|
|
ขอมอบ Ringtone นี้แด่ผู้รักชาติทุกคน
http://www.adintrend.com/show_message.php?id=27501
(สร้อย) ต้นตระกูลไทย ใจท่านเ--มหาญ
รักษาดินแดนไทย ไว้ให้ลูกหลาน
สู้จนสูญเสีย แม้ชีวิตของท่าน เพื่อถนอมบ้าน เมืองไว้ให้เรา
ลุกขึ้นเถิด พี่น้องไทย อย่าให้ชีวิตสูญเปล่า
รักชาติยิ่งชีพของเรา เหมือนดังพงศ์เผ่า ต้นตระกูลไทย
(1) ท่านพระยาราม ผู้มีความแข็งขัน สู้รบป้องกัน มิได้ยอมแพ้พ่าย
พระราชมนู ทหารสมัยกู้ชาติ แสดงความสามารถ ได้ชัยชนะมากหลาย
เจ้าพระยาโกษาเหล็ก ท่านเป็นแม่ทัพชั้นเอก ของสมเด็จพระนารายณ์
สีหราชเดโช ผจญสงครามใหญ่โต ต่อตีศัตรูแพ้พ่าย
เจ้าคุณพิชัยดาบหัก ผู้กล้าหาญยิ่งนัก ล้วนเป็นต้นตระกูลไทย
(สร้อย)
(2) หมู่บุคคลสำคัญ หัวหน้าชาวบางระจัน ที่เราหาชื่อได้
นายแท่น นายดอก นายอิน นายเมือง ขุนสรรค์ พันเรือง นายทองแสงใหญ่
นายโชติ นายทองเหม็น ท่านพวกนี้ล้วนเป็น ผู้กล้าหาญชาญชัย
นายจันหนวดเขี้ยว กับนายทองแก้ว ทำชื่อเสียงเพริศแพร้ว ไว้ลายเลือดไทย
ชาวบางระจัน สำคัญยิ่งใหญ่ เป็นต้นตระกูลของไทย ที่ควรระลึกตลอดกาล
(สร้อย)
(3) องค์พระสุริโยทัย ยอดมิ่งหญิงไทย สละพระชนม์เพื่อชาติ
ท้าวเทพสตรี ท้าวศรีสุนทร ป้องกันถลางนคร ไว้ด้วยความสามารถ
ท้าวสุรนารี ผู้เป็นนักรบสตรี กล้าหาญองอาจ
ป้องกันอีสาน ต้านศัตรูของชาติ ล้วนเป็นสตรีสามารถ ต้นตระกูลของไทย
(สร้อย)
ความคิดเห็นที่ 225
ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ได้ทำงานกับทหาร คือได้เป็นอาสาสมัครในการทำกิจกรรมเรื่องรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด และกิจกรรมที่ทำนั้นก็จะมีการพูดถถึงเรื่องที่ ไทย ได้สูญเสียดินแดนให้กับประเทศต่าง ๆ ทั้ง ฝรั่งเศส อังกฤษ เราได้สูญเสียมากสุดในสมัย รัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นการสูญเสียที่ รัชกาลที่ 5 ทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และ คนไทย เพื่อแลกกับเอกราช และความสงบสุขในประเทศ ท่านทำเพื่อคนไทย และ หลังจากนั่นเราได้สูญเสียปราสาทพระวิหารให้กับประเทศ ฝรั่งเศส แต่ที่ดิฉันข้องใจ เพราะดิฉันได้ชม astv ทุกวัน วันละหลาย ชั่วโมง และเมื่อวันอังคาร ก็จะมีผู้ปราศรัยได้ขึ้นบรรยายเรื่อง เขาและปราสาทพระวิหาร ดิฉันได้รับทราบข้อมูลมาจากทหาร ที่ดิฉันได้เข้าไปร่วมงานมาว่า
ปราสาทเขาพระวิหารที่ไทยต้องเสียให้กับ กัมพูชา ในการตัดสินของศาลโลกนั้น เพราะฝีมือของ คนไทยที่ทำงานอยู่ในกระทรวงต่างประเทศสมัยนั้นใช่หรือไม่
เรื่องที่ดิฉันได้รับทราบมีอยู่ว่า สมัยที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ได้เสด็จไป ปราสาทเขาพระวิหาร รัฐบาลฝรั่งเศส รู้ข่าว จึงให้คนไปเชิญธงฝรั่งเศสชึ้นเหนือเขาพระวิหาร และได้ถ่ายภาพไว้ว่าเจ้านายของไทยได้เสด็จและยินยอม รับรู้ว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของฝรั่งเศส แต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ไม่ทราบเรื่องว่าฝรั่งเศสทำเช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อหลักฐานคือรูปถ่ายฉบับนั้นก็มิได้ตกไปอยู่ในมือของรัฐบาลฝรั่งเศส กระทรวงต่างประเทศได้เก็บไว้เป็นเอกสารลับ แต่ก็ได้มีคนของ ฝรั่งเศสหรือกัมพูชาได้ นำสินบนมาให้ข้าราชการที่ทำงานในกระทรวงต่างประเทศ เป็นจำนวน 8,000 บาท(ในสมัยนั้น) เพื่อให้ข้าราชการไทยคนนั้น นำภาพถ่ายภาพนั้นมาให้ และนำไปเป็นเอกสารประกอบให้การพิจารณคดีของศาลโลก
ทำให้ไทยต้องแพ้คดี ทำให้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสียพระทัย ทำให้คนไทยต้องเสียใจ ยอมแลก กับเงินจำนวน แค่ แปดพันบาท
มาถึงสมัยนี้เหตุการณ์มันย้อนกลับมาอีกรอบ แต่ตอนนี้ คนที่ทำไม่ใช่ข้านราชการชั้นผู้น้อย แต่เป็นถึง รัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างประเทศเป็นคนทำเอง
ดิฉันอยากเรียนถาม ท่าน ศ.ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ ว่าเรื่องที่ดิฉันได้รับทราบมาเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะไม่เห็นมีนักวิชาการที่ขึ้นมาบนเวทีพันธมิตร ได้กล่าวถึงเลย เพราะดิฉันจะได้ไม่เข้าใจอะไรผิด ๆ อีกต่อไป
แต่ถ้าเรื่องที่ดิฉันได้ทราบมาเป็นความจริง ดิฉัน ก็ขอสาบแช่งให้คนที่ทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดน ไม่มีแผ่นดินจะอยุ่ แม้แผ่นดิน จะกลบร่างก็ไม่มี คนเราเสียชาติเกิดที่เกิดมาเป็นคนไทย แต่ไม่รู้จักรักและหวงแหนแผ่นดินเกิด
ขอขอบพระคุณท่าน ศ.ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ และทีมงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างสูง
ไนท์
Night
ดูชัดๆ ไทยยกแผ่นดินพระวิหารให้เขมร!! |
โดย ผู้จัดการออนไลน์ | 19 มิถุนายน 2551 08:03 น. |
|
คำสั่งรัฐบาลฝรั่งเศสในการเจรจาสงบศึก หนังสือสัญญา ทำเมื่อ วันที่ ๓ ตุลาคม ร.ศ.๑๑๒ ระหว่างรัฐบาลแห่งสมเด็จพระเจ้ากรุงสยามกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส
เมื่อพระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์ได้ไปแจ้งแก่ ม.เดอ แวลล์ ว่า รัฐบาลไทยยอมรับคำขาดลงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม และข้อรับประกันเพิ่มเติม ลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม แล้ว ม.เดอ แวลล์ จึงได้มีโทรเลขสั่งการไปยัง ม.ปาวี เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม มีความว่า
".....รัฐบาลไทยยอมรับข้อรับประกันเพิ่มเติมที่ฝรั่งเศสเรียกร้องไปตามบันทึก ลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม กรมหลวงเทวะวงศ์ ฯ ก็คงจะได้แจ้งแก่ตัวท่านเองว่า รัฐบาลไทยยอมรับแล้ว เมื่อท่านได้แลกเปลี่ยนสาส์นเป็นลายลักษณ์อักษรถึงการยอมรับคำขาด และข้อรับประกันเพิ่มเติมกับกรมหลวงเทวะวงศ์ ฯ เป็นการถูกต้องแล้ว ให้ท่านแจ้งแก่ นายพลเรือฮูมานน์ให้เลิกการปิดอ่าว และให้คงยึดปากน้ำและเมืองจันทบุรีไว้ตามเดิม..... อนุญาตให้ไปประจำอยู่ที่กรุงเทพ ฯ ได้ ม.เลอมีร์เดอวิเลร์ส จะมาถึงที่นั่นในไม่ช้า....."
ม.เดอ แวลล์ได้มีโทรเลขด่วนไปยัง ม.เลอมีร์ เดอริเลร์ส ที่กำลังเดินทางไปถึงเมืองเอเดน มีความว่า
"ประเทศไทยได้ยอมรับคำขาด รวมทั้งได้ยอมรับข้อประกันเพิ่มเติม ขอให้ท่านตรงไปที่กรุงเทพ ฯ โดยเรือลำใดลำหนึ่งของเรา...ที่ท่านจะต้องจัดการทำความตกลงกับรัฐบาลไทย คือ ตามธรรมดาจะต้องคัดเขียนข้อความในคำขาดที่ฝ่ายไทยได้รับแล้วลงเป็นสัญญา เป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องเพิ่มเติมข้อความที่ท่านเห็นสมควรสำหรับจะให้เป็นเครื่องประกันความสัมพันธ์ ในระหว่างเรากับไทย ซึ่งมีมาแล้วด้วยดี และให้พยายามสอดส่องถึงความยากอันจะพึงมีมาในวันข้างหน้าด้วย"
วันที่ ๘ สิงหาคม ม.ปาวี ได้โดยสารเรือ อาลูแอตต์ (Alouette) เข้าไปประจำอยู่ ณ สถานฑูตฝรั่งเศสตามเดิม
วันที่ ๙ สิงหาคม กองเรือฝรั่งเศสทั้งหมดเดินทางกลับไปไซ่ง่อน คงเหลือแต่เรือ อาลูแอตต์ คงอยู่ที่สถานฑูตฝรั่งเศส ส่วนเรือลูแตง คงประจำอยู่กับกองทหารฝรั่งเศสที่ยึดจันทบุรี เรือปาแปง (Papin) ไปรับ ม.เลอมีร์เดอวิเลร์สที่สิงคโปร์ ม.เลอมีร์ เดอวิเลร์ส เดินทางมาถึงกรุงเทพ ฯ เมื่อ ๑๖ สิงหาคม และได้เข้าทูลละอองธุลีพระบาท เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม เวลาบ่าย
ฝรั่งเศสเลิกปิดอ่าวไทย
ประกาศเลิกปิดอ่าวไทยมีความว่า
"ข้าพเจ้า นายพลเรือตรี ฮูมานน์ ผู้บัญชาการกองเรือฝรั่งเศสในอ่าวไทย ผู้ลงนามข้างท้าย โดยอาศัยอำนาจที่ข้าพเจ้ามีอยู่ ขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า
การปิดอ่าวฝั่ง และเมืองท่าประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่..... ได้เลิกแล้วตั้งแต่ วันที่ ๓ สิงหาคม ค.ศ.๑๘๙๓ เวลา ๑๒.๐๐ น."
สัญญาสงบศึก
สมเด็จพระเจ้ากรุงสยามกับประธานาธิบดี แห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส มีความปรารถนาจะระงับข้อพิพาทต่าง ๆ..... ระหว่างประเทศทั้งสอง และเพื่อกระชับสัมพันธไมตรี..... จึงได้แต่งตั้งผู้มีอำนาจเต็มทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายสมเด็จพระเจ้ากรุงสยาม พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงเทวะวงศ์ ฯ..... เสนาบดีว่าการต่างประเทศ
ฝ่ายประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ม.ชาร์ลส์ มารี เลอมีร์เดอ วิเลร์ส..... อัครราชฑูตผู้มีอำนาจเต็มชั้นที่หนึ่ง และสมาชิกรัฐสภา
.....ได้ตกลงกันทำสัญญาเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ รัฐลาลสยามยอมสละข้ออ้างทั้งปวงว่า มีกรรมสิทธิอยู่เหนือดินแดนทั่วไปทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง และบรรดาเกาะทั้งหลายในแม่น้ำนั้น
ข้อ ๒ รัฐบาลสยามจะไม่มีเรือใหญ่น้อยติดอาวุธไว้ใช้ หรือให้เดินไปมาในน่านน้ำของทะเลสาบ และของแม่น้ำโขง และลำน้ำที่แยกจากแม่น้ำโขง ซึ่งอยู่ภายในเขตที่ระบุไว้ในสัญญาข้อต่อไป
ข้อ ๓ รัฐบาลสยาม จะไม่สร้างค่ายหรือที่ตั้งกองทหารไว้ในเมืองพระตะบอง และเมืองนครเสียมราฐ และบนฝั่งขวาแม่น้ำโขงในรัสมี ๒๕ กิโลเมตร
ข้อ ๔ ภายในเขตที่ระบุไว้ในข้อ ๓ นั้น กำลังตำรวจจะมีไว้ตามธรรมเนียมการปกครองท้องถิ่นนั้น ๆ และมีจำนวนได้เพียงเท่าที่จำเป็น กับจะไม่จัดตั้งกองทหารประจำการหรือไม่ประจำการใด ๆ ไว้ ณ ที่นั้นเลย
ข้อ ๕ รัฐบาลสยามรับรองว่า จะเปิดการเจรจากับรัฐบาลฝรั่งเศสด้วยเรื่องระเบียบการศุลกากร และการค้าภายในเขตที่ระบุไว้ในข้อ ๓ ภายในกำหนด ๖ เดือนเป็นอย่างช้า และให้มีการแก้ไขสัญญา ปี ค.ศ.๑๘๕๖ ด้วย รัฐบาลสยามจะไม่เก็บภาษีใด ๆ ในเขตที่ระบุไว้ในข้อ ๓ จนกว่าจะได้มีการตกลงกันในข้อนี้ และรัฐบาลฝรั่งเศสจะได้กระทำการตอบแทนเช่นเดียวกันแก่นานาสินค้าที่ผลิตได้ในเขตดังกล่าวนี้
ข้อ ๖ ความเจริญแห่งการเดินเรือในแม่น้ำโขงนั้น อาจมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างหรือตั้งท่าเรือ และจอดทำที่ไว้ฟืนและด่านบนฝั่งขวาแม่น้ำโขงแล้ว รัฐบาลสยามรับรองว่าเมื่อรัฐบาลฝรั่งเศสร้องขอมาแล้ว ก็จะให้ความสดวกทั้งปวงเท่าที่จำเป็นเกี่ยวกับการนี้
ข้อ ๗ บุคคลสัญชาติฝรั่งเศสก็ดี บุคคลในบังคับหรือในปกครองฝรั่งเศสก็ดี จะไปมาหรือค้าขายได้โดยเสรีในดินแดนที่ระบุไว้ในข้อ ๓ ในเมื่อหนังสือเดินทางที่เจ้าพนักงานฝรั่งเศสให้ไว้ ส่วนราษฎรที่อยู่ในเขตดังกล่าวนี้ ก็จะได้รับสิทธิด้วยเช่นกัน
ข้อ ๘ รัฐบาลฝรั่งเศสสงวนไว้ ซึ่งสิทธิที่จะตั้งกงสุล ณ ที่ใด ๆ ก็ได้ เท่าที่เห็นสมควร เพื่อรักษาประโยชน์ของคนในปกครอง เช่นที่โคราช และที่เมืองน่าน เป็นต้น
ข้อ ๙ ในกรณีเกิดความยุ่งยากในการตีความหมายของสัญญานี้ ฉบับภาษาฝรั่งเศสเท่านั้น ที่จะใช้เป็นหลัก
ข้อ ๑๐ สัญญาฉบับนี้จะต้องได้รับสัตยาบันภายในสี่เดือน เป็นอย่างช้า นับแต่วันที่ได้ลงนาม
อนุสัญญาต่อท้ายสัญญาสงบศึก
อนุสัญญาทำเมื่อ วันที่ ๓ ตุลาคม ร.ศ.๑๑๒ ผนวกต่อท้ายหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยาม กับกรุงฝรั่งเศส
ผู้ที่มีอำนาจเต็มในการทำหนังสือสัญญาทั้งสองฝ่าย ได้ตกลงกันทำหนังสือสัญญาฉบับนี้ไว้ เพื่อเป็นมาตรการ และวิธีดำเนินการเกี่ยวกับการปฏิบัติตามหนังสือสัญญาสงบศึกที่ได้ลงนามในวันนี้ และตามคำขาดที่ได้ยอมรับเมื่อ วันที่ ๕ สิงหาคม ที่แล้วมา
ข้อ ๑ กองทหารกองสุดท้ายของไทย บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง จะต้องถอนออกไปอย่างช้าที่สุดในหนึ่งเดือนนับจากวันที่ ๕ กันยายน
ข้อ ๒ บรรดาป้อมปราการที่อยู่ในเขตที่ระบุไว้ในข้อ ๓ แห่งสัญญาที่ได้ลงนามกันในวันนี้นั้นจะต้องรื้อถอนให้หมดสิ้น
ข้อ ๓ ผู้เป็นตัวการก่อเหตุร้ายที่ทุ่งเชียงคำ และที่คำม่วนนั้น เจ้าพนักงานฝ่ายสยาม จะต้องนำตัวมาพิจารณาลงโทษ ผู้แทนรัฐบาลฝรั่งเศสคนหนึ่งจะมาทำการพิจารณาพิพากษาด้วย และจะดูแลการปฏิบัติในการลงโทษที่พิพากษาไว้ รัฐบาลฝรั่งเศสคงสงวนไว้ ซึ่งสิทธิที่จะเห็นชอบด้วย เมื่อการลงโทษนั้นสมควรแก่รูปคดี และถ้าไม่เห็นชอบด้วยแล้ว จะได้ร้องขอให้มีการพิจารณาคดีนั้นโดยศาลผสม ซึ่งฝรั่งเศสเป็นผู้จัดการตั้งตุลาการ
ข้อ ๔ รัฐบาลสยามจะต้องส่งมอบบรรดาคนในบังคับฝรั่งเศส คนญวน คนลาว ที่อยู่ทางฝั่งซ้าย รวมทั้งคนเขมรที่จับกุมเอาไว้ไม่ว่ากรณีใด ๆ ตามที่ราชฑูตฝรั่งเศสประจำกรุงเทพ ฯ จะได้กำหนด หรือส่งมอบให้แก่เจ้าพนักงานฝรั่งเศสประจำพรมแดน รัฐบาลสยามจะไม่ทำการขัดขวางการเดินทางกลับถิ่นเดิมของผู้คนที่เคยอยู่ทางฝั่งซ้าย
