4. เพื่อสร้างทัศนคติที่ดีต่อกัน
- 5. เพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย
- 6.
เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการและเสนอแนะแนวทางแก้ไข
- 7. เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
รูปแบบของระบบทวิภาคีด้านแรงงานสัมพันธ์
- ระบบวิภาคีที่มีการนำมาใช้เพื่อประโยชน์ด้านแรงงานสัมพันธ์
สามารถจำแนกออกได้ ดังนี้
- 1. การร่วมเจรจาต่อรอง
เป็นความสัมพันธ์ในระบบทวิภาคีที่มีลักษณะเป็นทางการและมีกฎหมายบัญญติรับรองสิทธืในการร่วมเจรจาต่อรองระหว่างทั้ง
2 ฝ่ายไว้โดยชัดแจ้ง
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
- 2. ระบบการร่วมมือปรึกษาหารือ มีหลายรูปแบบ เช่น
คณะกรรมการลูกจ้าง คณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ
คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
คณะกรรมการร่วมปรึกษาหารือหรือคณะกรรมการที่ปรึกษา เป็นต้น
- 3. ระบบการยุติการร้องทุกข์ในหน่วยงาน
เป็นระบบที่ใช้ในการยุติปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างบุคคลในองค์การและส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างฝ่ายจัดการกับพนักงาน
โดยเป็นระบบที่เปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงออกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในสถานประกอบกิจการ
ซึ่งจะช่วยให้ฝ่ายจัดการสามารถแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งได้อย่างทันการณ์
และสามารถพิจารณากำหนดมาตรฐานในการป้องกันปัญหาได้
เป็นระบบที่ช่วยให้เกิดความเป็นธรรมในการจ้างงานและเกิดสันติสุขในองค์การนับได้ว่าเป็นระบบแรงงานสัมพันธ์ทวิภาคีอีกระบบหนึ่งที่มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในทุก
ๆ ประเทศทั่วโลก
-
ระบบการยุติการร้องทุกข์ในหน่วยงานจะเป็นกลไกในการป้องกันและแก้ไขข้อขัดแย้งที่มีประสิทธิภาพได้
ทั้งนายจ้างและลูกจ้างจะต้องมองเห็นความสำคัญของระบบ
มีความจริงใจและความบริสุทธิ์ใจในการแก้ปัญหา
แนวคิดของระบบไตรภาคี
- ระบบไตรภาคีมีจุดกำเนิดและสนับสนุนจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ
โดยมีแนวความคิดที่ว่าในการผลิตแบบทุนนิยม
นายจ้างกับลูกจ้างต่างพึ่งพาอาศักกันและกัน ดังนั้นฝ่ายนายจ้าง
ฝ่ายลูกจ้างและรัฐบาลก็ควรจะหันหน้าเข้าหากันอย่างบริสุทธิ์ใจ
เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมโดยการปรึกษาหารือ (Consultation) และร่วมมือกัน
(Co-operation) ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของทั้ง 3 ฝ่าย
หรือในประเด็นที่จะกระทบกระเทีอนต่อทุกฝ่าย
- ดังนั้น หากฝ่ายนายจ้าง-ฝ่ายลูกจ้าง-รัฐบาล
ต่างไม่เข้าใจกันและขัดแย้งกัน อาทิ
นายจ้างแสวงหากำไรสูงสุดโดยไม่สนใจต่อชีวิตของลูกจ้าง
ส่วนฝ่ายลูกจ้างก็เฉี่อยงาน นัดหยุดงานหรือทำลายเครื่องจักร
อันก่อให้เกิดผลเสียแก่ทุกฝ่าย เช่น ผลิตภาพตกต่ำ อัตรากำไรตกต่ำ
บรรยากาศการลงทุนถูกทำลายลง ปัญหาการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น
การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศชงักงัน ดังนั้น
จึงมีความเชื่อว่าหากมีคณะไตรภาคีซึ่งประกอบด้วยบุคคล 3 ฝ่าย
ได้หันหน้ามาปรึกษาหารือกันและร่วมมือกันก็จะสามารถหาทางประนีประนอมผลประโยชน์
และสร้างความสามัคคีระหว่างฝ่ายต่างๆได้
โดยยึดหลักการและผลประโยชน์ของสังคมส่วนรวมหรือผลประโยชน์ของชาติเป็นเป้าหมาย
วัตถุประสงค์ของระบบไตรภาคี
- 1. ระบบไตรภาคีช่วยให้ทั้ง 3 ฝ่าย
เกิดความเข้าใจในสิ่งที่สนใจร่วมกันและยังช่วยทำให้ทุกผ่ายมีความเข้าใจในผลประโยชน์และความแตกต่างในเรื่องผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย
- 2.
