กว่า 3 สัปดาห์แล้วที่อาการปวดหัวยังไม่ดีขึ้นเลย โดยจะปวดตั้งแต่เบ้าตาขึ้นไปข้างบนศรีษะแล้วปวดลงมาถึงท้ายทอยบางทีก็ลามมาถึงต้นคอ บางทีก็ปวดทั้งวัน บางทีก็ปวดเฉพาะตอนเช้าๆบางทีปวดเช้ากับตอนเย็น ช่วงสัปดาห์แรกไม่อยากไปหาหมอเพราะก่อนหน้านี้สัก 2-3 เดือนก่อนหมอที่ทำงานบอกว่าเป็นไมเกร็นให้ยามากินเฉพาะวันที่มีอาการปวด
แต่นี่อาการปวดต่อเนื่องมา หลายวันแล้วโดยไม่มีทีท่าว่าจะหายที่กลัวมากคือกลัวว่าจะเป็นอาการของโรคเดิม คือ "เยื่อหุ้มสมองอักเสบ" http://gotoknow.org/blog/pygbox/95730 ที่ต้องใช้เวลารักษาตัวนานหลายเดือนกว่าจะหายเป็นปกติแล้วก็ไม่อยากกลับไปหาหมอที่ ร.พ.เดิมเพราะรู้ว่าต้องโดนหมอเจาะไขสันหลังอีกแน่ๆ
จึงตัดสินใจไปพบหมอที่ ร.พ.อีกแห่งหนึ่งเพราะต้องการจะ crosscheck ดูด้วย
แต่วันนั้นหมอเฉพาะทางไม่อยู่จึงนัดอีก 2 วันต่อมา แต่พอถึงวันนัดเป็นเราเองที่ไม่ว่างซะงั้น
พอเข้าสัปดาห์ที่ 2 อาการก็ยังไม่หายเลยไปปรึกษาหมอที่ทำงาน
หมอบอกว่า"เครียด/ทำงานหนัก/พักผ่อนน้อย/ใช้สายตามาก" แล้วก็ให้ยามาอีก
เข้าสัปดาห์ที่ 3 ก็ยังไม่หาย ตัดสินใจไปหาหมอเฉพาะทางอีกที หึหึ.... หมอไม่อยู่ เหอะๆ ประมาณว่าดวงจะไม่ได้รักษา หึหึไม่เป็นไร....รอได้....
พอดีวันนี้ หมอ+พยาบาล มาหาผู้ใหญ่ที่บ้าน ก็เลยโดนตรวจระเอียดเลย หึหึ
เริ่มจากอ่านรายงานผลตรวจสุขภาพตั้งแต่ปี 2545 ถึงปัจจุบัน
ชั่งน้ำหนัก วัดความดัน สอบประวัติ อย่าเคร่งเครียด
แล้วหมอก็วินิจฉัยว่า :
คุณเป็นโรค MBI (Mass Body Index) ค่าดัชนีมวลกายไม่สมดุลย์เนื่องจากน้ำหนักตัวมาก(อ้วน!!!)^_^!
ทำให้เกิดปวดหัวโดยเฉพาะตอนเช้าหลังตื่นนอนเนื่องจากความดันที่สูงเรื่อยๆ
แนวทางการรักษาทำได้ยากมาก....โดยการ....ออกกำลังกายเท่านั้นเอง เหอะๆๆ
ค่าดัชนีมวลกายคืออะไร
ค่าดัชนีมวลกาย MBI (Mass Body Index) เป็นดัชนีอาศัยความสัมพันธ์ระหว่าง ส่วนสูง และน้ำหนักตัว มาเป็นตัวช่วย
บ่งชี้สภาวะร่างกายของแต่ละคน ( ดีกว่าการอาศัยหนักตัวอย่างเดียวเพราะคนที่มีน้ำหนักตัว
เท่ากันเช่นที่ 70 กิโลกรัม สำหรับผู้ที่สูงประมาณ 175-180 ซม. ถือว่าปกติหุ่นกำลังดี แต่
กับผู้ที่สูงประมาณ 150-160 ซม. คุณจะดูอ้วนแล้ว) ตัวดัชนีจะช่วยบ่งบอกให้ทราบว่าเรามี
สภาพที่อ้วนมากเกินไป (ตัวเลขดัชนีสูงกว่าค่ามาตรฐาน ยิ่งสูงมากก็ยิ่งอ้วนมาก) หรืออยู่ใน
เกณฑืปกติ แสดงว่ามีความสมดุลย์ที่ดีระหว่างการทานอาหารและการออกกำลังกายจึงได้ดัชนี
ในเกณฑ์มาตรฐาน หรืออยู่ในสภาพที่ผอมหรือผอมมากเกินไป (ค่าดัชนีจะต่ำกว่าค่ามาตรฐาน
ยิ่งต่ำมากแสดงว่ายิ่งผอมมาก)
เหตุที่เราควรกังวลและสำรวจสภาพร่างกายของเราเป็นระยะๆเพราะว่า ไม่ว่าจะอ้วนหรือมี