ข้อ ๕ ผู้แทนเสนาบดีว่าการต่างประเทศคนใดคนหนึ่ง จะต้องนำบางเบียนแห่งทุ่งเชียงคำ และพรรคพวกของเขา พร้อมทั้งเครื่องอาวุธและธงฝรั่งเศส ซึ่งเจ้าพนักงานฝ่ายสยามยึดคร่าไว้นั้น มาส่งมอบให้สถานฑูตฝรั่งเศส
ข้อ ๖ รัฐบาลฝรั่งเศสจะคงยึดครองเมืองจันทบุรีไว้ จนกว่ารัฐบาลสยามจะได้ปฏิบัติตามนัยแห่งอนุสัญญานี้แล้ว เช่นการถอนทหารกลับมาเสร็จสิ้นแล้ว และมีความสงบเรียบร้อยเกิดขึ้นแล้ว ทางฝั่งซ้ายและในเขตที่ระบุไว้ในข้อ ๓ แห่งสัญญาที่ได้ลงนามกันในวันนี้
บันทึกวาจาต่อท้ายอนุสัญญา ที่ผู้มีอำนาจเต็มฝ่ายฝรั่งเศสและฝ่ายสยาม ได้ลงนามเมื่อ วันที่ ๓ ตุลาคม ร.ศ.๑๑๒
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ ทรงเกรงว่าจะไม่สามารถถอนกองทหารที่อยู่ห่างไกลมาก ให้พ้นกำหนดในวันที่ ๕ ตุลาคมได้ เพราะมีสิ่งที่จะทำไปไม่ได้เกี่ยวกับการขนย้ายสิ่งของ ม.เลอมีร์ เดอวิเลร์ส ตอบว่า ควรที่รัฐบาลสยามจะขอระยะเวลาเสียใหม่ โดยแจ้งตำบลที่ตั้งกองทหาร และระยะเวลาอย่างมากที่ต้องใช้ ก็คงจะได้รับการผ่อนผันโดยแน่นอน ตามความจำเป็นที่ควรขยายระยะเวลานั้นออกไปอีก
พระเจ้าน้องยาเธอ รับสั่งถามว่า วิธีดำเนินการตามความในข้อ ๒ นั้น จะต้องรื้อป้อมปราการโบราณที่ไม่ใช้แล้ว และไม่เกี่ยวกับราชการทหารมานานปีแล้ว และมีคุณลักษณะทางประวัติศาสตร์ แต่อย่างเดียวเท่านั้น เช่นกำแพงบ้านเจ้าเมืองพระตะบอง ฯลฯ นั้นด้วยหรือ
ผู้มีอำนาจเต็มตอบว่า ป้อมปราการนั้นหมายถึงการก่อสร้างทางทหารสำหรับใช้ในการป้องกัน และมิได้หมายถึงกำแพงเมือง ซึ่งมีไว้เพื่อประโยชน์ในทางประวัติศาสตร์เท่านั้น
พระเจ้าน้องยาเธอรับสั่งถามว่า ศาลอุธรณ์ตามที่กล่าวในข้อ ๓ นั้น จะตั้งอยู่ใน ณ ที่ใด
ผู้มีอำนาจเต็มตอบว่า จะตั้งที่กรุงเทพ ฯ
พระเจ้าน้องยาเธอรับสั่งถามว่า คำว่า "ผสม" นั้น หมายความว่าอย่างไร
ผู้มีอำนาจเต็มตอบว่า หมายถึงศาลผสม ฝรั่งเศส - ไทย
พระเจ้าน้องยาเธอทรงตั้งข้อสังเกตว่า วิธีดำเนินการเช่นนี้ จะมิเป็นเหตุให้คนในบังคับสยามขาดจากอำนาจศาล ตามธรรมเนียมของเขาไปหรือ
ผู้มีอำนาจเต็มตอบว่า ประเทศสยามเป็นประเทศที่มีอำนาจพิพากษาคดีความ และการมีศาลผสมนั้น ก็ได้มีมาแล้วมิใช่เพิ่งคิดทำขึ้นใหม่
ตามความในข้อ ๕ แห่งอนุสัญญานั้น พระเจ้าน้องยาเธอทรงแจ้งให้ทราบว่า บางเบียนคงจะเข้าไปในดินแดนฝรั่งเศสแล้ว และด้วยเหตุนี้ จะไม่สามารถนำตัวข้าราชการผู้นี้มามอบให้แก่ราชฑูตฝรั่งเศสประจำกรุงเทพ ฯ ได้
ผู้มีอำนาจเต็มตอบว่า หากบางเบียนคงอยู่ในแดนฝรั่งเศส ความข้อนี้ก็เป็นอันตกไปเอง การที่ยังรักษาความข้อนี้ไว้ ก็เพราะยังมีความจำเป็นที่รัฐบาลสยาม ควรจะจัดการให้ข้าราชการผู้นี้ กลับคืนไปสู่แดนฝรั่งเศส ฉะนั้นจึงควรมีหนังสือแจ้งไปให้ทราบว่า บางเบียนได้ออกจากแดนสยามที่ตำบลใด เพื่อที่จะสามารถทราบตำบลที่อยู่ของเขา ความในข้อนี้นำมาใช้กับล่าม และทหารญวนด้วย
ในกรณีที่บางเบียน และบรรดาคนในบังคับฝรั่งเศสอื่น ๆ ยังตกค้างอยู่ในแดนสยาม ความในข้อ ๔ นี้คงบังคับใช้ด้วย
ตามความในข้อ ๖ พระเจ้าน้องยาเธอ ฯ รับสั่งขอคำอธิบายเกี่ยวกับคำว่า "ความสงบเรียบร้อย" ผู้มีอำนาจเต็มตอบว่า รัฐบาลฝรั่งเศสขอสงวนความข้อนี้ไว้โดยเห็นว่าอาจมีความยุ่งยากหรือการจลาจลที่คนไทยจะไปก่อเหตุขึ้น
พระเจ้าน้องยาเธอ ทรงเกรงว่า ความในข้อนี้จะเป็นเหตุให้ยกขึ้นกล่าวอ้างได้เสมอว่า ยังไม่มีความสงบเรียบร้อย โดยคนไทยเป็นผู้ไปก่อเหตุขึ้น
ม.เลอมีร์ เดอ วิเลร์ส กล่าวว่าสัญญาและอนุสัญญาสงบศึกนั้น กระทำไปด้วยความเชื่อถือต่อกัน และหลักการนี้ครอบคลุมงานของผู้มีอำนาจเต็ม หากจะมีการโต้แย้ง ไม่ถือหลักการนี้แล้วการเจรจาปรองดองกันก็จะมีขึ้นไม่ได้เลย
พระเจ้าน้องยาเธอรับสั่งถามว่า จะเชื่อถือได้อย่างไรว่าเมืองจันทบุรีจะเลิกถูกยึดครอง ในเมื่อได้ถอนทหารไทยกลับมาหมดแล้ว
ม.เลอมีร์ เดอ วิเลร์ส ตอบในทำนองปฏิเสธ อ้างว่าก่อนอื่นรัฐบาลฝรั่งเศสจะต้องมั่นใจว่า รัฐบาลสยามให้ปฏิบัติแล้วซึ่งวิธีดำเนินการตามคำขาดด้วยความสุจริต
พระเจ้าน้องยาเธอทรงถามว่า จะพิสูจน์ความสุจริตของรัฐบาลสยามได้อย่างไร เพื่อให้มีการถอนทหารออกจากเมืองจันทบุรี
ม.เลอ มีร์ เดอ วิเลร์ส ตอบว่ารัฐบาลฝรั่งเศสไม่มีความประสงค์จะเอาเมืองจันทบุรีไว้ และถือว่าประโยชน์อันแท้จริงของฝรั่งเศสนั้นคือรับถอนทหารกลับไปโดยด่วน เพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายจำนวนมาก และนอกจากนี้แล้วก็คือปัญหาของการเชื่อถือต่อกัน
ไทยเสียดินแดนฝั่งขวา แม่น้ำโขง
1 ตกไปเป็นของฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ.๒๔๑๐ (ร.ศ.๘๖)
2 ตกไปเป็นของฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๑ (ร.ศ.๑๐๗)
3 ตกไปเป็นของฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๖ (ร.ศ.๑๑๒)
4 ตกไปเป็นของฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๗ (ร.ศ.๑๒๓)
5 ตกไปเป็นของฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๐ (ร.ศ.๑๒๖)
ไทยได้ปฏิบัติตามคำบังคับต่าง ๆ ครบถ้วนทุกประการแล้ว แต่ฝรั่งเศสก็ยังไม่ยอมออกจากจันทบุรีจนเวลาล่วงไป ๑๐ ปี ฝรั่งเศสก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะออกไปจากจันทบุรี ฝ่ายไทยจึงต้องขอแลกเปลี่ยนกับฝรั่งเศส ทำให้เกิดมีสัญญากับฝรั่งเศสขึ้นอีกสองฉบับ คืออนุสัญญา ลงวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๔๕ และอนุสัญญา ลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๔๖
อนุสัญญาฉบับ ลงวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๔๕ มีอยู่ ๑๐ ข้อ มีใจความว่า
ข้อ ๑ กำหนดพรมแดนระหว่างไทยกับเขมรตอนเหนือ และรวมเอาดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงแคว้นหลวงพระบาง
ข้อ ๒ ให้ไทยยกเมืองมโนไพร และจำปาศักดิ์ให้ฝรั่งเศส
ข้อ ๓ ให้ไทยมีได้แต่ทหาร และนายทหารที่เป็นคนไทยในดินแดน ภาคอีสาน
ข้อ ๔ การสร้างท่าเรือคลอง และทางรถไฟ ในดินแดนภาคอีสาน จะทำได้ด้วยทุนของไทยและโดยคนไทย
ข้อ ๕,๖ และ ๗ เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนในบังคับ
ข้อ ๘,๙ และ ๑๐ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับใช้และการตีความในสัญญา
แม้ว่าไทยกับฝรั่งเศสจะได้ทำอนุสัญญาฉบับนี้กันแล้ว แต่ทางรัฐสภาฝรั่งเศสยังไม่ยอมให้สัตยาบัน และฝรั่งเศสก็ยังไม่ยอมออกไปจากจันทบุรี ดังนั้นต่อมาอีกปีเศษจึงได้มีการทำอนุสัญญาฉบับลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๔๖ แก้ไขเพิ่มเติมสัญญาฉบับก่อน มี ๑๖ ข้อ มีใจความว่า
ข้อ ๑ กำหนดเขตแดนไทยกับเขมรโดยถือเอาภูเขาบรรทัดเป็นหลัก แล้ววกกินดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงตรงข้ามปากเซ
ข้อ ๒ กำหนดเขตแดนทางหลวงพระบาง โดยไทยต้องยกดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงตรงหน้าหลวงพระบางให้ฝรั่งเศส
ข้อ ๓ บัญญัติให้ตั้งข้าหลวงผสมปักปันเขตแดนตามความในข้อ ๑ และ ๒ ให้เสร็จภายในสี่เดือน
ข้อ ๔ ให้รัฐบาลไทยยอมเสียสละอำนาจที่จะเป็นเจ้าของแผ่นดินเมืองหลวงพระบางทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง แต่อนุญาตให้คนไทยขึ้นล่องในแม่น้ำโขงตอนทีตกเป็นของฝรั่งเศสตอนนั้นได้สะดวก
ข้อ ๕ เมื่อได้ทำการปักปัน และตกลงกันตามความข้างต้นนั้นเสร็จสิ้นแล้ว ฝรั่งเศสรับว่าจะออกไปจากจันทบุรีทันที
ข้อ ๖ ทหารของประเทศไทยที่จะประจำดินแดนภาคอีสานต้องเป็นชาติไทยทั้งหมด ส่วนตำรวจนั้นให้นายตำรวจเป็นชาติเดนมาร์ค แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็นชาติอื่นต้องให้ฝรั่งเศสตกลงด้วยก่อน ส่วนตำรวจที่รักษาพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณนั้น ต้องเป็นคนพื้นเมืองนั้นทั้งสิ้น
ข้อ ๗ การทำท่าเรือ คลอง ทางรถไฟในดินแดนภาคอีสาน ต้องทำด้วยทุนและแรงงานของไทย ถ้าทำไม่ได้ต้องปรึกษาฝรั่งเศส
ข้อ ๘ ไทยจะต้องให้ฝรั่งเศสเช่าที่ทำท่าเรือที่เชียงคาน หนองคาย ชัยบุรี ปากน้ำก่ำ มุกดาหาร เขมราฐ และปากน้ำมูล
ข้อ ๙ ไทยกับฝรั่งเศสจะต้องร่วมมือกันสร้างทางรถไฟจากพนมเปญถึง พระตะบอง
ข้อ ๑๐ และข้อ ๑๑ บัญญัติวิธีการจดทะเบียนคนในบังคับของฝรั่งเศส
ข้อ ๑๒ และข้อ ๑๓ ว่าด้วยอำนาจศาล
ข้อ ๑๔ ข้อ ๑๕ และข้อ ๑๖ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับใช้และการตีความในสัญญา
ฝรั่งเศสยังไม่ยอมออกจากเมืองจันทบุรี เพราะไทยต้องปฏิบัติตามข้อตกลง (Agrement) ลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๔๗ เกี่ยวกับการปักปันเขตแดนใหม่ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ฝรั่งเศสได้ถอนทหารออกจากจันทบุรีหมดเมื่อวันที่ ๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๗ โดยไทยต้องเสียดินแดนไปถึง ๖๒,๕๐๐ ตารางกิโลเมตร
ฝรั่งเศสออกจากเมืองจันทบุรีแล้ว ได้ไปยึดเมืองตราดแทน เพื่อเรียกร้องจากไทยต่อไปอีก
ไทยเสียพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ
การที่ฝรั่งเศสยึดเมืองตราด ทำให้เกาะทั้งหลายใต้แหลมลิงไปจนถึงเกาะกูด คงอยู่ในความยึดครองของฝรั่งเศส ดังนั้น เพื่อให้ฝรั่งเศสออกไปจากเมืองตราดไทยต้องเสียพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ไปให้ฝรั่งเศสอีก โดยสัญญา ลงวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๔๔๙ และมีพิธีสาร (Protocol) ต่อท้ายว่าด้วยการปักปันเขาแดน ลงวันที่เดียวกัน มีใจความว่า
"ไทยยอมยกดินแดนพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้แก่ฝรั่งเศส และฝรั่งเศสยอมยกเมืองด่านซ้าย (อยู่ในเขตจังหวัดเลย) เมืองตราด และเกาะทั้งหลายที่อยู่ใต้แหลมลิง ลงไปจนถึงเกาะกูดให้แก่ไทย
มีพิธีสารต่อท้ายอีกฉบับหนึ่ง ลงวันที่เดียวกันเรื่องอำนาจศาลในกรุงสยาม มีใจความว่า
"ให้คนในบังคับฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ในประเทศไทยมีสิทธิมากขึ้น" ครั้งนี้ไทยต้องเสียดินแดนไปอีก ๕๑,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร
ได้มีการประกอบพิธีรับมอบเมืองตราดจากฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๕๐ โดยมีพระยาศรีสหเทพ (เส็ง วิริยะศิริ) ราชปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยทหารเรือ ๑ กองร้อย เดินทางไปรับมอบ
จันทบุรีถูกยึดครอง
ในสมัย ร.ศ.๑๑๒ เมืองจันทบุรีขึ้นกับกระทรวงการต่างประเทศ มีข้าราชการในตำแหน่งสำคัญประจำอยู่ ดังนี้
พระยาวิชยาธิบดี (หงาด บุนนาค) เป็นผู้ว่าราชการเมือง
พระยาเทพสงคราม (เยื้อง สาณะเสน) เป็นปลัดเมือง
พระกำแพงฤทธิรงค์ (แบน บุนนาค) เป็นผู้ช่วยผู้ว่าราชการเมือง
พระวิเศษสงคราม เป็นนายด่านปากน้ำ
ขุนกลางบุรี (ปลิว พันธุมนันท์) เป็นตุลาการ
นายร้อยเอก ตรุศ เป็นผู้บังคับการทหารเรือ
นายร้อยโท คอลส์ ชาติเดนมาร์ค เป็นครูทหารเรือ
นายร้อยโท จ้อย เป็นผู้บังคับกองทหารเรือ
ในระหว่างที่กองเรือฝรั่งเศสประกาศปิดอ่าว เรือฟอร์แฟได้มาตรวจการปิดอ่าวทางด้านเมืองจันทบุรี เมื่อประมาณ วันที่ ๓๐ - ๓๑ กรกฎาคม ได้มาทำการหยั่งน้ำทำแผนที่บริเวณปากน้ำจันทบุรี และได้จัดส่งเรือกลไฟเล็กไปที่ป้อมที่แหลมลิง เอาประกาศปิดอ่าวมาแจ้งให้ทราบ
เมื่อเลิกการปิดอ่าวแล้วเรือลูแตงและเรือแองคองสตังต์ได้ไปยึดปากน้ำจันทบุรี ต่อมาเมื่อได้มีการลงนามในสัญญาสงบศึกที่กรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๓๖ กองทหารฝรั่งเศสก็ได้ยกไปตั้งที่เมืองจันทบุรี ทางกระทรวงการต่างประเทศได้ส่งหลวงอุดมสมบัติ (หนา บุนนาค) กับหลวงวิสูตรโกษา (เจิม บุนนาค) เป็นข้าหลวงออกไปช่วยราชการ ม.ปาวี ได้ไปตรวจราชการพร้อมกับนี้ด้วย ก่อนที่กองทหารฝรั่งเศสจะยกไป กองทหารเรือที่แหลมสิงห์ และที่เมืองจันทบุรีก็ต้องย้ายไปตั้งที่เมืองขลุง
เรืออาสปิค ซึ่งรับ ม.เลอมีร์ เดอ วิเลร์ส จากกรุงเทพ ฯ กลับไซ่ง่อน ได้แวะที่ปากน้ำจันทบุรี เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๓๖
เรือสวิฟท์ของอังกฤษ ได้เดินทางไปจอดที่ปากน้ำ จันทบุรี เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๓๖ ได้ติดต่อสอบถามกับผู้ว่าราชการเมืองจันทบุรี ในฐานะที่ต้องถูกยึดครอง