ระบบไตรภาคีช่วยปรับให้เกิดความสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ
การเมืองและสังคม
รวมทั้งความสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของแต่ละภาคีกับผลประโยชน์ของประชาชาติ
- 3. โดยผ่านการร่วมมือแบบไตรภาคี
ความรู้และผลประโยชน์ของแต่ละภาคีจะช่วยสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความต้องการเฉพาะของแต่ละฝ่าย
- 4. ช่วยทำให้เกิดความเห็นฟ้องต้องกันอย่างกว้างขวางในการตัดสินใจ
เป็นการช่วยให้กระบวนการตัดสินใจมีความชอบธรรมยิ่งขึ้น
- 5. ช่วยลดความขัดแย้ง
ช่วยทำให้เกิดความสงบสุขทางด้านแรงงานและการปกครองผลประโยชน์ของทุกฝ่าย
ดังจะเห็นได้จากประเทศจำนวนมากที่รัฐบาล
องค์กรลูกจ้างและนายจ้างมีการเจรจาต่อรองเพื่อออกกฎหมายด้านแรงงานสัมพันธ์ในทางที่ส่งเสริมการร่วมมือทางด้านแรงงาน
- 6. ช่วยส่งเสริมให้เกิดนโยบายใหม่ ๆ
ตลอดจนการให้การยอมรับและการนำนโยบายไปปฎิบัติให้เกิดประสิทธิภาพ
องค์กรไตรภาคี
-
องค์การไตรภาคีที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับด้านแรงงานสัมพันธ์ในปัจจุบัน
มีดังนี้
- 1. องค์กรไตรภาคีด้านการร่วมปรึกษาหารือ ได้แก่
- -
สภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ
- -
คณะกรรมการส่งเสริมการแรงงานสัมพันธ์
- 2. องค์กรไตรภาคีด้านการระงับข้อพิพาทแรงงาน ได้แก่
- - คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์
- - ศาลแรงงานกลาง
การสร้างประสิทธิภาพของระบบไตรภาคี
- ปัจจัยที่สนับสนุนให้ระบบไตรภาคีเกิดประสิทธิภาพได้นั้น
ประกอบด้วยองค์ประกอบดังนี้
- 1. การมีเสรีภาพในการรวมตัวของภาคีที่เกี่ยวข้อง
- 2.
ทุกภาคีที่เกี่ยวข้องจะต้องมีความเป็นอิสระและเป็นตัวแทนที่แท้จริงของแต่ละภาคีโดยตัวแทนที่เข้าไปนั่งในคณะไตรภาคี
จะต้องได้รับมอบอำนาจจากฝ่ายของตนให้ตัดสินใจในนามของฝ่ายตนได้
- 3.
แต่ละภาคีจะต้องให้การยอมรับซึ่งกันและกันในการดำรงอยู่และในวัตถุประสงค์ของแต่ละฝ่ายที่อาจแตกต่างกัน
- 4. ทุกภาคีจะต้องมีความเต็มใจที่จะปรึกษาหารือ
และถกเถียงกันในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ร่วมของทุกฝ่าย
จะต้องมีการขจัดอคติที่จะปกป้องผลประโยชน์เฉพาะฝ่ายตนออก
โดยจะต้องยึดหลักการ
ผลประโยชน์ร่วมของทุกฝ่ายหรือผลประโยชน์ของชาติเป็นเป้าหมาย
- 5.
มีโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมและเอื้อต่อการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบไตรภาคี
- 6. มีกรอบในการทำงานเพื่อให้การร่วมมือของ 3
ฝ่ายสามารถดำเนินการไปได้
----------------------------------------------------------
- มนุษย์สัมพันธ์เป็นสิ่งช่วยให้คนเราดำรงอยู่ในสังคมได้ดี
และเราต้องพยายามปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอเมื่อรู้ว่าเราบกพร่องตรงส่วนไหนบ้าง
และผู้ที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีนั้นต้องเป็นผู้ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง
รู้จักการตัดสินใจและรู้จักการวางตัวในทุกโอกาส
ซึ่งอาจจะพูดได้ว่ามนุษย์สัมพันธ์ก็คือการปฏิบัติการใช้จิตวิทยาพื้นฐานในชีวิตประจำวัน
ในการอยู่ร่วมกันในสังคมเราต้องใช้มนุษย์สัมพันธ์เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจ
รู้จักการถนอมน้ำใจของผู้อื่น
ซึ่งจะทำให้ผู้อื่นได้มีการถนอมน้ำใจเราเช่นกัน
กลยุทธ์ในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ในที่ทำงาน
การสร้างความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์ในการปฏิบัติงานเพื่อให้เป็นที่ชื่นชอบของบุคคลอื่น
ๆ นั้นมีเคล็ดลับ 6 ประการ ดังนี้
- 1. การสนใจในตัวบุคคลอื่น
-
จะสังเกตได้ว่าบุคคลผู้เป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไปนั้น
ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีความสนใจในตัวบุคคลอื่น ดังนั้น
ถ้าเราอยากเป็นที่รักใคร่ของผู้อื่น
จึงต้องรู้จักแสดงความสนใจในตัวบุคคลอื่น เช่น การไต่ถามทุกข์สุข
ส่งการ์ดอวยพรหรือของขวัญให้เขาในวันเกิดหรือเทศกาลสำคัญ ๆ
ส่งสิ่งอื่น ๆ ที่คิดว่าน่าสนใจให้แก่เพื่อร่วมงาน เป็นต้น
และเมื่อเพื่อนร่วมงานมีปัญหาก็ควรเสนอตนเองช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ
- 2. การยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ
-
บุคคลที่จะเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็นมากที่สุดและนานที่สุดก็คือ
บุคคลที่มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ
แต่การยิ้มในที่นี้ต้องเป็นการยิ้มอย่างเต็มอกเต็มใจ
ยิ้มอย่างเปิดเผยมิใช่แสร้งยิ้มชั่วครั้งชั่วคราวเพื่อหาประโยชน์
เพราะการยิ้มเช่นนั้นจะไม่ทำให้เกิดความประทับใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็นเลย
- 3. การจำชื่อบุคคลต่าง ๆ
- คนเราย่อมสนใจและพึงพอใจในชื่อของตนเองมาก
ดังนั้นการที่เราสามารถจำชื่อบุคคลอื่นได้
และสามารถเรียกชื่อเขาได้อย่างถูกต้องจะทำให้เขาเกิดความภาคภูมิใจและคิดว่าเราระลึกถึงความสำคัญของเขาอยู่เสมอ
จะทำให้เขาเกิดความพอใจและจดจำเราได้ตลอดไปเช่นเดียวกัน
- 4. การเป็นผู้ฟังที่ดี
- บุคคลที่เราสนทนาด้วยนั้นย่อมสนใจในตัวของเขาและความต้องการของเขา
ดังนั้นถ้าเราปรารถนาจะเป็นที่รักใคร่ของบุคคลอื่นก็จะต้องรู้จักเป็นผู้ฟังที่ดี
ด้วยการสนใจในเรื่องที่บุคคลอื่นพูดไม่พูดขัดคอขึ้นมาในขณะที่คู่สนทนายังพูดไม่จบ
พยายามจูงใจให้เขาสนทนาในเรื่องที่เขาสบายใจและควรสนับสนุนหรือชมเชยคู่สนทนาเป็นครั้งคราว
- 5. การพูดในเรื่องที่ผู้ฟังสนใจ
- เดล คาร์เนกี้
เคยกล่าวไว้ว่าถ้าเราปรารถนาจะสร้างความนิยมขึ้นในตัวเองแล้ว
จงสนทนาแต่ในเรื่องที่อยู่ในความสนใจของคู่สนทนา
ดังนั้นเมื่อเราต้องการเป็นที่รักใคร่ชอบพอของบุคคลอื่นเราก็ต้องรู้ว่าคู่สนทนาของเราสนใจในเรื่องอะไร
และต้องพยายามแสวงหาข้อมูลจากที่ต่างๆ
แต่ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องรู้ข้อมูลทุกอย่างทั้งหมด
ในบางเรื่องเรารู้เพียงแต่จะกล่าวนำหรือคอยรับฟังก็เพียงพอแล้ว
- 6. การรู้จักยกย่องบุคคลอื่น
-
นักจิตวิทยากหลายท่านกล่าวไว้ว่าความปรารถนาอันแรงงกล้าอย่างหนึ่งของมนุษย์
ก็คือความปรารถนาที่จะได้รับคำสรรเสริญ
คนเราต้องการได้รับคำยกย่องจากผู้ที่เราติดต่อด้วย
ต้องการให้ผู้อื่นรู้ว่าเรามีความสำคัญและต้องการให้เพื่อนของเรายกย่องสรรเสริญเราอย่างเต็มอกเต็มใจ
และชมเชยเราในทุกโอกาสที่จะทำได้