น้ำหนักตัวมากเกินไปก็เป็นบ่อเกิดที่จะมีโรคตามมาได้มากมายเช่น ไขมันในเลือดสูง เส้นเลือด
หัวใจตีบตัน ความดันโลหิตสูง อัมพฤต อัมพาต โรคกระดูกและไขข้อ โรคเบาหวาน จะเห็นว่า
ความอ้วนก่อให้เกิดโรคต่างๆตามมาได้อีกมากมายที่จะบันทอนสุขภาพ และคุณภาพชีวิตของ
เรา เราอาจเดินทางไปไหนมาไหนไม่สดวก มีโรคคอยก่อกวน มียาที่ต้องคอยทานอยู่ตลอดเวลา
การคำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย หรือ MBI (Mass Body Index)
1. เอาน้ำหนักในหน่วย กิโลกรัมคูด้วย 10,000
2. เอาส่วนสูงในหน่วยเซ็นติเมตรคูรกันเองหนึ่งครั้ง
3. เอาข้อ 1 ตั้งหารด้วยข้อ 2 จะได้ค่าค่าดัชนีมวลกาย หรือ MBI (Mass Body Index)
เช่น:
ถ้าคุณสูง 172 ซ.ม. หนัก 70 ก.ก
1. 70.0 X 10,000 = 700,000
2. 172 X 172 = 29,584
3 700,000 % 29,584 = 23.66
นำค่าที่คำนวณได้ มาเปรียบเทียบค่ามาครฐาน ได้คร่าวๆ ดังนี้
ภาวะ ค่าดัชนีความหนาที่คำนวณได้
ผอม ระดับ 4 < 16.0
ผอม ระดับ 3 16.0-16.9
ผอม ระดับ 2 17.0-18.4
ผอม ระดับ 1 18.5-19.9
ปกติ 20.0-24.9
อ้วน ระดับ1 25.0-29.9
อ้วน ระดับ 2 30.0-39.9
อ้วน ระดับ 3 > 40.0
แพทย์ที่ควบคุมการลดน้ำหนักส่วนใหญ่ ถ้าเพื่อความสวยงาม ในแง่สรีระ มักจะลดน้ำหนักให้คนไข้
อยู่ประมาณ ค่าต่ำสุดของค่าปกติ คือ ประมาณ BMI ให้อยู่ที่ 18.0-19.0
เราเพียงควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์แล้วโรคต่างๆก็จะห่างไกลจากเรา สำหรับคนอ้วนที่
ยังไม่มีอาการของโรคข้างต้น ถือเป็นโอกาสดีที่ท่านยังมีเวลาแก้ตัว รีบควบคุมสภาพของเรา
ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือใกล้กับปกติให้มากที่สุดก่อนที่จะมีการแสดงอาการของโรคเกิดขึ้น
การตามใจปากของเราแล้วทำให้มีค่าดัชนีมวลกายสูงๆ เราจะต้องมาเสียโอกาส และต้องคอย
จ่ายยาเพื่อรักษาอาการของโรคที่ตามมา ค่ายาที่เราต้องนำเข้าจากต่างประเทศปีหนึ่งๆเป็น
มูลค่ามหาศาล เราสามารถช่วยตัวเรา ครอบครัวและประเทศชาติในการลดการนำเข้า
โดยเพียงเราสนใจดูแลสุขภาพเราเอง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายเหมือนการรักษา ยังได้
สุขภาพที่สมบูรณ์ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในบันปลายอีกด้วย คุณไม่คิดจะให้รางวัลกับชีวิต
บ้างเชียวหรือ มาเริ่มการสนใจดูแลสุขภาพกันดีกว่า.......
ขอบคุณความรู้ดีๆจาก : www.thailabonline.com
สวัสดีเจ้าค่ะ
น้องจิแวะมาป่วนก่อนกลับมหาวิทยาลัย คิคิ คิดถึงนะค่ะ สบายดีไหมค่ะ รักษาสุขภาพด้วยเจ้าค่ะ
เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ ---->น้องจิ ^_^
โหหหหหห
ลุง ๆๆๆ
ป่วยมากเลยน๊ะเนี๊ยะ
ห่วง ๆๆๆๆ
......."เครียด/ทำงานหนัก/พักผ่อนน้อย/ใช้สายตามาก"......