เรือเมล์เยอรมัน ชื่อ ชวัลเบ (Schalbe) ซึ่งฝรั่งเศสเช่ามาได้บรรทุกกองทหารฝรั่งเศสหนึ่งกองพัน เดินทางจากไซ่ง่อนมาถึงปากน้ำจันทบุรี เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๓๖ กองทหารนี้ มีทหารฝรั่งเศสประมาณ ๑๐๐ คน ทหารญวน ประมาณ ๓๐๐ คน ได้จัดกำลังทหารประมาณ หนึ่งกองร้อย รักษาการณ์อยู่ที่แหลมสิงห์ห์ นอกนั้นไปตั้งอยู่ที่ค่ายทหารในเมืองจันทบุรี ซึ่งแต่เดิมเป็นที่ตั้งกองทหารเรือ
กระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งให้ผู้ว่าราชการเมืองจันทบุรีทราบล่วงหน้าถึงการที่กองทหารฝรั่งเศส จะยกมาตั้งที่เมืองจันทบุรี ดังนั้นผู้ว่าราชการเมือง พร้อมด้วยกรมการจึงได้ไปต้อนรับกองทหารฝรั่งเศสที่ปากน้ำแหลมสิงห์ห์ฉันมิตร ข้าหลวงจากกระทรวงการต่างประเทศทั้งสองนาย ก็ได้ช่วยเหลือให้ความสะดวกแก่กองทหารฝรั่งเศส ในการติดต่อกับข้าราชการฝ่ายไทย เมื่อทหารฝรั่งเศสเข้าอยู่ในที่ตั้งแล้ว ก็ได้จัดการก่อสร้างที่พักของทหาร จัดการคมนาคมติดต่อระหว่างหน่วยทหารในเมืองกับหน่วยทหารที่ปากน้ำแหลมสิงห์
ในระหว่างที่ฝรั่งเศสยึดเมืองจันทบุรีอยู่นั้น กองทหารฝรั่งเศสได้ตั้งด่านตรวจเรือที่หัวแหลมตึกแดงปากน้ำแหลมสิงห์ โดยทำสะพานยื่นจากหัวแหลมตึกแดงออกไปทางทะเล สำหรับให้เจ้าหน้าที่ตรวจตราบรรดาเรือเมล์ หรือเรือใบที่จะผ่านเข้าออกไปมา บรรดาเรือเมล์ก่อนที่จะผ่านเข้าออกปากน้ำจันทบุรี เมื่อใกล้ถึงหัวแหลมตึกแดงแล้ว ต้องชักหวูดให้กองทหารฝรั่งเศสได้ยิน และต้องคอยให้พวกทหาร หรือล่ามของเขาขึ้นมาตรวจก่อนทุกครั้ง กัปตันเรือจะต้องยื่นบัญชีจำนวนสินค้า และจำนวนคนโดยสารให้เขาทราบทุกเที่ยวเมล์ เมื่อเขาการตรวจและรับบัญชีไปแล้ว เรือเมล์จึงเดินทางต่อไปได้ เรือเมล์ที่เดินอยู่ระหว่างกรุงเทพ ฯ กับจันทบุรีในยุคนั้น มีอยู่หลายลำและหลายเจ้าของด้วยกัน
ส่วนบรรดาเรือใบ ซึ่งเป็นเรือบรรทุกสินค้า ก็ต้องแวะให้ตรวจเช่นกัน ถ้าเรือลำใดไม่แวะให้เขาตรวจเขาก็ใช้อำนาจยิงเอา การเช่นนี้ทำความลำบากแก่บรรดาเรือกลไฟ และเรือใบที่ต้องเสียเวลาหยุดเครื่องจักรหรือลดใบให้เขาตรวจเสียก่อน
ในระยะแรกที่ฝรั่งเศสยึดครองจันทบุรี จะพักอาศัยอยู่ตามโรงเรือนฝ่ายไทย เช่น โรงทหารเก่าของไทย และบ้านเรือนของข้าราชการ ต่อมาฝรั่งเศสจึงได้ก่อสร้างบ้านเรือนและที่พักทหาร ที่สร้างเป็นตึกถาวรในบริเวณค่ายทหาร มีอยู่หลายหลังคือ
ตึกรูปสี่เหลี่ยมชั้นเดียว หลังคาตัด ใช้เป็นตึกกองบังคับการ และเป็นที่อยู่ของผู้บังคับกองทหาร (ตึกดองมันดอง)
ตึกชั้นเดียวขนาดใหญ่ ใช้เป็นที่เก็บอาวุธยุทธภัณฑ์
โอกาสไทยทวงคืน “ประสาทพระวิหาร” ย้อนดูคำประท้วงคำตัดสินของศาลโลก |
โดย ผู้จัดการออนไลน์ | 19 มิถุนายน 2551 18:48 น. |
น่าจะลองอ่านบทความของอดีตท่านทูตสมปอง สุจริตกุล ซึ่งเชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ประเด็นคือ ศาลโลกนั้นอันที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีอำนาจอะไร เป็นการที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับว่าจะใช้เป็นเวทีตกลงข้อพิพาท อันที่จริง เราจะไม่ยอมรับก็ได้ ไม่ไปให้ศาลโลกเขาตัดสินก็ได้ แต่เราก็ยอมรับและไปให้ศาลโลกตัดสิน ประเด็นที่ 2 คือ คำตัดสินของศาลโลกนั้น เมื่อตัดสินมาแล้ว ก็ไม่มีอำนาจบังคับ เราจะไม่ยอมรับก็ได้อีกเหมือนกัน แต่เราก็ยอมรับไปแล้ว ประเด็นที่ 3 คดีที่ว่า เป็นเรื่องเฉพาะ ปราสาทพระวิหาร ไม่ใช่เขาพระวิหาร อย่างที่เจ้าของกระทู้ว่า อันที่จริงเราจะยึดไว้ก็ได้ ขออนุญาตท่านอาจารย์สมปอง นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้ให้ได้อ่านกัน ณ ที่นี้ด้วยครับ (ไหนๆ ท่านก็ได้เขียนเผยแพร่ต่อสาธารณะไว้แล้ว) ******** ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาในคดีปราสาทพระวิหาร ศาสตราจารย์ ดร. สมปอง สุจริตกุล ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง ผมขอแสดงความห่วงใยเกี่ยวกับข่าวสารและคำวิพากษ์วิจารณ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง และโทรทัศน์ ที่พาดพิงถึงคดีปราสาทพระวิหารอย่างคลุมเครือ และโดยที่ผมบังเอิญมีส่วนใกล้ชิดและอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่แรกเริ่มมีปัญหาขัดแย้งอันส่งผลไปถึงข้อพิพาทซึ่งเป็นคดีความในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ก่อนอื่น ผมขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายพื้นฐานบางประการที่อาจอำนวยความกระจ่างแจ้งแก่ประชาชนชาวไทยเกี่ยวกับสถานภาพและผลทางกฎหมายของคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ.1962 ในคดีปราสาทพระวิหาร ตลอดจนปฏิบัติการและท่าทีของไทยรวมทั้งการคัดค้านคำพิพากษาและข้อสงวนซึ่งไทยได้แถลงต่อคณะกรรมการที่ 6 (กฎหมาย) ในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญที่ 17 ในปีเดียวกัน 1. ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศต่างกับศาลภายในในข้อที่ศาลระหว่างประเทศไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีความใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากจะได้รับความยินยอมจากรัฐคู่กรณี ในคดีปราสาทพระวิหาร ไทยได้คัดค้านอำนาจศาลแล้วแต่แรกเริ่ม แต่ศาลได้มีคำพิพากษาเบื้องต้นเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ.1961 ยืนยันอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทั้งๆ ที่ได้เคยมีการกล่าวอ้างในศาลในคดีอื่นก่อนหน้านั้นว่าคำรับอำนาจศาลถาวรของไทยฉบับแรกมิได้โอนย้ายมาใช้ในศาลยุติธรรมปัจจุบันซึ่งรับช่วงปฏิญญารับอำนาจศาลจากศาลถาวรภายใต้องค์การสันนิบาตชาติตามความในข้อ 36 วรรค 5 แห่งธรรมนูญศาลปัจจุบัน ทั้งนี้ เนื่องจากไทยมิได้เป็นสมาชิกที่ร่วมก่อตั้งสหประชาชาติมาแต่แรกเริ่มเมื่อ ค.ศ.1945 2.คำฟ้องของกัมพูชาระบุเฉพาะอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ มิอาจขยายให้กว้างออกไปนอกพื้นที่จนครอบคลุมเขาพระวิหารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทิวเขาดงรัก ฉะนั้น การกล่าวถึงข้อพิพาทในคดีว่าเป็น ‘คดีเขาพระวิหาร’ หรือ ‘คดีปราสาทเขาพระวิหาร’ จึงคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ที่ถูกต้องคือ ‘คดีปราสาทพระวิหาร’ โดยจำกัดพื้นที่เฉพาะบริเวณที่ตั้งของปราสาท 3.คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจึงจำกัดเฉพาะภายในกรอบคำร้องที่กัมพูชายื่นฟ้องโดยไม่อาจขยายพื้นที่นอกเหนือจากบริเวณที่ตั้งของปราสาท 4.ข้อ 59 แห่งธรรมนูญศาลกำหนดไว้ว่า คำพิพากษาของศาลไม่มีผลผูกมัดผู้หนึ่งผู้ใดยกเว้นคู่กรณี ได้แก่ไทยและกัมพูชา และเฉพาะส่วนที่เป็นประเด็นในข้อพิพาทเท่านั้น ฉะนั้น คำพิพากษาจึงไม่อาจขยายไปถึงคำขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และไม่ผูกพันองค์การยูเนสโกหรือทบวงการชำนัญพิเศษอื่นๆ รวมทั้งศาลซึ่งเป็นองค์กรของสหประชาชาติและศาลระหว่างประเทศอื่นๆ อาทิ ศาลกฎหมายทะเล 5.คำพิพากษาของศาลไม่มีกลไกบังคับคดี ในทางปฏิบัติจึงไม่อาจนำมาบังคับคดีได้ แต่ไทยก็ได้ปฏิบัติตามโดยไม่ขัดขืนหรือละเมิดคำพิพากษา ไทยได้ถอนบุคคลากรไทยผู้ทำหน้าที่ดูแลรักษาปราสาทพระวิหาร ย้ายเสาธงชาติไทยออกมานอกพื้นที่ปราสาทพระวิหารและสร้างรั้วล้อมตัวปราสาทไว้ เป็นการถอนการครอบครองปราสาทพระวิหารตามคำพิพากษา 6.เนื่องจากไทยไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา จึงไม่ยอมรับอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาและยื่นประท้วงคัดค้านคำพิพากษาดังกล่าวและตั้งข้อสงวนไว้ โดยไทยถือว่าปราสาทพระวิหารยังอยู่ในอำนาจอธิปไตยของไทย และจะกลับไปครอบครองปราสาทพระวิหารอีกเมื่อคำพิพากษาได้รับการพิจารณาทบทวนแก้ไขอีกครั้ง 7.ด้วยเหตุผลดังกล่าว ไทยจึงไม่สมควรเปลี่ยนท่าทีหรือยอมรับอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเหนือปราสาทพระวิหาร ซึ่งจะทำได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบในระดับรัฐบาลและประชามติ 6.หากพิจารณาตามความเป็นจริงทางภูมิศาสตร์ กัมพูชาไม่อาจเข้ามาครอบครองปราสาทพระวิหารได้โดยง่าย เพราะทางขึ้นเป็นหน้าผาสูงชัน การเดินทางไปปราสาทพระวิหารของชาวกัมพูชาจึงจำเป็นต้องใช้เส้นทางที่ผ่านประเทศไทย อย่างไรตาม ปัจจุบันปรากฏว่าไทยได้ปล่อยปละละเลยและไม่เข้มงวดในการสงวนเส้นทางซึ่งเป็นของไทย และปล่อยให้ชาวกัมพูชาผ่านไปมาได้โดยเสรี ไม่มีการตั้งด่านตรวจคนเข้าเมืองหรือเก็บค่าผ่านทางแต่ประการใด ฉะนั้น จึงสมควรที่จะนำมาตรการที่ถูกต้องและเหมาะสมในการเข้าออกประเทศมาใช้อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันมิให้เกิดการเข้าใจผิดและถือสิทธิ์อันมิชอบ ทั้งนี้ โดยยึดหลักการปักปันเขตแดนดั้งเดิมตามเส้นสันปันน้ำซึ่งไม่มีการทับซ้อนโดยเด็ดขาด 7.คำพิพากษาของศาลในคดีนี้มิได้เป็นคำพิพากษาเอกฉันท์ เนื่องจากมีเสียงข้างมากเพียง 9 ต่อ 3 และ 7 ต่อ 5 ในบางประเด็น จึงถือได้ว่าเกือบครึ่งหนึ่งของศาลยังมีความเห็นว่าไทยสมควรมีอำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร ทั้งนี้ โดยที่กฎหมายระหว่างประเทศมีการพัฒนาก้าวหน้าต่อเนื่อง จึงเป็นไปได้ที่ความเห็นจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ซึ่งหมายถึงคำพิพากษาแย้งที่มีเหตุผลอาจเป็นที่ยอมรับนับถือและปฏิบัติตาม 8.หากพิจารณาในภาพรวมจะเห็นได้ว่าศาลเชื่อในหลักการว่าเส้นสันปันน้ำยังคงเป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาในบริเวณเทือกเขาดงรัก เส้นสันปันน้ำที่เขาพระวิหารอยู่ที่ขอบหน้าผา ฉะนั้น ถ้าจะมีการสำรวจใหม่ เส้นแบ่งเขตน่าจะเป็นเช่นเดิมโดยใช้สันปันน้ำเป็นหลัก ปราสาทพระวิหารจึงยังอยู่ในเขตแดนไทย 9.เพื่อความเข้าใจในคำพิพากษาอย่างแจ่มแจ้ง จำเป็นต้องศึกษาโดยอ่านอย่างละเอียดเริ่มแต่หน้าแรกถึงหน้าสุดท้าย ในกรณีพิพาทคดีปราสาทพระวิหาร ตั้งแต่หน้า 1 ถึงหน้า 146 เป็นคำพิพากษาโดยรวม ประกอบด้วยคำพิพากษาของศาล คำพิพากษาแย้งและคำพิพากษาเอกเทศ จึงจำเป็นต้องอ่านโดยตลอดจึงจะเห็นภาพรวมที่สมบูรณ์ ผมได้ตั้งข้อสังเกตข้างต้นเพื่อให้ประชาชนชาวไทยเข้าใจภูมิหลัง จุดยืนและข้อเท็จจริงตลอดจนหลักกฎหมายที่ถูกต้องในส่วนของไทย ก่อนที่จะชี้แจงหรือโต้แย้งกับฝ่ายกัมพูชาซึ่งต้องดำเนินตามข้อเท็จจริงและหลักฐานที่ปรากฏอย่างชัดเจนว่าปราสาทพระวิหารเป็นของไทยและอยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยของไทย โดยที่กัมพูชาเป็นสมาชิกใหม่ของสมาคมอาเซียน จึงควรที่จะเปิดการเจรจาอย่างสันติวิธีและเที่ยงธรรมโดยอาศัยกฎหมายและข้อเท็จจริงเป็นหลัก อนึ่ง ผมขอเรียนย้ำอีกครั้งว่า ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นคดี ‘ปราสาทพระวิหาร’ ทั้งในภาษาไทย อังกฤษและฝรั่งเศส หาใช่คดี ‘เขาพระวิหาร’ หรือ ‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ ไม่ จากคุณ : ผ่านมา - [ 18 มิ.ย. 51 23:23:34 A:58.8.170.224 X: TicketID:106200 ] ความคิดเห็นที่ 7 คำตัดสินของศาลโลก อ้างภาษิต ลาตินว่า... ผู้ที่เงียบเฉยอยู่ ย่อมถือว่ายินยอม ถ้าเขามีหน้าที่ที่จะพูดและสามารถจะพูดได้... สมัยก่อนส่วนใหญ่ก็รู้เพียงว่า เราแพ้เพราะถูกโกงเรื่องแผนที่ ที่ไม่ใช้ีเส้นสันปันน้ำเป็นเขตุแดน ตามที่ตกลงกันระหว่างระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ่ไทยปล่อยให้ฝรั่งเศส เขียนพิมพ์แผนที่ฝ่ายเดียว ประเทศไทยได้รับแผนที่เมื่อปี พศ ๒๔๕๑ โดยฝรั่งเศส เขียนเส้นแบ่งเขตุแดนไทยกับเขมร แล้วให้ตัวปราสาทพระวิหารอยู่นอกประเทศไทย ทางทิศใต้ของเส้นสันปันน้ำ ไปอยู่ในเขตแดนของเขมร ไทยเราแย้งเพิ่มว่า มีแค่ข้าราชการผู้น้อยที่เห็นแผนที่ที่ฝรั่งเศสทำผิด ไม่ทำตามข้อตกลงที่ให้ใช้ีเส้นสันปันน้ำเป็นเขตุแดน แต่เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ไมรู้่เห็น จึงไม่ได้คัดค้าน ศาลบอกว่า...จะเห็นได้ชัดจากหนังสือจากอ้ครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส ที่ส่งไปยังเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศในกรุงเทพ ลงวันที่ ๒๐ สิงหาคม คศ ๑๙๐๘ ...ว่าได้มีผูู้็นำแผนที่ชุดหนึ่งมามอบให้เพื่อจัดส่งต่อไปยัง เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศสยาม...รวมทั้งแผนที่บริเวณทิวเขาดงรัก อย่างละ ๕๐ ชุด อ้ครราชทูตลงท้ายด้วยว่า จะเก็บไว้ที่สถานอ้ครราชทูต อย่างละ ๒ ชุดและจะได้ส่งไปยังแผนที่อย่างละชุดไปยังสถานอ้ครราชทูต ณ กรุงลอนดอน กรุงเบอร์ลิน ประเทศรัสเซียและสหรัฐอเมริกา..... ..