ดังนั้นเมื่อเราปรารถนาจะเป็นที่ชอบพอของบุคคลอื่นเราก็ต้องปฏิบัติต่อคนอื่นเช่นเดียวกับที่เราต้องการให้คนอื่นปฏิบัติต่อเรา
นั้นก็คือการระลึกถึงความสำคัญของผู้อื่นในทุกโอกาส
- การทำงานทุกอย่างย่อมมีอุปสรรคทั้งสิ้น
แต่ถ้าหากว่าทุกคนรู้จักสร้างความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์ในการปฏิบัติงานและนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์แล้ว
เราก็จะสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธ์ภาพยิ่งขึ้น
มนุษย์สัมพันธ์ในที่ทำงาน
- ความสำคัญของการสื่อสารซึ่งกันและกัน
ทั้งในด้านการดำรงชีวิตประจำวันและการติดต่อสื่อสารเกี่ยวกับงานในหน้าที่เป็นสิ่งจำเป็น
และมีบทบาทสำคัญยิ่งในอันที่จะก่อให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดในการดำรงชีวิต
มนุษย์สัมพันธ์ของคนแต่ละคน แต่ละสังคมย่อมจะแตกต่างกัน
ซึ่งการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีในเบื้องต้นจะต้องประกอบไปด้วย
- - การเข้าใจตนเอง
- - การเข้าใจผู้อื่น
- - การเข้าใจสิ่งแวดล้อม
- หัวใจพื้นฐานทั้ง 3 ประการ
จะเป็นปัจจัยสำคัญในการนำไปสู่ความสำเร็จในการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
- บัญญัติ 10 ประการ สำหรับการฝึกการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีโดยสรุป
คือ
- 1. ยิ้มให้ผู้อื่น
- 2. ทักทายผู้อื่น
- 3. จำชื่อและเรียกให้ถูกต้อง
- 4. มีความเป็นมิตร
- 5. มีความจริงใจ
- 6. ให้ความสนใจอย่างจริงจัง
- 7. อ่อนน้อมต่อคำชม ระมัดระวังต่อการวิจารณ์
- 8. มีความกระตือรือร้น
- 9. มีอารมณ์ขัน
- 10. มีความอดทน
- บัญญัติ 10 ประการดังกล่าวข้างต้นเป็นการเปิดประตูสู่บุคคลอื่น
สังคมอื่น สิ่งแวดล้อมอื่นๆ
และในที่สุดก็จะนำมาซึ่งการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีได้ในที่สุด
ปัจจัยในการสร้างสัมพันธภาพ
หลักสำคัญในการสร้างสัมพันธภาพในสังคม
หรือมนุษย์สัมพันธ์มีปัจจัยหลัก ๆ 4 ประการ คือ
- 1. เป็นผู้ฟังที่ดีให้ความสำคัญกับผู้พูด
มีปฏิกิริยาโต้ตอบด้วยกับเรื่องที่คุย
- 2. ควรมีความสามารถในการพูดทีดี พูดน่าฟัง พูดสุภาพ
พูดถูกกาลเทศะ
- 3. ควรปฏิบัติต่อกันด้วยท่าทีที่เหมาะสม สุภาพ
เต็มไปด้วยมิตรภาพ
- 4. บุคคลผู้นั้นควรมีบุคลิกภาพที่ดี
รวมทั้งนิสัยใจคอและการแต่งกาย
แนวคิดสำคัญในการสร้างความประทับใจทีดีให้บังเกิดกับบุคคลอื่น
- 1. ในการสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นนั้น
เราคือผู้กำหนดการสนทนาที่จะเริ่มขึ้นและจบลง
- 2. ถ้าเราเริ่มต้นด้วยการแสดงออกถึงความเป็นงานเป็นการ
การประชุมหรือการสนทนาดังกล่าวก็จะดำเนินไปอย่างเป็นงานเป็นการ
และถ้าเราเริ่งต้นด้วยมิตรภาพการสนทนาก็จะดำเนินไปอย่างมีมิตรภาพ
ในขณะเดียวกันถ้าเราให้การสนทนาดำเนินไปในรูปของธุรกิจมันก็จะเป็นไปในรูปของธุรกิจ
- 3. เมื่อเราได้พบใครสักคนหนึ่งเป็นครั้งแรก
ความประทับใจที่เราสร้างขึ้นจะเป็นเครื่องพิจารณาว่าเขาจะมีความรู้สึกอย่างไรต่อเรา
- 4. คนอื่นนั้นมีความตั้งใจที่จะยอมรับเรา เช่น
ที่เราได้ประเมินค่าของตัวเองไว้
ถ้าเราคิดว่าตัวเองเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอะไร
เท่ากับเราได้ขอร้องให้เขาเหยียบย่ำเรา
- 5. วิธีการที่ดีที่สุดและมีความหมายดีที่สุด
ในการสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับผู้ที่ได้พบเห็น
คืออย่างได้พยายามสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นอย่างมากมายจนเกินไปนัก
แต่เราควรจะแสดงให้เขาเห็นว่าเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับเรา
- 6. การที่คนอื่นจะตัดสินเรานั้น
ไม่เพียงแต่เพราะความคิดเห็นที่เรามีต่อตัวเองเท่านั้นแต่ยังหมายถึงความคิดเห็นที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ
ด้วย เช่น หน้าที่การงาน สถานที่ที่เราทำงานอยู่
แม่แต่กับคู่แข่งขันของเราด้วย
- 7. ความคิดเห็นในทางลบย่อมจะสร้างบรรษากาศในทางลบให้เกิดขึ้น
ดังนั้น จงอย่าเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย
และอย่าเป็นคนหัวแข็งหรือหัวรุนแรง
- 8.