มาจากความไม่พอดีทั้งนั้นเลยอะ ...
รักตัวเองวันนี้ .. เพื่อคนที่รักเราในวันหน้าน๊ะลุง ๆๆ
ปล.ป้า ๆๆๆ ฝากดูแลลุงหนูดีดีน๊ะ ห่วงอะ ๆๆ (( อิอิ โมเมเป็นป้าเราเฉยเลยอะ อิอิ ))
คุณรินทร์...
อาการดีขึ้นรึยังค๊ะ
เป็นห่วง...
ดูแลสุขภาพด้วยค่ะ
อย่างรินทร์เรียกว่าอ้วนเหรอ
อย่างเราเรียกรัยดีว้า
แล้วทำไมเราไม่เป็น MBI มั่งหว่า (ไม่ได้อิจฉา ไม่เป็นน่ะดีแล้ว)
ผมเอง ปวดหัวบ่อยๆ ครับ มักจะเป็นเมื่อเจอแสงจ้า และอาการจะเหมือนกัน คือ "โดยจะปวดตั้งแต่เบ้าตาขึ้นไปข้างบนศีรษะแล้วปวดลงมาถึงท้ายทอยบางทีก็ลามมาถึงต้นคอ"
วันก่อน ไปหาหมอตา พบว่าเป็นต้อกระจกบางๆ (เป็นสาเหตุหนึ่งที่ำให้ปวดหัว...ในอีกหลายๆ สาเหตุ) ได้ยามาหยอดตาทั้งสองข้าง 2 กระปุก ตอนนี้รอสังเกตอาการว่าเป็นอย่างไร..
อยากได้กำลังใจ จาก..หลาน(ในอดีต)..อีกคนมะอ้ะ
เค้าหวังว่านอกเหนือจากสาเหตุข้างต้นที่กล่าวมา
"คนที่บ้าน" จะไม่มีส่วนร่วม หนึ่งในสาเหตุของโรค..ปวดหัว..นะคร้า....ฮา!
เป็นด้วย เป็นด้วย เป็นหลานด้วยยยยยยย อิ อิ ปู่ขา หายเร็ว ๆ นะ
ขอบคุณน้องจิ
ตั้งใจเรียนด้วยล่ะ
^_^
ขอบคุณหลานๆที่แวะมาทักทาย
มีหนึ่งในนั้นไม่น่าจาใช่หลานแล้วนะ หึหึหึ
ขอบคุณครูwindy ครับ
ขอบคุณคำแนะนำดีๆครับคุณมุ่ยฮวง
สงสัยมีเรื่องต้องคุยกันยาวแน่เลยครับ
ผลการรักษาเป็นงัยมั่งอย่าลืมเล่าสู่กันฟังมั่งนะครับ
ผมเองก็มีปัญหาเรื่องสายตาเหมือนกันครับ
+ เป็นต้อเนื้อทั้งสองข้างแต่ยังไม่วิกฤตเพราะยังไม่ถึงตาดำ แต่ก็เข้าใกล้เต็มทนครับ
+ สายตาข้างซ้ายออกยาวนิดๆตามวัยครับ อ่านตัวเลขบนแผ่นวัดสายตาได้ถึงบรรทัดสุดท้ายเลยครับ
+ สายตาด้านขวาสั้นลงมากอ่านตัวเลขบนแผ่นวัดสายตาได้แค่ 3 บรรทัดเองครับ
+ สรุปสายตาเอียงด้วยครับ หึหึหึ
คุณพิทักษ์ ได้ผลการรักษาเป็นงัยมั่งอย่าลืมเล่าสู่กันฟังมั่งนะครับ
BMI ของผม 29.4 ทำงัยดีครับ เหอๆ
เป็นโรคปวดหัวเหมือนกันค่ะหมอบอกเป็นไมเกรน กินยาตอนแรกก็ดีอยู่หรอก แต่เดี๋ยวนี้กินก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาอะไร กลับรู้สึกมึนๆและไม่มีแรง ไม่อยากไปหาหมอ หมอก็จะให้เปลี่ยนยากินเหมือนเดิมไม่ได้แก้อะไร เบื่อหมอไทยจัง!!!!
ได้ความรู้เรื่องนำหนักตัวที่สมดุลย์กับส่วนสูงมากเลย คนที่รู้จักก็เป็นโรคปวดหัวกันเยอะ เพิ่งเข้ามาครั้งแรก ไว้จะแวะเข้ามาใหม่