ข้อที่ว่าเจ้าหน้าที่สยามโดยการประพฤติปฏิบัติของตนเอง-ได้ตอบรับและ ทราบดีถึงลีกษณะของแผนที่เหล่านี้พร้อมทั้งสิ่งที่แผนที่เหล่านี้แสดงนั้น จะเห็นได้ชัดจากการที่เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ได้ทรงขอบพระทัยอ้ครราชทูตฝรั่งเศส ณ กรุงเทพฯ สำหรับแผนที่เหล่านั้น และได้ทรงขอแผนที่ต่ออ้ครราชทูตเพิ่มเติมอีกย่างละ ๑๕ ชุด เพื่อทรงจัดส่ง ไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆของสยาม"......... ....จะเห็นได้ชีดว่าได้มีบุคคลอาทิ เช่น สมเด็จกรมพระยาเทวงศ์ฯ เสนาบดี กระทรวงต่างประเทศ สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย สมาชิกสยามในคณะกรรมการผสมชุดแรก และสมาชิกสยามในคณะกรรมการ ที่ได้ทรงเห็นหรือได้เห็นแผนที่เหล่านี้ และยังต้องสันนิษฐานด้วยว่า แผนที่ภาคผนวก ๑ นี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดขุขันธ์ซี่งเป็นจังหวัดของสยามทีีมี เขตติดต่อกับอาณาบริเวณเขาพระวิหาร ก็ได้เห็นแล้วด้วย.....บุคคลดังกล่าว ข้างต้นนี้ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยเลย ทุกท่านหรือเกือบทุกท่านมีความรู้ เกี่ยวกับท้องถื่นนี้ดี บางท่านคงต้องมีความณุ้เกี่ยวกับอาณาบริเวณเขาดงรัก เป็นที่ชัดแจ้งจากเอกสารหลักฐานในคดีนี้ดีว่า สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรง สนพระทัยเป็นพิเศษในการปักปันเขตแดน และทรงมีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับโบราณสถาน ......ในเรื่องนี้เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดประกอบด้วยการเสด็จไปเยี่ยม พระวิหารใน คศ ๑๙๓๐ ( พศ ๒๔๗๓ สมัยรัชกาลที่ ๗---ธนิตา)ของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ อดีตเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และในขณะนั้นทรงเป็นนายกราชบัณฑิตยสถานแห่งประเทศสยาม และทรงรับหน้าที่เกี่ยวกับหอสมุดแห่งชาติและโบราณสถาน การเสด็จไปเยี่ยมนี้เป็นส่วนหนึ่ง ของการ เดินทางไปสำรวจโบราณสถาน โดยพระบรมราชานุญาตของพระมหากษัตริยฺสยามและเห็นได้ชัดว่ามี ลักษณะกึ่งราชการ เมื่อเสด็จในกรมฯเสด็จถึงพระวิหาร ทรงได้รับการต้อนรับเป็นทางการจากข้าหลวง ฝรั่งเศสของจังหวัดกัมพูชา ที่ติดต่อกับชายแดนในนามของข้าหลวงใหญ๋ฝรั่งเศสโดยมีธงฝรั่งเศสชักไว้ สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ไม่น่าที่จะไม่ทรงสังเกตเห็นผลที่เนื่องมาจากการรับรองในลักษณะนี้ การยืนยันสิทธิทางด้านอินโดจีนฝรั่งเศสที่ชัดแจ้งกว่านี้ นึกคิดได้ยาก แต่ฝ่ายไทยก็ได้กระทำอะไร นอกจากนั้น เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เสด็จกลับมาถึงกรุงเทพฯแล้ว ยังได้ประทานรูปถ่าย ที่ระลึกไปให้ข้าหลวงฝรั่งเศส พระองค์ทรงใช้ภาษาที่ดูเหมือนจะยอมรับว่า โดยการกระทำของ ข้าหลวงฝรั่งเศสผู้นี้ ฝรั่งเศสได้กระทำเป็นประเทศเจ้าภาพ ศาลได้พิจารณาเห็นว่า คำอธิบายของทนายฝ่ายไทยเกี่ยวกับการเสด็จของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ครั้งนีฟังไม่ขึ้น เมื่อพิจารณาเหตการณฺ์เสด็จโดยตลอด การกระทำเช่นนี้ก็เท่ากับการยอมรับ โดยปริยายจากฝ่ายสยามในอธิปไตยของกัมพูชา (ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส)เหนือพระวิหาร โดยการที่ไม่มีปิฏิกิริยาในทางใดๆ ในโอกาสที่จะต้องแสดงปฎิกิริยา เพื่อยืนยันหรือรักษาไว้ซึ่งกรรมสิทธ์ของตนในเมื่อมีข้อเรียกร้อง ของคู่แข่งขันที่ประจักษ์ สิ่งที่ปรากฏชัด คือว่าตามความเป็นจริง ประเทศสยามไม่ได้เชื่อว่า ตนมีกรรมสิทธิ์ใดๆ และ ข้อนี้ย่อมสอดคล้องกับท่าทีของไทยที่มีต่อแผนที่ ภาคผนวก ๑ ตลอดมาและภายหลัง หรือมิฉะนั้นไทยก็ตกลงใจที่จะไม่อ้างสิทธิ ซึ่งก็หมายความอีกว่า ไทยได้ ยอมรับข้อเรียกร้องของฝรั่งเศส หรือยอมรับเส้นเขตแดน ณ พระวิหาร ตามที่ลากไว้บนแผนที่......... เป็นที่น่าสังเกตุว่า ๑ ในคณะผู้พิพากษา ๑๒ คนชุดนี้ เป็นชาวฝรั่งเศส จึงไม่แน่ใจว่า เขาอาจจะชักชวนเป็นการส่วนตัวใ้ห้คนอื่นออกเสียงคำพิพากษาำตามเขา จากคุณ : ธนิตา - [ 19 มิ.ย. 51 01:13:52 ] ความคิดเห็นที่ 8 ขอเสนอบทความบางตอน ของ ศาตราจารย์ พันเอก พิเศษ พูลพล อาสนะจินดา ท่านจบปริญาตรี ทางวิศกรรมแผนที่ทหาร ฟิลิปปินส์ ๒๔๘๒ ปริญาโทจากมหาวิทยาลัยชิคาโก รับราชการกรมแผนที่ทหาร ตั้งแต่ปี ๒๔๘๖ ถึง ๒๕๐๙ แล้วไปเป็น อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จนได้เป็นคณะบดี และรองอธิการบดี ท่านมีผลงานทางวิชาการด้านแผนที่มากมาย และเป็นที่ปรึกษาฝ่ายไทยในคดีเขาพระวิหารที่ศาลโลก จากบทความเรื่อง ความรับผิดชอบของบุคคลในชาติต่อการักษาเขตแดนของประเทศ ไม่ทราบวันที่เขียน พิมพ์ยาว ๒๖ หน้ากระดาษขนาด 8.5 X 11 นิ้ว ในหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพท่านปี ๒๕๓๕ ๒๐ การป้องกันการบุกรุกดินแดนในรูปแบบใหม่ เราย่อมทราบกันดีว่าในปัจจุบันนี้ การยึดครองแผ่นดินนั้นมีหลายรูปแบบ หาเราเผลอก็จะเป็นอันตรายได้ ขอยกตัวอย่างในสมัยพระนารายณ์มหาราชท่านพัฒนาบ้านเมืองอย่างท่านสมัย มีชนต่างด้าวเข้ามาอยู่ใน นครหลวงมากมายหลายชาติ แต่ก็มีชนชาติหนึ่งที่คิดจะปกครองประเทศ โดยเอาคนไทยที่ไม่ดีของเราเป็นพวก แต่ไม่สำเร็จเพราะคนไทยที่ดีรู้ทันและป้องกันไว้ได้ (ท่านคงหมายถึง เจ้าพระยาวิชาเยนทร์กับฝรั่งเศส ที่ถูก ต่อต้านขับไล่โดยขุนหลวงสรศักดิ์ซึ่งต่อมาคือพระเจ้าเสือ---ธนิตา) ตั้งแต่ตอนนั้นประเทศไทย (สยาม) ต้องปิดประเทศเป็นเวลานาน ความเจริญก้าวหน้าจึงไปปรากฏที่ประเทศญีปุ่น เพราะเขาเปิดประเทศแทนเรา และเขาสามารถคุมคนของเขาได้ ประเทศญี่ปุ่นจึงก้าวหน้าแทนเรา บัดนี้เราเปิดประเทศของเราอีกครั้งหนึ่งแล้ว ปัญหาจึงอยู่ที่ไทยความสามารถของเราที่จะคุมคนไทยด้วยกัน ไม่ให้เป็อุปกรณ์ของนักลงทุนต่างด้าว โดยเราจะต้อง เป็นไทยแท้ด้วตัวและด้วยใจ เราจะต้องมีอำนาจที่จะรักษากฎหมายให้ปฎิบัติการได้อย่างแท้จริง........... ๑๙ สิ่งที่ไม่ควรกระทำเพราะจะเป็นภัยต่อเขตแดนของประเทศ ๑๙.๑ ทำการเปลี่ยนแปลงสภาพทางภูมิศาสตร์ของเขตุแดน เช่น สันปันน้ำ ร่องน้ำลึก และหลักเขตแดนชำรุด เสียหายหรือเคลื่อนที่ เช่นการขุดค้นหาแหล่งแร่บนสันเขาที่ใช้เป็นเขตแดน ทำเขื่อนหรือฝายน้ำทำให้ร่องน้ำลึก ที่ใช้เป็นเขตแดนเปลี่ยนแปลง ทำการเลื่อนย้ายเขตแดนโดยไม่มีความรู้ทางวิชาการ ๑๙.๒ ซักถามข้อสงสัยในเรื่องเขตแดน ในที่ประชุมอย่างเปิดเผย..เช่นในรัฐสภา และหากผู้มีหน้าที่ตอบ ได้ตอบไปอย่างผิดพลาด ก็จะเป็นหลักฐานยืนยันระดับประเทศและทางการเมือง หากเป็นคดีกันในศาลเราอาจเสียเปรียบ ๑๙.๓ หากไม่จำเป็นไม่ควรมอบให้ผู้ชำนาญต่างด้าว ทำแผนที่เขตแดนของประเทศแต่ฝ่ายเดียว เพราะนอกจากอาจจะ ผิดพลาดแล้ว อาจมีความลำเอียงแอบแฝงอยู่ได้ ๑๙.๔ หากไม่จำเป็นไม่ควรให้ให้บริษัทต่างประเทศลงทุน ในการอุตสาหรรมที่เกี่ยวกับที่ดินภายในประเทศ เพราะอาจใช้อำนาจทางเศรษฐกิจยึดครองที่ดินในนามของเอกชนและบริษัทได้ ๑๘ สิ่งที่ควรทำเพื่อรักษาเขตแดนของประเทศ ๑๘.๑ ศีกษาอย่างละเอียดในเรื่องเขตแดนของประเทศ โดยเฉพาะที่อยู่ใกล้กับภูมิลำเนาของเรา เช่น สันปันน้ำ ร่องน้ำลึก และ หลักเขตแดน ว่าอยู่ในสภาพปกติหรือชำรุด หรือเปลี่ยนแปลง เพื่อรายงานให้เจ้าหน้าที่ทราบโดยด่วน ๑๘.๒ เมื่อสงสัยว่าจะมีการรุกล้ำเขตแดน ต้องรายงานให้เจ้าหน้าที่ทราบโดยด่วนที่สุด ๑๘.๓ ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ตำรวจทหาร ในการป้องกันการรุกล้ำเขตแดนของฝ่ายตรงกันข้าม ๑๘.๔ หมั่นเดินทางไปตรวจตราดูแลพื้นที่ภายในเขตแดนของเรา ในรูปแบบที่ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติของพื้นที่นั้น และทุกครั้งที่ไปสำรวจศึกษา ควรทำรายงานเผยแพร่ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์เพื่อเป็นหลักฐาน ๑๘.๕ เผยแพร่และให้ความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องเขตแดนของประเทศของประเทศแก่เยาวชนและบุคคลที่สนใจ แต่ยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องเขตแดน ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษของเรา ๑๘.๖ ทุกครั้งที่จะเดินทางไปศึกษาศึกษาภูมิประเทศใกล้เขตแดน จะต้องทำรายงานให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองทราบ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดและเพื่อความปลอดภัย ๑๘.๗ เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยและฝ่ายประเทศเพื่อนบ้านควรพบปะกันที่ชายแดน เป็นประจำ เพื่อต่างฝ่ายต่างยืนยัน ตำแหน่งเขตแดนที่ถูกต้อง จากคุณ : ธนิตา - [ 19 มิ.ย. 51 01:16:46 ]
การตั้งข้อสงสัยของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อรัฐบาลหุ่นเชิดเกี่ยวกับกรณีเขาพระวิหารว่าเป็นการขายชาติ ยกอธิปไตยเหนือดินแดนเขาพระวิหารให้แก่เขมร เป็นความจริงขึ้นมาแล้ว! และทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนแก่กัมพูชาไปแล้ว
หลังจากปกปิดมุบมิบเล่นเล่ห์กลมาพักใหญ่ ก็ถูกกลุ่มพันธมิตรฯ เดินขบวนใหญ่ทวงถามรัฐบาลให้เปิดเผยข้อเท็จจริง และเป็นผลให้นายนพดล ปัทมะ เปิดการแถลงข่าวเรื่องนี้ในตอนบ่ายวันที่ 18 มิถุนายน 2551
และจากการแถลงข่าวนั่นเอง ข้อเท็จจริงก็เปิดเผยออกมาชัดเจนยิ่งขึ้นว่ากรณีเป็นการขายชาติยกอธิปไตยเหนือดินแดนเขาพระวิหารให้แก่เขมรจริง ๆ สมดังที่กลุ่มพันธมิตรฯ เขากล่าวหา
แต่จากคำแถลงและเอกสารแผนที่ ตลอดจนแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา นั้นใช้ทั้งภาษาการทูต ภาษากฎหมาย และมีความซับซ้อนในเรื่องวิชาการแผนที่ จึงทำให้เข้าใจได้ยาก
ทั้ง ๆ ที่เนื้อแท้และความจริงแล้วก็คือการขายชาติ โดยยกอธิปไตยเหนือดินแดนเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชาไปอย่างหน้าตาเฉยนั่นเอง
ดังนั้นมาทำความเข้าใจถึงถ้อยคำภาษากฎหมายภาษาการทูตและความซับซ้อนเรื่องวิชาการแผนที่ ตลอดจนการใช้เล่ห์กลซับซ้อนซ่อนเงื่อนในเรื่องนี้กันให้ชัดเจน ซึ่งมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
เรื่องที่หนึ่ง สิ่งที่เรียกว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ซึ่งมีแผนที่ประกอบตามที่นายนพดล ปัทมะ แถลงนั้น เนื้อหาที่แท้จริงก็คือข้อตกลงชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ และมีผลต่อดินแดนของราชอาณาจักรไทย
ข้อตกลงประเภทนี้รัฐธรรมนูญปัจจุบันบัญญัติว่าจะต้องดำเนินการสองประการก่อนจึงจะลงนามในเอกสารนั้นได้ คือ ประการแรก จะต้องนำกรอบข้อตกลงขออนุมัติต่อรัฐสภาเสียก่อน และประการที่สอง จะต้องให้ประชาชนในท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาออกความเห็นด้วย หากไม่ปฏิบัติตามนี้รัฐบาลก็ทำข้อตกลงนั้นไม่ได้
การที่รัฐบาลลงนามในข้อตกลงตามเอกสารที่เรียกว่าแถลงการณ์ร่วมจึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ ประชาชนชาวไทยจึงมีสิทธิ์ประกาศว่าแถลงการณ์ดังกล่าวนั้นเป็นโมฆะ ไม่มีผลผูกพันประเทศไทยและรัฐบาลไทย ตลอดจนประชาชนไทย ทำนองเดียวกับที่ขบวนการเสรีไทยเคยประกาศโมฆะกรรมที่รัฐบาลเผด็จการ ป.พิบูลสงคราม ได้ทำสนธิสัญญาเข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์เอเชียบูรพากับญี่ปุ่นทำสงครามกับพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สองมาแล้ว
เรื่องที่สอง แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นข้อตกลงประเภทที่เรียกว่าสัญญาประนีประนอมยอมความ คือระงับข้อพิพาทที่มีต่อกันในเรื่องเขตแดน
ขอให้สาธุชนผู้รักชาติทั้งปวงได้สังเกตถ้อยคำในแถลงการณ์ร่วมนั้นให้ดี ก็จะพบว่ามีถ้อยคำว่าเพื่อการประนีประนอม และถ้อยคำนี้อยู่ภายหลังข้อความที่ว่าเพื่อความเป็นไมตรีระหว่างกัน
เป็นการใช้ภาษากฎหมายผสมกับภาษาการทูตด้วยเล่ห์กลอุบายขายชาติ ซึ่งถ้าหากอธิบดีกรมสนธิสัญญาและเลขาธิการ สมช. คนก่อนไม่ถูกย้ายอย่างฉุกเฉินแล้ว ข้อตกลงขายชาติแบบนี้ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้
เห็นหรือยังว่าการย้ายอดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและเลขาธิการ สมช. อย่างฉุกเฉินก็เพราะมีนัยที่จะผลักดันข้อตกลงอันเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวนี้ไม่ใช่หรือ?
อันสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างประเทศ เมื่อทำโดยถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศแล้วก็ใช้บังคับระหว่างกันได้ มีผลเป็นการระงับข้อพิพาทอื่น ๆ หรือปัญหาที่เคยมีต่อกันก่อนหน้านี้ทั้งหมด
นี่คือการมัดตราสังข์ประเทศไทยและรัฐบาลไทยในภายภาคหน้าไม่ให้มีโอกาสทวงคืนปราสาทพระวิหารและดินแดนแถบนั้นได้อีกต่อไป!
เรื่องที่สาม ข้อตกลงดังกล่าวนี้ไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยเลย หากเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่เขมรฝ่ายเดียวเท่านั้น และเป็นประโยชน์หลายสถาน คือ
(1) เขมรได้ไปซึ่งปราสาทพระวิหารอย่างถาวรอย่างหนึ่ง
(2) เขมรได้ไปซึ่งปราสาทในบริเวณใกล้เคียงอีก 3 หลัง รวมทั้งทางขึ้นอย่างหนึ่ง
(3) เขมรได้ไปซึ่งพื้นที่อันเป็นดินแดนของประเทศไทยซึ่งเป็นที่ตั้งของบริเวณปราสาททั้งหมดเป็นเนื้อที่ประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตรอย่างหนึ่ง และ
(4) เขมรได้ไปซึ่งสิทธิ์ที่รัฐบาลไทยยอมรับว่าดินแดนประเทศไทยในพื้นที่ข้างเคียงรวมตลอดไปถึงอุทยานแห่งชาติพระวิหารเนื้อที่ประมาณ 8 ตารางกิโลเมตรเป็นพื้นที่ทับซ้อน และอยู่ในข้อตกลงที่จะต้องจัดการผลประโยชน์ร่วมกันอีกอย่างหนึ่ง
ทั้ง 4 ประการนี่แหละเป็นเรื่องอุบาทว์ชาติชั่ว เป็นเรื่องการขายชาติ เป็นเรื่องการปล้นชาติ เป็นเรื่องปล้นอธิปไตยของประเทศที่บรรพบุรุษไทยและกองทัพไทยได้พิทักษ์รักษามาตั้งแต่บรรพกาลให้กับเขมรไปอย่างหน้าตาเฉย
มาเข้าใจเรื่องนี้กันให้ลึกซึ้งสักหน่อย ซึ่งสามารถพูดให้เข้าใจได้โดยง่ายดังนี้
(1) ในเรื่องตัวปราสาทพระวิหาร ซึ่งศาลโลกเคยตัดสินให้เป็นของเขมรนั้น รัฐบาลไทยในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สงวนสิทธิ์และโต้แย้งไว้ต่อสหประชาชาติว่าปราสาทพระวิหารนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศไทย แต่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาไปก่อนตามพันธะแห่งกฎบัตรสหประชาชาติ โดยสงวนสิทธิ์ที่จะเอาคืนหรือพิสูจน์ใหม่ในอนาคต
ข้อตกลงหรือแถลงการณ์ร่วมของรัฐบาลหุ่นเชิดคือการสละสิทธิ์ดังกล่าวทั้งหมดและยกปราสาทพระวิหารให้เป็นของเขมรอย่างถาวรตลอดกัลปาวสาน
(2) ปราสาทอื่นในบริเวณนั้นอีก 3 หลัง รวมทั้งทางเดินขึ้นปราสาทพระวิหารทั้งหมด ศาลโลกไม่ได้ตัดสินให้เป็นของเขมร และประเทศไทยก็ถือว่าเป็นทรัพย์สมบัติของประเทศไทยตลอดมา
แต่รัฐบาลหุ่นเชิดได้ตกลงในแถลงการณ์ร่วมแบบมุบมิบโมเมยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเขมรไปทั้งหมด
(3) พื้นที่อันเป็นที่ตั้งปราสาทพระวิหารและปราสาทอีก 3 หลัง รวมทั้งทางขึ้นเป็นดินแดนของประเทศไทย เป็นอธิปไตยของประเทศไทย และศาลโลกก็มิได้ตัดสินให้เป็นของเขมร แต่เขมรเขียนแผนที่ใหม่ฝ่ายเดียว ระบุว่าเป็นดินแดนของเขมร
ดังนั้นการที่รัฐบาลหุ่นเชิดยอมรับแผนที่ดังกล่าว จึงเท่ากับเป็นการยกดินแดนหรืออธิปไตยของประเทศไทยอันเป็นพื้นที่ตั้งปราสาทพระวิหาร ปราสาทอื่นอีก 3 หลัง และทางขึ้นเป็นเนื้อที่ประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตร ให้เป็นของกัมพูชาไปทั้งหมด ซึ่งถือเป็นข้อตกลงประนีประนอมยอมความดังที่ได้จั่วหัวไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว
(4) พื้นที่นอกบริเวณพื้นที่อันเป็นที่ตั้งตัวปราสาทและทางขึ้น มีอาณาเขตประมาณ 8 ตารางกิโลเมตร ซึ่งกินพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติพระวิหารและมีชาวเขมรมาตั้งร้านค้า ตั้งวัดอยู่แล้ว และเป็นดินแดนของประเทศไทย เป็นอธิปไตยของประเทศไทย โดยในแผนที่ของประเทศไทยก็ระบุชัดว่าเป็นดินแดนของประเทศไทย
แต่รัฐบาลหุ่นเชิดได้ทำความตกลงให้ถือเอาพื้นที่ดังกล่าวเป็น “เขตทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา” และ “จะดำเนินการบริหารจัดการหาประโยชน์ร่วมกัน”
นี่คือการสละดินแดนและอธิปไตยซึ่งเป็นของประเทศไทยโดยสมบูรณ์ให้กลายเป็น “เขตทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา” เป็นเนื้อที่ถึงประมาณ 8 ตารางกิโลเมตร
แล้วข้อตกลงอันเป็นแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวก็ได้วางกรอบเกี่ยวกับพื้นที่ดังกล่าวว่าทั้งไทยและกัมพูชาจะบริหารจัดการร่วมกัน ซึ่งจะเปรียบก็เหมือนๆ กับการทำความตกลงว่าให้สนามหลวงเป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา แล้วยอมให้ไทยและกัมพูชาบริหารจัดการแล้วหาประโยชน์ร่วมกันนั่นเอง มันจึงเป็นเรื่องโกงอธิปไตยของชาติอย่างหน้าด้าน ๆ
ที่แถลงแก้ตัวว่าการบุกรุกของชาวกัมพูชาในพื้นที่ดังกล่าวจะเจรจากันในภายหลังนั้น เมื่อประกอบกับข้อตกลงดังกล่าวแล้วก็เห็นได้ชัดว่าได้วางเงื่อนไขที่เสียเปรียบซ้ำเข้าไปอีก เพราะเท่ากับเป็นการไม่โต้แย้งคัดค้านการที่ชาวเขมรมาตั้งถิ่นฐานและวัดวาอารามในพื้นที่นั้น
ด้วยข้อเท็จจริงและเหตุผลดังกล่าวมานี้จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าข้อตกลงซึ่งกระทำการในแถลงการณ์ร่วมของรัฐบาลหุ่นเชิดทำให้ราชอาณาจักรไทยเสียหายดังต่อไปนี้
1. ปราสาทพระวิหารซึ่งรัฐบาลไทยสงวนสิทธิ์ไว้ว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศไทย จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเขมรอย่างถาวรตลอดกาลด้วยการสละสิทธิ์ของรัฐบาลหุ่นเชิด โดยประเทศไทยหมดสิทธิ์ทวงคืนตลอดไป
2. ปราสาทอีก 3 หลัง รวมทั้งทางขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงกันนั้นถูกยกให้แก่กัมพูชาไปดื้อ ๆ
3. ยกดินแดนอันเป็นพื้นที่ตั้งปราสาทพระวิหารและปราสาท 3 หลัง กับทั้งพื้นที่ทางขึ้นเป็นเนื้อที่ประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตร ให้แก่เขมร ทั้ง ๆ ที่เป็นดินแดนของประเทศไทยอย่างสมบูรณ์ และศาลโลกก็ไม่เคยตัดสินให้เป็นของเขมร
4. ตกลงให้ดินแดนของประเทศไทยในพื้นที่ข้างเคียงกับพื้นที่ตั้งปราสาทซึ่งกินพื้นที่อุทยานแห่งชาติพระวิหารเนื้อที่ประมาณ 8 ตารางกิโลเมตร เป็น “พื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา”
5. ตกลงให้เขมรมีสิทธิ์มีส่วนเท่ากับประเทศไทยในการจัดการและแสวงหาประโยชน์จากพื้นที่ประมาณ 8 ตารางกิโลเมตรของประเทศไทยได้ตลอดไป
นี่คือการขายชาติ ปล้นชาติ ปล้นอธิปไตยอย่างโจ่งแจ้งที่สุด!