วิธีการที่เราตั้งคำถามขึ้นเท่ากับเป็นการตั้งแนวที่จะให้ได้มาซึ่งคำตอบ
จงอย่าตั้งคำถามที่จะได้รับ "คำตอบปฏิเสธ" กลับมา ถ้าเราต้องการ
"คำตอบรับ" เราก็ต้องตั้งคำถามที่จะให้ได้มาซึ่งคำตอบรับ
จงอย่างตั้งคำถามหรือออกคำสั่งที่จะทำให้เราต้องตกอยู่ในฐานะลำบาก
ซึ่งจะเป็นการสร้างปัญหาความยุ่งยากให้เกิดขึ้นกับตนเอง
เทคนิคการสร้างมนุษย์สัมพันธ์
- 1. การสร้างมนุษย์สัมพันธ์นั้น
จะไม่เกิดขึ้นเมื่อแต่ละฝ่ายต่างก็รอเวลาที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เริ่มต้นก่อน
- 2. จงอย่ารอสัญญาของอีกฝ่ายหนึ่ง
เราจะต้องตั้งสมมุติฐานไว้ก่อนว่า
เขาจะให้ความเป็นเพื่อนกับเราได้และทำไปตามนั้น
- 3. จงตั้งเจตนารมณ์ที่เราหวังจะให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม
จงปฏิบัติเช่นที่เราหวังว่าเขาจะชอบเรา
- 4. จงตั้งความหวังว่า ผู้อื่นจะมอบความเป็นมิตรให้กับเรา
- 5. จงอย่าแสดงความต้องการในมิตรภาพที่ "มากจนเกินไป"
อย่าแสดงความกระวนกระวาย
อย่าพยายามยัดเยียดความเป็นเพื่อนของเราให้กับผู้อื่นจนออกนอกหน้า
- 6. จงทำใจให้สบายและตั้งความหวังว่าคนอื่นก็จะต้องชอบเราด้วย
- 7.
จงใช้เสน่ห์ในรอยยิ้มเพื่อสร้างความสบายใจให้เกิดขึ้นกับผู้อื่น
- 8.
เราจะต้องหมั่นฝึกฝนตนเองให้รู้จักกับการที่จะยิ้มออกมาด้วยความจริงใจ
----------------------------------------------------------
- การจัดการกับ 'คน' เป็นเรื่องที่ยากที่สุดในการบริหารจัดการองค์กร
เพราะเหตุที่คนยังมี 'อารมณ์' ความนึกคิดที่ตีกรอบไม่ได้
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะให้คนทุกคนเป็นได้อย่างใจนึก
- "บ็อบ เดอลาเนย์"
ในฐานะผู้เชียวชาญด้านทรัพยากรบุคคลได้ชี้แนะว่าสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่จะต้องมี
คือ
การสื่อสารที่เป็นเลิศและความสามารถในการแก้ปัญหาซึ่งล้วนแต่เป็นหัวใจสำคัญของการจัดการที่จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
และการลดปัญหาที่เกิดจากความไม่เข้าใจกันซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้ง
โดยสิ่งสำคัญประการแรกในการเริ่มต้นขจัดปัญหาความขัดแย้ง คือ
การทำความเข้าใจเทคนิคพิเศษทั้งหลายที่ใช้ในการลงปัญหา
อันเกิดจากความไม่ลงรอยกันในที่ทำงาน
ซึ่งเทคนิคที่จะกล่าวถึงนี้เหมาะที่จะใช้ในการขจัดปัจจัยที่เป็นต้นเหตุแห่งความขัดแย้ง
คือ "ตำแหน่งและผลประโยชน์"
- มูลเหตุแห่งความไม่เข้าใจกันระหว่างหน่วยงานในองค์กรมีอยู่มากมาย
ดังนั้นจึงต้องอาศัยเทคนิคต่างๆ
ที่จะทำให้ทราบถึงองค์ประกอบของตำแหน่งและผมประโยชน์อันก่อให้เกิดความขัดแย้ง
ในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญมองว่าความขัดแย้งและกาโต้เถียงต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นมีแต่จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ตามมา ได้แก่
การฟ้องร้องดำเนินคดี การคว่ำบาตรของพนักงาน เป็นต้น
แต่ด้วยความเข้าใจและการนำเอาเทคนิคไปประยุกต์ใช้อย่างถูกวิธีจะสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับผลลัพธ์ของการโต้แย้งได้
ซึ่งการรับมือกับความขัดแย้งได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดสามารถทำได้ด้วยการปรึกษาหารือ
มุ่งพัฒนาและฝึกฝนการเข้าถึงปัญหา
โดยมีเทคนิคพื้นฐานในการรับมือกับความไม่เข้าใจกัน ดังนี้
- 1. การสื่อสารด้วยคำพูด เมื่อใช้การสื่อสารด้วยคำพูด