แต่ข้อตกลงนี้กระทำขึ้นโดยฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ โดยการทรยศชาติ ประชาชนไทยและองค์กรต่าง ๆ ของประเทศไทยจึงมีสิทธิ์ประกาศให้ข้อตกลงเป็นโมฆะโดยแจ้งไปยังสหประชาชาติหรือยูเนสโกได้ และสามารถฟ้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี และแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวได้อีกด้วย
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของประเทศชาติ จะเป็นเหตุการณ์อัปยศเสื่อมเสียถึงพระบรมเดชานุภาพเพราะเกิดเหตุเสียดินแดนเป็นครั้งแรกในรัชกาลนี้ ทั้งจะเป็นความอัปยศอดสูของเหล่าทหารทั้งกองทัพไทยที่อาจถูกดูหมิ่นหรือถูกก่นด่าประชดให้เปลี่ยนเครื่องแบบไปนุ่งผ้าถุงหรือผ้าซิ่นของผู้หญิงแทนหากว่ายอมให้เรื่องนี้ผ่านไปแบบนี้
copy from
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000072213
การพิจารณาพิพากษาคดีเขาพระวิหาร ณ กรุงเฮก ในปี 2505/1962 คนไทยระดับชาวบ้านทราบกันแต่ว่า ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าคณะทนายฝ่ายไทย และไม่ค่อยสนใจว่าผู้เป็นหัวหน้าคณะทนายฝ่ายกัมพูชาคือ นายดีน อาชเชสัน อดีต รมต.ต่างประเทศอเมริกัน (1949-1955) สมัยประธานาธิบดีทรูแมน สมัยนั้นรัฐบาลไทยได้ประท้วงสหรัฐอเมริกา และประชาชนรวมทั้งผู้เขียนพากันเดินขบวนประท้วง รัฐบาลอเมริกันตอบว่า อาชเชสันอยู่ในฐานะทนายความอิสระและว่าจ้างโดยรัฐบาลกัมพูชา
แต่ที่ไม่มีใครทราบเป็นทางการก็คือ อาชเชสันนอกราชการมีสำนักงานทนายความคดีกฎหมายระหว่างประเทศห่างจากทำเนียบขาวไม่กี่ช่วงตึก และเป็นที่ปรึกษาประธานาธิบดีอเมริกันมาตลอด ทั้งโดยส่วนตัวและคณะ “กลุ่มปราชญ์” The Wise Men ที่เขาเป็นหัวหน้าอันประกอบด้วย ชาร์ลส์ โบห์เลน แอนเวอริล แฮริแมน จอร์จ เคนนัน โรเบิร์ต โลเวต และจอห์น แมคคลอย สองนักกฎหมาย สองนักการทูต และสองนายธนาคารซึ่งเป็นเพื่อนกันมาแต่สมัยโรงเรียนเตรียม มหาวิทยาลัยหรือวอลล์สตรีท รวมตัวกันมาตั้งแต่ปี 1945 มีส่วนร่วมในการสร้างนโยบายเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีทรูแมน เคนเนดี ถึงจอห์นสัน แม้กระทั่งนิกสันศัตรูเก่าซึ่งกลับมาเป็นมิตรก็ยังเชิญอาชเชสันมาเป็นที่ปรึกษาพิเศษ เมื่อเขาเป็นประธานาธิบดี
ดีน กูดเดอแรม อาชเชสัน Dean Gooderham Acheson (1893-1971) รัฐบุรุษอเมริกันและทนายความผ่านการศึกษาจากกรอตัน สกูล มหาวิทยาลัยเยล และฮาร์วาร์ด ลอว์ สกูล เริ่มต้นฝึกงานเป็นเสมียนศาลสูงสหรัฐฯ ทำงานในสำนักงานกฎหมาย Covington and Burling อันมีชื่อในคดีกฎหมายระหว่างประเทศก่อนที่ประธานาธิบดีแฟรงคลิน โรสเวลท์ จะแต่งตั้งให้เขาเป็นเลขานุการกระทรวงการคลังในปี 1933 ในปี 1940 เขาย้ายมาเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการต่างประเทศ และเป็นผู้แทนกระทรวงนั้นอันมีบทบาทสำคัญใน Bretton Woods Conference อันเป็นบ่อเกิดของ IMF World Bank และ WTO
ในเวลาต่อมาในปี 1945 ประธานาธิบดีทรูแมนเลือกอาชเชสันเป็นเลขานุการกระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้ รมต.สเตรททิเนียส เบิร์นส์ และมาร์แชล ซึ่งมักเดินทางต่างประเทศอยู่เสมอ ทำให้เขาได้ใกล้ชิดประธานาธิบดีและเป็นผู้ร่างนโยบาย และเขียนคำร้องขอของประธานาธิบดีต่อสภาคองเกรสให้ช่วยเหลือกรีซ และเตอรกีอันเป็นปาฐกถาที่เรียกกันว่า Truman Doctrine อาชเชสันเป็นผู้ออกแบบโครงการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ยุโรปที่รู้จักกันในชื่อ Marshall Plan ในแผนสงครามเย็นสกัดกั้นการขยายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์โซเวียตในยุโรป ในปี 1949 อาชเชสันได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้สร้างกรอบนโยบายสกัดกั้นคอมมิวนิสต์ Containment Policy เป็นตัวสำคัญในการก่อกำเนิดองค์การพันธมิตรทางทหาร NATO กับยุโรป และเป็นผู้ชักนำประธานาธิบดีทรูแมนให้ส่งที่ปรึกษา และความช่วยเหลือไปให้กองทหารฝรั่งเศสในสงครามเวียดนาม
แต่ชัยชนะของจีนคอมมิวนิสต์บนแผ่นดินใหญ่ในปี 1949 นั่นเอง ทำให้อาชเชสันถูกโจมตีในนโยบายสกัดกั้นอันดูไร้ผลของเขาจนสมาชิกสภาผู้แทนสังกัดพรรครีพับลิกันทั้งหมดลงคะแนนให้ถอดเขาออกจากตำแหน่งในปี 1950 หลังเลือกตั้งปี 1952 ในสมัยประธานาธิบดีไอเซนฮาว์ อาชเชสัน เป็นหัวหน้ากลุ่มนโยบายของพรรคเดโมแครตซึ่งมีอิทธิพลต่อนโยบายสหรัฐฯ สมัยประธานาธิบดีเคนเนดีและจอห์นสันต่อมา สมัยวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาประธานาธิบดีเคนเนดีส่งเขาไปเจรจาส่วนตัวกับนายพลเดอโกวด์ ให้สนับสนุนการล้อมกรอบ (Blockde) คิวบา ตลอดทศวรรษ 1960 ต่อมาเขาเป็นสมาชิกระดับหัวหน้าผู้ก่อตั้งกลุ่มผู้เกษียณราชการอาวุโสที่เรียกว่า The Wise Men ซึ่งสนับสนุนสงครามเวียดนามมาแต่แรก ต่อมาอาชเชสันได้หันมาดีกับนิกสัน และกลายเป็นที่ปรึกษาพิเศษ เมื่อฝ่ายหลังได้เป็นประธานาธิบดีในปี 1970 อาชเชสันได้รับรางวัลพูลิเซอร์สำหรับบันทึกความทรงจำการทำงานในกระทรวงการต่างประเทศของเขาชื่อ Present of the Creation : My Years in The State Department ก่อนที่จะถึงอนิจกรรมในปี 1971
เมื่อเห็นประวัติผลงานหลากหลายอันทรงอิทธิพลในเวทีโลกโดยเฉพาะยุโรปแล้ว ใครก็ต้องหนาวเมื่ออาชเชสันกลายมาเป็นทนายว่าความให้กัมพูชาในคดีเขาพระวิหาร และไม่แปลกที่เขาจะชี้ว่านกก็จะต้องเป็นนก ว่าไม้ก็ต้องเป็นไม้ ดังนั้นคะแนนผู้พิพากษาส่วนใหญ่ซึ่งเป็นสหรัฐฯ และประเทศในยุโรปจะเทให้กัมพูชาเป็นฝ่ายชนะ ไปไงมาไงถึงได้มาเป็นทนายว่าความให้กัมพูชาในปี 1962 เป็นเรื่องทำศึกษาอย่างยิ่ง ในปี 1964 เขาได้รับรางวัลเหรียญประธานาธิบดี Presiaential Medal for Freedom และต่อมาประธานาธิบดีนิกสันได้ประกาศขยายสงครามเวียดนามเข้าไปในกัมพูชาเป็นทางการในปี 1969
ดีน อาชเชสัน ผู้นี้ว่าเป็นรัฐบุรุษอเมริกันผู้สามารถอย่างยิ่งแล้ว แต่ผู้ที่สามารถกว่าคือ เจ้าสีหนุ รัฐบุรุษประเทศเล็กๆ เช่น กัมพูชาซึ่งสามารถนำเขามาเป็นหัวหน้าคณะทนาย ทรงฉลาดแหลมคมที่ไปอาศัยศาลโลกเพื่อสร้างความชอบธรรม (Legitimacy) ในการครอบครองปราสาทเขาพระวิหารซึ่งฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมได้กำหนดโดยผิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และดึงประเทศไทยไปติดกับได้ การมาป้วนเปี้ยนในกิจการกัมพูชาได้เปลี่ยนแปลงความคิดในนโยบายสงครามเวียดนามของอาชเชสัน เจ้าสีหนุน่าจะต้องทรงมีส่วนในการเปลี่ยนเขาจากเหยี่ยวให้เป็นพิราบในสงครามเวียดนามได้ ในปี 1968 “กลุ่มปราชญ์” ของเขาได้โต้แย้งประธานาธิบดีจอห์นสันในที่ประชุมนโยบายเวียดนาม โดยมีความเห็นว่าสหรัฐฯ ไม่สามารถชนะสงครามนี้ได้ และควรก้าวถอยออกมาได้แล้ว อาชเชสันยังได้เสนอให้รัฐบาลสหรัฐฯ เจรจาสันติภาพกับเวียดนามเหนือ
เราจะมีผู้นำประเทศที่ฉลาดสุดแหลมคม และสามารถในเวทีโลกที่ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ เช่น เจ้าสีหนุบ้างไหม เราจะมีกลุ่ม “ปราชญ์” ที่แบ่งชีวิตการงานส่วนตัวให้แผ่นดิน โดยทุ่มเทกำลังมันสมองและประสบการณ์ช่วยเหลืองานรัฐบาลโดยไม่เห็นแก่พรรคการเมืองใด เช่น กลุ่ม The Wise Men ของอาชเชสันนี้บ้างไหม คนอเมริกันเห็นว่างานนี้เป็นเอกลักษณ์อเมริกันไม่เหมือนใครประเทศไหน คนไทยชอบตามก้นฝรั่งเอาอย่างเมืองนอกน่าจะตามเขาบ้างในเรื่องนี้ ที่เห็นมีก็คงจะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีอานันท์ ปันยารชุน ผู้ช่วยเป็นพี่เลี้ยงด้านการต่างประเทศให้กับรัฐบาลต่อๆ มา
เจ้าสีหนุน่าจะทรงเล็งประโยชน์ด้านยุทธศาสตร์ของปราสาทเขาพระวิหารด้วย ในสงครามกลางเมืองกัมพูชาปี 1970 ปราสาทบนหน้าผากลายเป็นที่ตั้งกองทหารฝ่ายรัฐบาลลอนนอล และเป็นที่มั่นสุดท้ายในปี 1975 เมื่อเขมรแดงซึ่งยึดพนมเปญได้แล้วตามเข้ามาโจมตียิงระเบิดหน้าผา และกวาดล้างฝ่ายลอนนอลจนสำเร็จในที่สุด ในปี 1978 เมื่อกองทหารเวียดนามบุกเข้ามาล้มรัฐบาลเขมรแดง ฝ่ายหลังก็ถอยร่นมาชายแดนไทย และยึดปราสาทเขาพระวิหารเป็นที่มั่นอีกเช่นกัน จนกระทั่งเวียดนามเข้ายึดปราสาทได้ในที่สุด
รัฐบาลไทยปัจจุบันซึ่งมี รมต.ต่างประเทศนักกฎหมายผู้สามารถในการเจรจากับต่างประเทศ และคณะมนตรีความมั่นคงอยู่กำลังพิจารณาแผนที่ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาเสนอมา คงจะได้ตระหนักในจุดนี้ด้วย ในยามสงบปราสาทเขาพระวิหารเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับมรดกโลกก็จริงอยู่ แต่ในยามสงครามสถานที่นี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ฝรั่งเศสถึงได้ชิงเอาเปรียบเฉือนไป เช่นเดียวกับการครอบครองเกาะทุกเกาะในแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นเขตแดนระหว่างประเทศ กรณีฝั่งขวาแม่น้ำโขงที่แขวงไชยบุรีซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์หัวหอกในการเข้าภาคอีสาน และกรณีฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงที่แขวงจำปาสักซึ่งเป็นยุทธศาสตร์เส้นทางเดินทัพไปมาระหว่างเขมรและญวนแต่โบราณ
อ้างอิง : วิกิพีเดียในเรื่อง Prasat Preah Vihear, Dean Acheson และ The Wise Men
“ใครที่ไม่รักชาติและจะไม่สามารถรักอะไรได้เลย” เป็นวลีอมตะของ ลอร์ด จอร์จ โนเอล กอร์ดอน ไบรอน (Lord Gorge Noel Gordon Byron)1788-1824 กวีผู้ยิ่งใหญ่ชาวอังกฤษที่เขียนไว้เพื่อเตือนใจคนอังกฤษและชาติใดชาติหนึ่งย่อมต้องรักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งแผ่นดินไว้ให้ได้ การสูญเสียแผ่นดินสามารถแบ่งได้เป็น 4 ลักษณะ คือ ถูกรุกรานและยึดครองด้วยอำนาจการเมืองและการทหาร เช่น ปาเลสไตน์ หรืออิรัก ถูกภัยธรรมชาติทำลาย เช่น ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหวแผ่นดินทรุดตัวในทะเล หรือเกิดโรคระบาด ซึ่งเกิดขึ้นนานมาแล้ว หรือถูกซื้อไป เช่น รัสเซีย ขายแผ่นดินอาลาสกาให้กับสหรัฐฯ โดยไม่รู้ว่าใต้แผ่นดินแผ่นน้ำนั้นเต็มไปด้วยทรัพยากรอันมีค่า เช่น ทองและน้ำมัน ในวันที่ 30 มีนาคม 1867 เมื่อ 141 ปีที่แล้ว โดยนายวิลเลียม เฮช สจวด รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซื้อในราคา7.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการยินยอมกันระหว่างสองประเทศ จึงไม่เกิดปัญหาอะไรทั้งสิ้น
และประเภทสุดท้าย ได้แก่ การที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ศาลโลก หรืออนุญาโตตุลาการที่ประเทศคู่กรณียอมรับคำพิพากษาให้ครอบครองดินแดนที่เป็นข้อขัดแย้งกัน แต่ก็ย่อมมีความแคลงใจกันอยู่ดี เช่น กรณีเขาปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกตัดสินคดีความระหว่างกัมพูชากับไทย ในวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ.1962 หรือ พ.ศ. 2505 ให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา โดยมีผู้พิพากษา 15 คน ตัดสินให้กัมพูชาชนะคดีฟ้องไทย 9 เสียง ได้แก่ ผู้พิพากษา โบดาน วินิอาสกี ปรานศาลโลกชาวโปแลนด์ ผู้พิพากษา ริคาโด อาลฟาโล รองประธานศาลโลกชาวปานามา และผู้พิพากษาตัวแทนจากประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ สหราชอาณาจักร รัสเซีย ญี่ปุ่น เปรู และอิตาลี ส่วนผู้พิพากษาที่ตัดสินให้ไทยชนะ ได้แก่ ผู้พิพากษาตัวแทนจากประเทศอาร์เจนตินา ออสเตรเลีย จีน และไต้หวัน
เพราะขณะนั้นสหประชาชาติยังไม่ได้รับรองสาธารณรัฐประชาชนจีน และมีผู้พิพากษา 3 คน ที่งดออกเสียงเพราะป่วยเป็นตัวแทนจากกรีซ เม็กซิโก และผู้พิพากษาฟิลิป เจ เจสซัป ศาลโลก หรือ World Court of Justice หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ International Court of Justice มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้รับการสถาปนาขึ้นในวันที่ 10 มกราคม ค.ศ.1920 และปัจจุบันมีอายุได้ 88 ปีแล้ว มีหน้าที่วินิจฉัยคดีทางกฎหมายระหว่างประเทศหรือชาติๆ โดยมีเงื่อนไขสำคัญว่า บุคคลธรรมดาเสนอต่อศาลโลกไม่ได้ ชาติทั้งหลายจะขึ้นศาลโลกต้องได้รับความยินยอมของชาตินั้นๆ และที่สำคัญยิ่ง คำพิพากษาของศาลโลกถือว่าสิ้นสุด
ศาลโลกมีผู้พิพากษา 15 คน มีการเลือกตั้ง มีวาระคราวละ 9 ปี และการพิพากษาคดีจะต้องมีองค์คณะครบ 9 คน ศาลโลกจะเลือกประธานศาลและรองประธานศาลเอง ส่วนศาลจะนั่งพิพากษาที่อื่นนอกจากกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ก็ได้
คดีปราสาทพระวิหารซึ่งตัวปราสาทและแผ่นดินทั้งเขาเป็นของไทยมาแต่โบราณ แต่ประเทศกัมพูชาได้ฟ้องต่อศาลโลกพิจารณาให้ไทยถอนทหารออกจากปราสาทพระวิหาร และอำนาจอธิปไตยแห่งดินแดนเหนือปราสาทพระวิหารเป็นของราชอาณาจักรกัมพูชา ขณะที่ไทยในคำให้การแก้ฟ้องว่าข้อเรียกร้องของราชอาณาจักรกัมพูชาตามที่ระบุในคำร้องเริ่มคดีและในคำฟ้องนั้นไม่มีเหตุผลจะรับฟังได้ และควรที่จะยกเสีย และพระวิหารอยู่ในอาณาเขตไทยและขอร้องต่อศาลด้วยความเคารพให้พิพากษาและชี้ขาด