ต้องแน่ใจว่าจะใช้คำพูดตรง ๆ ปราศจากท่าทางที่ดูถูกหรือเหยียดหยาม
การสื่อสารด้วยคำพูดจะต้องชัดเจนและตรงไปตรงมา
ประสิทธิภาพของการสื่อสารด้วยคำพูดมักได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่อไปนี้
- - ระดับของการได้ยิน
- - ความเข้าใจเหตุการณ์พื้นฐาน
- - ความเชื่อถือส่วนตัว
- - ประเด็นของสาร
- - สภาพแวดล้อมในขณะนั้น
- 2. การสื่อสารโดยปราศจากคำพูด
โดยทั่วไปเมื่อไม่ใช่คำพูดก็จะสื่อสารผ่านสิ่งเหล่านี้
- ใบหน้า
การมองหน้าคนที่เรากำลังสนทนาด้วยอยู่เสมอ
จะแสดงให้เห็นถึงความสนอกสนใจและความจริงใจในการฟัง
ซึ่งจะทำให้ผู้พูดรู้สึกว่าได้รับความสนใจอย่างเต็มที่
แต่พึงระวังการแสดงสีหน้าที่สื่อได้หลายความหมายไว้ให้มากๆด้วย
- ดวงตา
อย่ากรอกตาไปมาระหว่างการสนทนาจะทำให้ดูเป็นคนไม่จริงใจต้อง
โฟกัสอยู่ที่คู่สนทนาและถ่ายทอดความสนใจผ่านดวงตาเท่าที่จะเป็นไปได้
การเอียงตัวและท่านั่งเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความสนใจ
ตัวอย่างเช่น
ขณะสนทนาอยู่ที่โต๊ะการเอียงตัวไปข้างหน้าพร้อมกับวงแขนที่เปิดกว้างบนโต๊ะจะทำให้ดูว่ากำลังสนใจมาก
ๆ
น้ำเสียงซึ่งหมายถึงโทนของน้ำเสียงผู้พูดต้องพยายามปรับโทนของน้ำเสียง
ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับสารที่จะถ่ายทอด
- 3. การตั้งคำถามเมื่อใช้คำถามควรเปิดประโยคคำถามด้วยคำว่า "ใคร
อะไร ที่ไหน เมื่อไร ทำไมและอย่างไร"
คำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำหรือการพยายามหาคำตอบเหล่านี้จำให้คำตอบที่ได้มีเนื้อหามากกว่าประโยคคำถามแบบปิด
หรือคำถามที่ต้องตอบเพียง "ใช่" หรือ "ไม่" เท่านั้น
นอกจากนี้คำถามแบบปิดเป็นลักษณะของคำถามที่หยาบและไม่บ่งบอกถึงสิ่งเกี่ยวพันใด
ๆ และอาจทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้
- 4. การถ่ายทอดข้อความ
เป็นเทคนิคที่ให้คุณค่าสูงส่งอย่างยิ่งในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
เนื่องจากการถ่ายทอดข้อความและการพูดซ้ำประโยคเดิมของคนหนึ่งให้อีกคนหนึ่งฟันนั้น
จะทำให้มีโอกาสได้ถ่ายทอดความคิดและความเข้าใจ
ซึ่งการถ่ายทอดจะช่วยให้ผู้พูดมุ่งประเด็นไปถกที่เนื้อหาสาระเป็นสำคัญ
การเพิ่มความเข้าใจที่ถูกต้องและการเล่าเรื่องซ้ำ
หรือการถ่ายทอดเรื่องราวยังช่วยให้ผู้เล่ามีโอกาสได้อธิบายจุดที่เป็นประเด็นสำคัญที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง
นอกจากนี้การพูดซ้ำยังช่วยให้คนอื่นๆ
ที่ได้ยิดเก็บเอาสิ่งที่ได้ยินกลับไปคิดและทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ได้อีกด้วย
- 5. การรับฟังอย่างกระตือรือร้น
การฟังอย่างกระตือรือร้นหมายถึงการมีอารมณ์ร่วม
ความตั้งอกตั้งใจและการสบตา
จะสามารถดึงเอาความรู้สึกที่แท้จริงของผู้พูดออกมาได้
นอกจากจะทำให้ผู้พูดรู้สึกดีแล้วยังทำให้เข้าใจเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้งอีกด้วย
----------------------------------------------------------
การจูงใจที่ต้องทำโดยนักแรงงานสัมพันธ์
โดยปกติการจูงใจนั้นควรพิจารณาตามลักษณะของคน งาน ผลงาน
ระดับชั้นหรือตามทฤษฎีความต้องการของ The Hierarchy of Needs โดย
Maslow เป็นพื้นฐาน เบื้องต้น เมื่อเวลาจะจูงใจ
ก็จะไม่สามารถบอกได้ว่านี่เป็นการจูงใจจึงขอแนะนำเทคนิคการจูงใจ
ให้นำไปเป็นข้อควรคำนึงก่อนที่จะจูงใจคนอื่น กล่าวคือ