ดังนั้น ศาลโลกรับฟ้องในวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ.1961 โดยฝ่ายไทยมีคณะกฎหมายและเทคนิคทางแผนที่รวม 13 คน นำโดย ม.จ.วงษ์มหิป ชยางกูล เอกอัครราชทูตประจำประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นตัวแทน และม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เนติบัณฑิตเป็นหัวหน้าทนายความพร้อมด้วยผู้ชำนาญทางกฎหมายจากต่างประเทศ เช่น อังกฤษ สหรัฐฯ และมีพลโทบุศรินทร์ ภักดีกุล เจ้ากรมแผนที่ทหาร กระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าฝ่ายเทคนิคแผนที่
โดยสรุปไทยเสียเปรียบจากสัญญาแบ่งดินแดนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสผู้ครอบครองอาณาจักรกัมพูชาอันเป็นส่วนหนึ่งของฝรั่งเศส-อินโดจีน ใน ค.ศ. 1904-1908 หรือ ร.ศ.112 ในรัชสมัยพระปิยมหาราช ขณะที่ไทยใช้หลักความจริงทางภูมิศาสตร์โดยยึดถือหลักสันเขาปันน้ำ แต่ฝรั่งเศสเป็นคนเขียนแผนที่เองเพราะไทยขาดผู้เชี่ยวชาญ และการปักปันเขตแล้วมาลงในมาตราส่วนในแผนที่ไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการตรวจสอบความผิดพลาดได้เลย ซึ่งแผนที่นี้และคณะกรรมการผสม ค.ศ. 1904 ของไทยไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำแผนที่
ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ทางขึ้นปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตไทย แต่ขณะผู้พิพากษาศาลโลกตัดสินว่า ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชาด้วยคะแนน 9 ต่อ 3 และประเทศไทยต้องถอนทหารหรือตำรวจที่ถูกส่งไปประจำปราสาทพระวิหาร หรือในบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา และมีมติคะแนน 7 ต่อ 5 ให้ไทยต้องคืนบรรดาวัตถุสิ่งก่อสร้าง ศิลปวัตถุที่ระบุไว้ในคำร้องคืนแก่กัมพูชา จึงเป็นอันว่าไทยต้องสูญเสียยอดเขาอันเป็นเป็นที่ตั้งปราสาทวิหารตั้งแต่ พ.ศ. 2505 แต่เขาปราสาทพระวิหารก็ถูกลืมไปจากความสนใจของคนทั่วไปในยุคสงครามเวียดนาม และสงครามกลางเมืองเขมร เมื่อเขมรดงยึดครองกัมพูชาจนสงครามเวียดนามและเขมรแดงถูกทำลายลง จึงเริ่มมีการปรับปรุงทางขึ้น และมีคนเริ่มสนใจโดยเฉพาะอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารครอบคลุมพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดศรีษะเกษ เนื้อที่ประมาณ 81,250 ไร่ รวมถึงตัวเขาพระวิหารด้วย แต่เมื่อปลาย พ.ศ. 2541 และ 2546 กัมพูชาก็ได้ตัดถนนเข้าไปถึงตัวปราสาทพระวิหารโดยไม่ผ่านเขตไทย
มาบัดนี้เขมรกำลังใช้เล่ห์กลที่จะอาศัยอำนาจสังคมโลกถึงตัวปราสาทพระวิหารโดยจะให้ขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกให้ได้ ด้วยการพยายามเชิญชวนประเทศต่างๆ ร่วมให้ความเห็นชอบและมีการเสริมสร้างหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เกินจากหลักฐานในศาลโลกเมื่อ พ.ศ. 2505 และมีการตั้งหน่วยงานราชการกัมพูชาในพื้นที่ที่ไม่อยู่ในคำตัดสิน พ.ศ. 2505 จึงเป็นการล้ำแดน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ ได้ทำการประท้วงไปแล้วว่าด้วยการละเมิดอธิปไตยของไทยตามบันทึกความเข้าใจ ไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2543 และแผนที่ที่เขมรยื่นให้ UNESCO มีการเขียนแผนที่ล้ำเขตไทยอย่างน้อย 2 จุด ตามแหล่งข่าวของกองบัญชาการทหารสูงสุด
ประเด็นที่คนไทยต้องได้รับข้อมูลอย่างชัดเจนจากกระทรวงการต่างประเทศ ได้แก่ การเปรียบเทียบพื้นที่ที่ศาลโลกตัดสินไปแล้ว เมื่อ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 กับแผ่นที่ที่เขมรใช้ส่ง UNESCO ต้องชี้แจงและอธิบายข้อสรุปถึงคำพิพากษา ต้องอธิบายข้อความในบันทึกช่วยความจำ (Aide-Memoire) ประท้วงเรื่องกัมพูชาละเมิดอธิปไตย และละเมิดบันทึกความเข้าใจ-กัมพูชา พ.ศ. 2543 ในพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารโดยแสดงเอกสารการประท้วงทุกฉบับอย่างละเอียดและโดยเร็ว
ดังนั้น ข้อยุติวิกฤตปราสาทพระวิหาร 2551 จะต้องจบลงที่คำพิพากษาของศาลโลกเท่านั้น กรณีปราสาทพระวิหารและไทยได้ถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกศาลโลก
เพื่อให้คนไทยเข้าใจเกี่ยวกับ UNESCO หรือ United Nations Educational โดยเฉพาะเรื่องมรดกโลก หรือ World Heritage นั้น เป็นเรื่องความสมัครใจของสมาชิก UN เท่านั้น มิได้หมายความว่า ประเทศใดประเทศหนึ่งไม่ให้ความร่วมมือแล้วถือเป็นการขัดต่อนโยบาย UN
UNESCO สถาปนาหลักการมรดกโลกใน พ.ศ. 2515 โดยคัดเลือกจากสถานที่ เช่น ป่าไม้ ภูเขา ทะเลสาบ ทะเลทราย อนุสาวรีย์ สิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมถึงเมือง ให้เป็นมรดกโลกเพื่อบ่งบอกถึงคุณค่าของสิ่งที่มนุษยชาติหรือธรรมชาติได้สร้างขึ้นมา และควรจะปกป้องสิ่งเหล่านั้น โดยหวังให้ตกทอดไปถึงอนาคตเพื่ออนุชนรุ่นหลังจะได้ชื่นชม ศึกษา และเก็บรักษาต่อไป
มรดกโลกมีหลักเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นเพิ่มเติมใน พ.ศ. 2548 เป็นเชิงวัฒนธรรม 6 หลักเกณฑ์ และเชิงธรรมชาติ 4 หลักเกณฑ์ ซึ่งในการนี้ ประเทศไทยมีมรดกโลก 5 แห่ง แบ่งเป็นเชิงวัฒนธรรม 3 แห่ง ได้แก่ บ้านเชียง สุโขทัย และอยุธยา เป็นเชิงธรรมชาติ 2 แห่ง ได้แก่ ห้วยขาแข้งและดงพญาเย็น หรือป่าเขาใหญ่ ขณะที่เขมรมีแห่งเดียว คือ นครวัด และปัจจุบันมีมรดกโลก 830 แห่งใน 138 ประเทศ และสเปน เป็นประเทศที่มีมรดกโลกมากที่สุด 40 แห่ง
นครเยรูซาเล็ม ดินแดนอาถรรพ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก สร้างโดยกษัตริย์โซโลมอน โอรสของกษัตริย์เดวิดแห่งชาวยิว เมื่อ 965 ปี ก่อนคริสต์กาล เป็นแหล่งกำเนิดความเชื่อ เป็นเมืองที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก ยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งความทารุณโหดร้าย แห่งสงคราม และการหลั่งเลือดมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะสงครามครูเสด ทั้งๆ ที่คำว่า “ซาเล็ม” หรือ Salem ตามภาษาฮิบรู แปลว่า “สันติ” และมีความผูกพันกัน 3 ศาสนา ยิว คริสเตียน และอิสลาม โดยมุสลิมเชื่อว่า องค์พระนามี เสด็จสู่สวรรค์ที่เมืองนี้ แต่นครเยรูซาเล็ม ไม่ได้เป็นมรดกโลกเพระมีการแย่งชิงกันระหว่างอิสราเอลกับจอร์แดน
การที่ได้เป็นมรดกโลกนั้นก็เท่ากับเป็นสมบัติของโลกด้วย ซึ่งสมาชิกจะรับการปกป้อง ดูแล รักษา โดยประเทศเจ้าของได้รับทุนทำนุบำรุง แต่ต้องได้รับความยินยอมของประเทศที่เกี่ยวข้อง และจะต้องมีการโน้มน้าวให้คู่ประเทศตั้งทวิภาคีแบบทัดเทียม เสมอภาค ยุติธรรมในเรื่องผลประโยชน์ และการบำรุงรักษาตามมาตรฐาน UNESCO
ตั้งแต่เริ่มกรณีมรดกโลกของปราสาทพระวิหาร เขมรไม่เคยหยิบยกเรื่องนี้เพื่อสร้างความเสมอภาคและขาดจริงใจในการปฏิสังขรณ์มาตั้งแต่เป็นเจ้าของเพราะสงครามกลางเมือง
อยากจะสรุปว่า เรื่องมรดกโลกไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่คนไทยจะต้องไปวิตก เพราะ UNESCO จะต้องถามอยู่ดีว่า คนไทยคิดอย่างไร คนไทยได้อะไร คนไทยมีส่วนรวมอะไร เพราะเขมรเป็นเจ้าของเฉพาะปราสาทวิหารเท่านั้น แต่ปริมณฑลทั้งหมดยังเป็นของคนไทย ทางขึ้นที่สะดวกก็ยังของคนไทย และมาตรฐานการบริหารจัดการในปัจจุบันนี้บนองค์ปราสาทพระวิหารมีลักษณะเป็นอย่างไร UNESCO รู้ดี คนไทยไม่ต้องไปเต้นอะไรกับเส้นตายการประชุมปีละครั้งในเดือนกรกฎาคม ของ UNESCO เพราะมีใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรของไทย อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็ยังคงเป็นปกติ ไม่ว่าปราสาทพระวิหารจะเป็นมรดกโลกหรือไม่ก็ตาม และเขมรได้เฉพาะปราสาทวิหารตามคำพิพากษาเท่านั้น หากกระทำเป็นอย่างอื่น เช่นรุกล้ำดินแดนก็ผิดรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับที่เคยมีมา และไทยมีสิทธิที่จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งสมควรตามหลักรัฐศาสตร์และการทหาร เพราะเคยทำกันมาแล้วในยุคเขมรแดงเรื่องอำนาจ.
copy
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000072362
เชื่อถือได้แค่ไหน???
กรณีพิพาทเขาพระวิหาร.
ขณะที่กัมพูชาเริ่มเรียกร้องให้เขาพระวิหารเป็นส่วนหนึ่งของกัมพูชา อย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2501 วันที่6 ตุลาคม พ.ศ.2502 รัฐบาลกัมพูชายื่นฟ้องต่อศาลโลก ให้ชี้ขาดว่าอธิปไตยเหนือเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา กระทั่งเมื่อวันที่15 มิถุนายน พ.ศ.2505 ศาลโลกตัดสินว่า ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนดินแดนภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา
เป็นไปตามแผนที่ ซึ่งฝรั่งเศสทำขึ้นตามสนธิสัญญา 2447 และ 2450
กระนั้นเนื่องจากทางขึ้นฝั่งกัมพูชาซึ่งเรียกว่า "ช่องบันไดหัก" คับแคบ และสูงชันอันตรายอย่างยิ่ง ไทยจึงยื่นข้อเสนอให้มีการใช้พื้นที่ร่วมกัน โดยเปิดพื้นที่ให้มีทางขึ้นในฝั่งไทย แต่ทางเข้าเขาพระวิหารก็เปิดสลับ กับปิดเรื่อยมาขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศ เมื่อปีพ.ศ.2547 มีมติร่วม ครม. ไทย-กัมพูชา เห็นชอบให้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่
เขาพระวิหารเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน
ทั้งนี้ยังกำหนดให้มีการดำเนินการเสนอเขาพระวิหารเป็น "มรดกโลกร่วมกัน อีกด้วย
ทว่าเมื่อเดือนมกราคมพ.ศ.2549 กัมพูชาได้ยื่นข้อเสนอขอขึ้นทะเบียน ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยไม่มีการหารือกับไทยและไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า โดยใช้ที่ตั้งแผนผังปราสาท และเขตอนุรักษ์ (บางส่วน) รุกล้ำเข้ามาในเขตไทย วันที่15 มิถุนายน พ.ศ.2550
การพิจารณาออกไปก่อนเพื่อหารือกับกัมพูชาอีกครั้ง วันที่27 มิถุนายน พ.ศ.2550 ดับเบิลยูเอชซีเห็นชอบให้มี การพิจารณาคำขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารอีกครั้งหนึ่ง ในการประชุมดับเบิลยูเอชซี ครั้งที่32 ซึ่งจะจัดให้มีขึ้นที่เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา ในกลางปี พ.ศ.2551
เขาพระวิหารเป็นโบราณสถานขนาดใหญ่ เป็นหลักฐานบ่งบอกถึงอารยธรรมโบราณ
เคยอยู่ในความปกครองดูแลของไทยขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2483
ต่อมาในวันที่ 15กรกฎาคม 2505 ศาลโลกได้พิพากษาให้เขาพระวิหารตกไปอยู่
ในความปกครองดูแลของประเทศกัมพูชาจนถึงปัจจุบัน
เขาพระ วิหาร อยู่บนเทือกเขาพนมดงรัก หรือที่ชาวเขมรออกเสียงว่าดงแร็ก
เป็นแนวเส้นกั้นเขตแดนไทย-กัมพูชาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ลักษณะภูมิประเทศ
แบ่งเป็น2บริเวณคือบริเวณที่ราบสูงที่เรียกว่า" ที่ราบสูงโคราช "อยู่ทาง
ซีกเหนือลำนํ้าต่างๆไหลลงมาจากเทือกเขาเรื่อยลงไปทางเหนือแล้วมารวม
กันเป็นลำนํ้าสายใหญ่คือลำนํ้ามูลแล้วไหลลงสู่ลำนํ้าโขงทางด้านตะวันออก
ส่วนสูงสุดของยอดเขานี้อยู่ทางด้านใต้ สูงกว่าระดับนํ้าทะเล657เมตร
ส่วนบริเวณที่ราบตํ่าอยู่ทางซีกใต้ของเทือกเขาเรียกว่า"ที่ราบเขมรตํ่า"ลาด
ตํ่าลงสุดทางด้านเหนือสูงกว่าระดับนํ้าทะเล 535 เมตร
ตัวปราสาทสร้างด้วยศิลาทรายซึ่งสกัดจากบริเวณเทือกเขานี้บางส่วนยังเห็น
ร่องรอยที่พวกขอมสกัดหินไปใช้ก่อสร้างเช่นที่บริเวณขอบสระตราวและใกล้
กับบริเวณผามออีแดง วัตถุอื่นที่ใช้ในการก่อสร้างคืออิฐเผาและดิน
เหนียวคล้ายหินสีค่อนข้างเขียวเรียกไดทะมะป้วก (ดินโคลนที่เหนียว)
จุดสูงสุดของผานี้เรียกว่าเป้ยตาดีลงสู่พื้นที่ราบเชิงเขาในอาณาเขตประเทศ
กัมพูชาสูงประมาณ547เมตรก่อนคำตัดสินของศาลโลกให้พระวิหารอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา
ปราสาทเขาพระวิหารเคยอยู่ในอธิปไตยของไทย
ขึ้นอยู่กับท้องที่บ้านภูมิซรอลตำบลบึงมะลูอำเภอกันทรลักษ์จังหวัดศรีสะเกษ
จากเป้ยตาดี มองเห็นเขาลูกแล้วลูกเล่าสลับกันไปมาจรดฟ้าสุดกู่ ตรงเบื้องล่าง
นั้นคือเจียมกะสาน(ชำปลาก้าง)จังหวัดกำปงทมไกลโพ้นสุดขอบฟ้า
ทางใต้คือพนมกุเลนเมืองพระนครและทะเลสาบเขมรหรือบริเวณเขมรตํ่า
ถ้าแหงนหน้ามองฟ้าจะเห็นเสมือนลอยอยู่บนท้องฟ้าทำให้เป็นที่มาแห่ง
ตำนานเล่าเรื่องวิหารสวรรค์อันงดงามราวเนรมิตขึ้น
แผนที่แสดงที่เรียกว่า เส้นเขตแดนตามแผนที่สหรัฐฯ (เส้นสีแดง) กับ เส้นเขตแดนตามแผนที่กูเกิ้ลในปัจจุบัน (เส้นสีเหลือง) ที่แสดงให้เห็นว่า กัมพูชาได้เสียดินแดนให้แก่ไทยมาอย่างต่อเนื่อง
ตลอดแนวพรมแดนเขาพนมดงรัก (Dong Rek) ใกล้กับปราสาทพระวิหาร แต่ไม่มีการระบุต้นตอของแผนที่เปรียบเทียบ ตลอดจนเทคนิคที่ใช้ในการจัดทำเพื่อเปรียบเทียบดังกล่าว
พล.ร.อ.อาร์คจองเลียว ข้าหลวงใหญ่-ผบ.กองทัพฝรั่งเศส
ในอินโดจีน บีบไทยให้ดินพระตะบองแก่กัมพูชา
ปราสาทหิน แห่งนี้เป็นสถานที่ศักสิทธิ์ของคนพื้นเมืองมาก่อน ชื่อว่า"ภวาลัย"
ภายหลังเมื่อกษัตริย์ขอม สถาปนาพระศิวะหรืออิศวรผู้เป็นใหญ่แห่งขุนเขาคือ"ศรีศิขเรศวร"
ชื่อนี้จึงหมายถึงเทวสถาน ในคติความเชื่อซึ่งนับถือพระศิวะปราสาทเขาพระวิหารหันไปทางทิศเหนือ
(ทางขึ้นจึงอยู่ในเขตประเทศไทย) ประกอบด้วยทางเดินและ อาคารเรียงกันเป็นระยะ
ตามลานหินต่างระดับรวมทั้งหมด 4 ระดับ ปรางค์ประธานอยู่ที่ชั้นบนสุด
เขาพระวิหาร..ตำนานบทเก่า แต่เราก็ยัง"เสียท่า"อยู่ร่ำไป!