- 1. ก่อนที่จะไปจูงใจใคร ต้องมีความรู้สึกว่าคุณอยากจูงใจเสียก่อน
มิฉะนั้นเราจะไม่ค่อยอยากทำอะไรให้ใคร
- 2. การจูงใจนั้นต้องการให้เกิดอะไรขึ้น
เพื่อความสำเร็จอะไรบางอย่างอยู่ ๆ
จะมานั่งจูงใจกันน่อมดูเป็นจองประหลาด
ที่จะประกาศจูงใจให้ทำนั่นทำนี่โดยปราศจากเป้าหมาย
และเป้าหมายที่ว่านั้นน่าจะประกอบด้วยสูตรที่ว่า SMART คือ
-
- Specific เป้าหมายที่พิเศษ
- Measurable สามารถวัดผลได้ว่าสำเร็จหรือไม่
- Agree เป็นความเห็นชอบร่วมกัน
- Realistic เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ คือ
ไม่เลื่อนลอยจนไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างไร
- Time bound,
และสุดท้ายมีระยะเวลาที่กำหนดไว้เพื่อการวัดผล
- 3. การจูงใจนั้น เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว เป็นช่วงๆ ทั้งนี้
เพื่อให้เกิดผลอย่างแท้จริงควรจะต้องมีการปฏิบัติจนเกิดเป็นความเคยชิน
- 4. การจูงใจนั้น ต้องการความสนใจอย่างจริงจัง
การยอมรับจากคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ
คนที่จะจูงใจคนอื่นต้องเชื่อว่าตนมีอิทธิพลหรือมีพลังพอที่จะจูงใจให้คนอื่นทำให้อย่างที่ต้องการ
ขณะเดียวกันผู้ที่ถูกจูงใจต้องรู้สึกว่าคนที่จูงใจนั้น
มีอะไรบางอย่างพอที่จะทำให้เขารู้สึกอยากทำให้
- 5. เพื่อให้การจูงในได้ผลอย่างแท้จริง
ผู้ที่จูงใจต้องมีส่วนร่วมด้วย เช่น จูงใจให้บริการที่ดีขึ้น
ผู้จูงใจจะต้องทำเป็นตัวอย่างหรือต้องให้บริการที่ดีด้วย
ไม่ใช่บอกให้คนอื่นทำอย่างเดียวแต่ตนเองไม่ทำ
- 6. ความก้าวหน้าและความสำเร็จเป็นส่วนหนึ่งของการจูงใจที่ได้ผล
การตั้งรางวัลหรือเงื่อนไขเกี่ยวกับความก้าวหน้าหรือความสำเร็จ
จะเป็นเครื่อกระตุ้นการจูงใจที่ได้ผลที่สุด
- 7. การจูงใจนั้นจะสร้างความท้าทายให้เกิดขึ้น
หากมีตัวอย่างของความสำเร็จที่เกิดขึ้นแล้ว
ให้ดูหรือยึดถือจะเป็นแนวทางที่ดี
นั้นคือต้องให้พนักงานรู้สึกว่าเงื่อนไขนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
ทำได้ เคยมีและเคยทำมาแล้ว
- 8. ขอให้เชื่อเถิดว่าคนทุกคนมีปุ่มให้กดเพื่อการจูงใจทั้งนั้น
เป็นธรรมชาติของปกติชนที่จะรู้สึกสนุก ท้าทาย
อยากลองสิ่งที่มีรางวัลหรือมีอะไรเป็นพิเศษกว่าปกติ
ได้พนันขันต่อหรือมีรางวัลพิเศษ
ให้จะจูงใจให้คนอยากร่วมมากกว่าธรรมดา
- 9. ทีมทำงานก็มีส่วนช่วยกระตุ้นหรือสร้างแรงจูงใจได้
เพราะคนเมื่อมาอยู่ร่วมกันความรู้สึกที่ดีต่อกันนั้นมีแน่
แต่ก็ยังอยากจะเหนือกว่าคนอื่นอยู่หน่อย ๆ
เมื่อต้องมาร่วมทีมงานกันก็ยังอยากได้ความพิเศษ
จึงพยายามที่จะสร้างความโดดเด่นให้เหนือกว่าคนอื่น
จึงเป็นสิ่งจูงใจไปโดยปริยาย แต่ต้องระวังอย่าให้มากจนเกินไป
เพราะอาจทำให้ทีมแตกได้
หากมีการให้อะไรพิเศษเหนือกว่าเพื่อนร่วมทีมคนอื่นมากอย่างเห็นได้ชัน
- บทบาทของนักแรงงานสัมพันธ์นั้นกว้างขวาง
และครอบคลุมเสียเกีอบทุกเรื่อง
เพื่อที่จะได้สามารถเข้าถึงคนในการให้ได้ข่าวสารที่เป็นประโยชน์กับงาน
เพราะข่าวบางอย่างจะไม่เปิดเผยหรือวิ่งมาสู่หูได้อย่างง่ายๆเลย
ตรงกันข้ามหากนักแรงงานสัมพันธ์ไม่มีสายสัมพันธ์ที่ดี
ก็จะทำงานด้านแรงงานสัมพันธ์ลำบาก
การจูงใจที่นักแรงงานสัมพันธ์ต้องริเริ่ม
หรือแนะนำให้สายงานทำนั้นจะนำไปสู่สายสัมพันธ์ที่แนบแน่นเข้าถึงคนง่าย
----------------------------------------------------------
-
แนวปฏิบัติด้านการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์