บทเรียนกรณี"เขาพระวิหาร" ชี้ชัดว่า ถึงอย่างไรไทยก็ยัง "เสียท่า"อยู่ร่ำไปเมื่อต้องเล่นตามเกมของอีกฝ่าย "ปณิธาน" แนะการเจรจาและบริหารจัดการร่วมกันเป็นแนวทางแก้ปัญหา
++++
ไทยเสียดินแดนฝั่งขวา แม่น้ำโขง
1 ตกไปเป็นของฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ.๒๔๑๐ (ร.ศ.๘๖)
2 ตกไปเป็นของฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๑ (ร.ศ.๑๐๗)
3 ตกไปเป็นของฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๖ (ร.ศ.๑๑๒)
4 ตกไปเป็นของฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๗ (ร.ศ.๑๒๓)
5 ตกไปเป็นของฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๐ (ร.ศ.๑๒๖)
เศร้า และก็เศร้าสุดๆ
copy from
http://mblog.manager.co.th/Littletiger/th-18181/
กรณีพิพาท"เขาพระวิหาร"
เกือบ50 ปี...ฝันร้ายแห่งสยาม
กรณีพิพาทเขาพระวิหารซึ่งมีพื้นที่ติดต่อระหว่าง จ.พระวิหาร ของกัมพูชา และอ.กันทรลักษ์ จ.ศีรสะเกษ เป็นตำนานแห่งความขัดแย้ง ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ซึ่งเริ่มต้นมานานหลายสิบปีแล้ว ปมความขัดแย้งในกรณีพิพาทเขาพระวิหาร
เริ่มต้นมาตั้งแต่ฝรั่งเศสเข้ามารุกรานและยึดครองพื้นที่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง
กระทั่งเกิด กรณีพิพาทอินโดจีน"และเริ่มมีการทำแผนที่เพื่อปักปันเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา
ในปีพ.ศ.2492 ฝรั่งเศสได้มีการคัดค้านอำนาจอธิปไตยของไทย เหนือเขาพระวิหารอย่างเป็นทางการ เป็นครั้งแรก
ฝ่ายไทยได้หารือกับทุกหน่วยงานราชการเพื่อทบทวนการแสดงท่าที
ครั้งสุดท้ายก่อนการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก หรือ World Heritage Committee (WHC)
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2550 ณ เมืองไครส์เชิช ประเทศนิวซีแลนด์
วันที่18 มิถุนายน พ.ศ.2550 ไทยได้ขอให้ดับเบิลยูเอชซีเลื่อน
แต่อย่างไรก็ดีจากคำยืนยันของเจ้ากระทรวงบัวแก้ว ก็ไม่อาจสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนไทยได้ เพราะแม้ในปี พ.ศ.2505 ศาลโลกจะตัดสินให้กัมพูชาชนะไทยในกรณีเขาพระวิหาร ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 แต่รัฐบาลไทยในยุคนั้นและยุคต่อๆมาต่างก็ไม่ยอมรับในคำตัดสิน ในขณะที่ความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่ในครานั้นก็มิอาจยอมรับได้และเป็นดังความคาใจที่ตกตะกอนมาจนถึงปัจจุบัน เพราะแม้ศาลโลกจะตัดสินให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา(ในเขตจังหวัดเปรียะวิเฮียรหรือพระวิหาร) แต่ต้องไม่ลืมว่าบันไดฝั่งทางขึ้นและปราสาทลูกอีกหลายหลัง ตลอดจน สระตราว บรรณาลัย สถูปคู่ ที่เกี่ยวข้องเป็นหนึ่งเดียวกับปราสาทเขาพระวิหารนั้น ตั้งอยู่ฝั่งไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ดังนั้นการที่เจ้ากระทรวงบัวแก้วออกมาแถลงข่าวว่า ยินยอมให้กัมพูชาเสนอขึ้นทะเบียนเฉพาะปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยไม่สนใจองค์ประกอบอื่นๆที่อยู่ในเขตไทย ดังที่รัฐบาลที่ผ่านมาเคยกระทำมา ไม่ว่าจะเป็นการขอเสนอให้เป็นมรดกโลกร่วมกัน จึงสร้างความเคลือบแคลงใจ สงสัย ให้เกิดขึ้นในสังคมเป็นวงกว้างถึงการตัดสินใจครั้งนี้ของเจ้ากระทรวงบัวแก้ว |
||||
แผนผลักดันปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ของประเทศกัมพูชาได้ริเริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2547 ที่คณะรัฐมนตรีไทย-กัมพูชา มีมติเห็นชอบให้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่เขาพระวิหาร เพื่อประโยชน์ด้านการท่องเที่ยว ศึกษาประวัติศาสตร์ และกำหนดให้ดำเนินการเสนอเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก กระทั่งในเดือนมิถุนายน ปี 2550 ในการประชุมยูเนสโกที่เมืองไคร์ทเชิร์ท ประเทศนิวซีแลนด์ รัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นเสนอให้เขาพระวิหารเป็นมรดกโลกเฉพาะพื้นที่ในเขตของกัมพูชาเท่านั้น เมื่อฝ่ายไทยรับทราบก็ได้ยื่นทักท้วงรัฐบาลกัมพูชา เพราะเห็นว่าควรจะเสนอให้เขาพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกัน เนื่องจากองค์ประกอบสำคัญทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ของปราสาทเขาพระวิหารส่วนใหญ่ตกอยู่ในเขตแดนไทย ซึ่งตามหลักประวัติศาสตร์ของเทวาลัยระดับโลก ต้องรวมองค์ประกอบทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน จากผลการประท้วงดังกล่าว ยูเนสโกจึงเลื่อนการพิจารณาออกไป โดยให้ 2 ประเทศ(ไทย-กัมพูชา)ไปตกลงหาข้อยุติ แล้วค่อยนำเสนอที่ประชุมในเดือนมิถุนายน 2551 แต่เมื่อใกล้ถึงเวลาไทยที่จะนำขึ้นเสนออีกครั้ง จากที่เคยทักท้วงกลับยินยอมยกให้โดยง่ายดาย ในสมัยรัฐบาล ครม. สมัคร สุนทรเวช โดยนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวว่า นี่คือผลงานชิ้นโบแดงของการเจรจาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ต้องยอมรับว่าในบรรดาปัญหาระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหาหนึ่งที่หยิบยกขึ้นมาพูดคุยเมื่อไหร่ก็เป็นอันร้อนแรงเมื่อนั้น อันดับหนึ่งต้องยกให้ ปราสาทเขาพระวิหาร ความขัดแย้งที่เป็นรอยแผลอันยากสมานของสองชนชาติเป็นเวลาเกือบ 50 ปี นับแต่การพิจารณาตัดสินของศาลโลกในปี พ.ศ. 2505 และทุกครั้งที่ปราสาทเขาพระวิหารถูกหยิบขึ้นมาพูดคุยครั้งไหนก็ร้อนแรงทุกครั้ง ปราสาทเขาพระวิหารตั้งอยู่ในพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งคำว่าพื้นที่ทับซ้อนนั้น หมายความถึง พื้นที่ซึ่งเจ้าของที่ทั้งสองประเทศมองว่าต่างคนต่างมีสิทธิ์ครอบครอง ปราสาทพระวิหารมีความสำคัญทั้งไทยและกัมพูชาเป็นปัญหาที่อ่อนไหว ปราสาทเขาพระวิหารเป็นพื้นที่ชายแดนเพียงแห่งเดียวก็ว่าได้ที่มีเรื่อง องค์ประกอบของ เขตแดน ประวัติศาสตร์ ชาตินิยม รวมกัน อีกหนึ่งขอเคลือบแคลงใจของประชาชน ที่มีต่อการตัดสินใจในการยินยอมให้ยกปราสาทเขาพระวิหารให้กัมพูชาคือเรื่องของการนำปราสาทเขาพระวิหารแลกกับผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในการทำธุรกิจที่เกาะกง และธุรกิจด้านพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยตามที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ทั่วไป ซึ่งในต้นเดือน ก.ค. 2551 ที่จะถึงนี้ ทางยูเนสโกจะมีการพิจารณาคำขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารอีกครั้งหนึ่ง ในการประชุม WHC ครั้งที่ 32 ที่จะจัดขึ้นในเมือง Quebec ประเทศแคนาดา ในเดือน ก.ค. ปีนี้ ซึ่งผลการพิจารณาจะออกมาเป็นอย่างไรคงต้องติดตามกันต่อไป |
||||
"ศาลโลกได้ตัดสินให้ตัวปราสาทเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชาไปแล้ว ส่วนเรื่องของบันไดทางขึ้นที่อยู่ทางฝั่งไทย ก็ไม่สามารถขอขึ้นทะเบียนร่วมกับกัมพูชาได้เช่นกัน เพราะจุดหลักของการขึ้นทะเบียนอยู่ที่ตัวปราสาท ดังนั้นคุณค่าก็อยู่ที่ตัวปราสาทเราจึงไม่สามารถขอจดทะเบียนร่วมในตัวบันไดได้"นี่คือคำพูดของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ในการยินยอมให้กัมพูชาดำเนินการให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว แต่หากคิดถึงหลักความเป็นจริง การที่กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แม้จะขอขึ้นเฉพาะตัวปราสาทแล้วบันไดตลอดจนทางขึ้นถึงชั้น"บันไดนาคราช"ที่ศาลโลกตัดสินให้ไทยเป็นเจ้าของเล่าจะทำอย่างไร? จริงอยู่กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทอาจมองได้ว่าเป็นสิทธิในอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาตามคำกล่าวอ้างของเจ้ากระทรวงบัวแก้ว ซึ่งเราอาจมองข้ามเรื่องโบราณสถานและองค์ประกอบอื่นที่อยู่ในฝั่งไทยได้ ซึ่งเรื่องนี้ทาง พิษณุ สุวรรณชฎ รองอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในส่วนของบันไดทางขึ้นที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตัวปราสาทเขาพระวิหารจะแยกออกจากกันได้อย่างไร ? และความเป็นมรดกโลกจะสิ้นสุดอยู่แค่ชั้นบันไดนาคอย่างนั้นหรือ? ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนออกมาจากเจ้ากระทรวงบัวแก้ว และถ้าหากตัวปราสาทเขาพระวิหารได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลก นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่ามรดกโลกแห่งนี้ไม่สวมประกอบครบถ้วนเนื่องจากขาดองค์ประกอบอีกหลายอย่างไป ไม่ว่าจะเป็น สระตราว สถูปคู่ ปราสาทโดนตวล ฯลฯ ตามที่ไทยได้เสนอให้เป็นมรดกโลกร่วมกันมาตั้งแต่ต้น ซึ่งล่าสุดแม้นายนพดลจะออกมาให้ข่าวว่าจะให้เจ้าหน้าที่เตรียมเอกสารที่เคยขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกับกัมพูชา แต่ถูกปฏิเสธมาพิจารณาใหม่ เพราะเห็นว่าควรจะขึ้นทะเบียนที่อยู่ในส่วนกรรมสิทธิ์ของประเทศไทยด้วย คือสระตราวและบันไดโดยจะเร่งเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขอให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาในการประชุมครั้งนี้ที่แคนาดาในต้นเดือน ก.ค. นี้ ซึ่งผลการพิจารณาจะออกมาเป็นอย่างไรคงต้องติดตามกันต่อไป แต่...ถึงกระนั้นหลายๆคนได้ตั้งคำถามต่อเหตุการณ์นี้ว่า แล้วทำไมนายนภดลถึงชักช้ารีรอไม่ทำการขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมตั้งแต่ต้น ผิดกับตอนที่เซ็นสัญญายินยอมที่กระทำอย่างเร่งรีบลุกลน ทำไมถึงเพิ่งมาคิดเอาตอนนี้ที่อาจสายเกินไป หรือทำไปเพื่อลดทอนกระแสการคัดค้านของสังคม และแก้เกมการอภิปรายของฝ่ายค้าน ซึ่งในเรื่องนี้ล้วนต่างเป็นพฤติกรรมที่น่าเคลือบแคลงทั้งสิ้น นอกจากนี้ในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนถาวร ก็ได้ปรากฏว่ามีการก่อสร้างรุกล้ำพื้นที่ทับซ้อนมาตลอดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544(สมัยรัฐบาลทักษิณ) เริ่มตั้งแต่มีชาวกัมพูชารุกล้ำมา สร้างวัด ที่พักอาศัย และร้านค้า ด้านตะวันตกและทางทิศเหนือของตัวปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งล้วนอยู่ในเขตแดนไทย ก็เป็นอีกหนึ่งคำถามที่ต้องครุ่นคิด ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศเองก็ได้ชี้แจ้งถึงเรื่องนี้ว่า ได้ประท้วงรัฐบาลกัมพูชา เรื่องการละเมิดบันทึกความเข้าใจหรือ เอ็มโอยู ระหว่างไทยกับกัมพูชาถึง 4 ครั้ง ต่อสร้างสิ่งก่อสร้างในพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งในบันทึกเอ็มโอยูระบุชัดเจนว่า ทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องไม่ดำเนินการใดๆ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ด้านชายแดนปราสาทเขาพระวิหาร ปัญหาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุจากการไม่ได้ปักปันแนวเขตแดนที่ชัดเจน ทำให้เกิดปัญหาการรุกล้ำแนวเขตชายแดนเรื่อยมา หากปราสาทเขาพระวิหารยกฐานะขึ้นเป็นมรดกโลกแล้ว ปัญหาเหล่านี้ก็ควรถูกจัดการไปด้วย ซึ่งหากจัดการกับปัญหานี้ไม่ได้ ก็จะยิ่งตอกย้ำถึงความไม่สมประกอบของมรดกโลกแห่งใหม่นี้ด้วยเช่นกัน |
||||
ด้าน ศ.ดร.อดุล วิเชียรเจริญ อดีตประธานคณะกรรมการมรดกโลก เปิดเผยว่า จากกรณีที่ นาย นพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปลงนามสนับสนุนให้ประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ว่า การกระทำเช่นนี้ แทบจะเป็นการปิดประตูตายให้ประเทศไทย ให้สูญเสียอธิปไตยบริเวณเขตพื้นที่อนุรักษ์รอบเขาพระวิหาร เพราะรัฐมนตรีต่างประเทศไปลงนามกับทูตกัมพูชา ก็คือ เป็นการตกลงระหว่างประเทศ ก็คือเป็นการลงนามของประเทศไทย และ ครม.รับรอง นั่นแปลว่าประเทศไทยยอมรับไปแล้ว "คณะกรรมการมรดกโลกได้เสนอมาตลอดตั้งแต่ พ.ศ.2548 ว่า จำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกคู่กับกัมพูชา เพราะการขึ้นทะเบียนนั้นแม้เขาพระวิหารจะเป็นแกนหลักของโบราณสถาน แต่ก็จำเป็นที่จะต้องมีพื้นที่การพัฒนาอนุรักษ์ ซึ่งอยู่ในฝั่งไทยด้วย"ศ.ดร.อดุลกล่าว ส่วนแนวทางการแก้ไข ศ.ดร.อดุล กล่าวอย่างหนักใจถึงมติของคณะรัฐมนตรีที่มีต่อปราสาทเขาพระวิหารว่า การเรียกร้องกลับคืนมาแทบจะเป็นไปไม่ได้ ถือว่าการลงนามของนายนพดลเป็นการกระทำในนามของประเทศไทย เว้นแต่เพียงทางเดียว คือรัฐบาลต้องขอยกเลิกสัญญาการลงนามดังกล่าว "คณะกรรมการมรดกโลกจะมีขอบข่ายเวลาให้ประเทศผู้ยื่นเรื่องได้ทำงาน อยู่ที่ประมาณ 2 ปี หรืออาจจะเร็วกว่านั้น แต่ความเป็นจริง คือ สิ่งที่กัมพูชาทำมาตลอดคือ การลอบบี้หรือการวิ่งเต้นเพื่อผลประโยชน์ของตนเองในระดับการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ในขณะที่ไทยแทบไม่ได้ทำเลย" ในเมื่อกัมพูชาเป็นเจ้าของเฉพาะตัวปราสาท แต่พื้นที่รอบนอกปราสาทเป็นพื้นที่ของแผ่นดินไทย ดังนั้น การจัดทำแผนอนุรักษ์พื้นที่โดยรอบก็ต้องรุกล้ำเข้ามาในแผ่นดินของไทยอย่างแน่นอน อีกทั้งหากขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทก็จะทำให้ขาดความสมบูรณ์ทางด้านประวัติศาสตร์ เพราะมีโบราณสถานที่เป็นองค์ประกอบของปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในฝั่งไทย ดังนั้นและคณะกรรมการจึงเสนอให้กัมพูชาจดทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกันกับไทย แต่เมื่อเสนอไปอย่างนั้นทางกัมพูชาก็ไม่ยินยอมมาเจรจากับไทยอีกเลย ซึ่งจากระยะเวลาที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศของไทยก็ยืนยันจุดยืนเช่นนี้มาโดยตลอด การที่รัฐบาลไทยยินยอมตามข้อตกลงของกัมพูชานั้น จะมีเรื่องตามมาอีกมากเพราะถึงแม้แผนที่ที่รัฐบาลตอบตกลงไปจะมีแค่เพียงตัวเขาพระวิหารที่ขึ้นเป็นมรดกโลกแต่เมื่อเขาพระวิหารได้ขึ้นเป็นมรดกโลกแล้ว จริงๆ ไทยก็ต้องเผชิญปัญหาการสูญเสียแผ่นดินเพื่อนำไปเป็นเขตอนุรักษ์พื้นที่โดยรอบของปราสาทพระวิหารอยู่ดี ศ.ดร.อดุล ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้ากระทรวงการต่างประเทศไม่รีบร้อนลงนามแบบลุกลี้ลุกลน สังคมก็คงไม่เกิดความสงสัยมายมากแบบนี้ ปีที่ผ่านมากรรมการมรดกโลกก็ยังยืนประเด็นนี้ และไทยก็เรียกร้องให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกัน เพื่อให้จัดการพื้นที่และองค์ประกอบในฝั่งไทยควบคู่กัน แต่กลายเป็นว่านายนพดล เคลียร์เรื่องนี้แบบเสียเปรียบ จึงเท่ากับเราเสียดินแดนให้กัมพูชาไปแล้ว "อนาคตหากเขาพระวิหารได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก เนื่องจากพื้นที่แนวกันชนรอบมรดกโลก หากจะทำกิจกรรมอะไรที่อาจสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดผลกระทบ ฝ่ายไทยต้องถามความเห็นชอบจากกัมพูชาด้วยซึ่งก็คือการสูญเสียอธิปไตยดีๆนี่เอง" อดีตคณะกรรมการ กล่าว การดำเนินการที่ทำให้ประเทศเสียประโยชน์อย่างมาก และการเนินการที่ยังปกปิดข้อมูลการเซ็นสัญญาร่วมไม่ได้เปิดเผยให้กับสาธารณะชนรับรู้ อันเป็นประเด็นร้อนอยู่ในขณะนี้ จึงเป็นสิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศต้องออกมาชี้แจ้งข้อเท็จจริงให้เร็วที่สุด แต่อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดต่อให้ปราสาทหินเขาพระวิหารได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลกขึ้นมาจริงๆก็คงเป็นได้แค่เพียง มรดกโลกที่ไม่สมประกอบเป็นมรดกโลกพิการที่เปรียบดังคนมีตัวแต่ขาดแขนขาเท่านั้น น่าอนิจจา... อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง "เขาพระวิหาร" บนเส้นทางความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา "เขาพระวิหาร" อีกครั้ง เป็นมรดกใคร? ก่อนไปเป็นมรดกโลก ชีวิตต้องสู้ของเด็กชายขายโปสการ์ดแห่ง "เขาพระวิหาร" ชมผามออีแดง ก่อนเที่ยวเขาพระวิหาร (ตอนที่1) ชมผามออีแดง ก่อนเที่ยวเขาพระวิหาร (ตอนที่2) เดี๋ยวเปิด เดี๋ยวปิด เรื่องปกติที่เขาพระวิหาร |