ความหมาย
- การส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์
เป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ในการให้ความรู้ชี้แจง
แนะนำและให้คำปรึกษาแก่นายจ้างและลูกจ้าง
สหภาพแรงงานและคณะกรรมการทวิภาคีในรูปแบบต่างๆ เช่น คณะกรรมการลูกจ้าง
คณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการคณะกรรมการความปลอดภัย
อาชีวอนามัยและสภาพอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
เพื่อให้ความรู้และแนวคิด
เกี่ยวกับการเสริมสร้างระบบแรงงานสัมพันธ์ที่ดีภายในสถานประกอบการ
เสนอแนะแนวทางการสร้างความร่วมมือและระบบร่วมปรึกษาหารือระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
ตลอดจนการดำเนินการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเบื้องต้นให้ยุติลงได้ภายในสถานประกอบกิจการ
วัตถุประสงค์ของการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์
- 1. เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีระหว่างนายจ้าง
กับลูกจ้าง
- 2. เพื่อให้คำปรึกษาแนะนำ ชักจูงให้นายจ้าง
และลูกจ้างตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความร่วมมือในสถานประกอบการ
เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงสภาพการจ้าง และสภาพการทำงานที่เหมาะสม
- 3.
เพื่อส่งเสริมให้มีระบบการร่วมปรึกษาหารือที่มีประสิทธิภาพ
- 4.
เพื่อรับทราบปัญหาอุปสรรคและแสวงมาตรการที่เหมาะสมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
- 5. เพื่อเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ
และเอกสารเกี่ยวกับการแรงงานสัมพันธ์
- 6.
เพื่อเป็นการลดจำนวนและบรรเทาความรุนแรงของปัญหาข้อพิพาทแรงงานและข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
กลุ่มเป้าหมายในการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์
- การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
เพื่อวางแผนเข้าไปดำเนินการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ในสถานประกอบการ
ให้พิจารณาจากหลักเกณฑ์และความสำคัญของปัญหาตามลำดับ ดังนี้
- 1.
สถานประกอบการที่ในอดีตเคยเกิดปัญหาข้อพิพาทแรงงานหรือข้อขัดแย้งและคาดว่าจะเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นอีก
- 2. สถานประกอบที่มีการจัดตั้งองค์กรลูกจ้าง
เช่นสหภาพแรงงานคณะกรรมการลูกจ้าง
คณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ คณะกรรมการความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
คณะกรรมการร่วมปรึกษาหารือคณะกรรมการหรือชมรมพนักงานในรูปแบบทวิภาคีอื่น
ๆ เป็นต้น
- 3. ประเภทกิจการของนายจ้าง
ที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจหรือการดำเนินธุรกิจซึ่งมีความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกัน
- 4. สถานประกอบการที่มีสัญชาติของนายจ้าง
หรือผู้ร่วมลงทุนเป็นชาวต่างชาติซึ่งมีนโยบายในการบริหารงานที่แตกต่างกันออกไป
และอาจก่อให้เกิดปัญหาแรงงานสัมพันธ์
- 5. สถานประกอบการที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างใกล้หมดอายุ
- 6. กรณีที่มีสถานประกอบกิจการขนาดที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100
คนขึ้นไป
ควรได้รับการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ให้เกิดระบบบริหารจัดการด้านแรงงานสัมพันธ์
ใน