แรงสั่นไหวที่รับรู้ได้ถึงกรุงเทพฯ
เมื่อบ่ายวันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม 2008
ทำให้พนักงานออฟฟิศตามตึกระฟ้ากลางกรุงหลายแห่งต้องวิ่งหนีกันอลหม่านลงมาตั้งหลักกันนอกอาคาร
โดยไม่มีใครคาดคิดว่า นี่เป็นเพียง ‘ห่างเลข’
ของจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวที่ไกลออกไปราว 2,000 กิโลเมตร ถอยหลังไปไม่กี่อึดใจในเวลา 14.28 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ณ อำเภอเวิ่นชวน ซึ่งห่างจากนครเฉิงตู มณฑลเสฉวน ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 92 กิโลเมตร ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.8 ริกเตอร์ (ต่อมาทางการจีนได้ปรับเพิ่มเป็น 8 ริกเตอร์) นาน 80 วินาที ฉีกรอยลึก 33 กิโลเมตรจากผิวดิน และมีอาฟเตอร์ช็อก 5.0-6.0 ริกเตอร์ ตามมาอีกหลายสิบครั้ง ทางการจีนคาดการณ์ว่ายอดผู้ตายและสูญหายครั้งนี้น่าจะทะลุ 80,000 คน รวมทั้งกระทบกับชีวิตผู้คนนับ 10 ล้านคน |
||||
ทุกครั้งที่เกิดเหตุภัยพิบัติขึ้น สิ่งที่ทุกคนตั้งคำถามคือเหตุแห่งความวิปโยคที่ยังความเศร้าโศกมาให้ ต่อกรณีแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในรอบ 30 ปีของจีนนี้ นายจางกั๋วหมิน (张国民) นักวิจัยประจำศูนย์วิจัยและพยากรณ์แผ่นดินไหว สำนักงานแผ่นดินไหวแห่งชาติจีน เปิดเผยว่า ธรณีพิบัติภัยครั้งนี้มีศูนย์กลางแผ่นดินไหวระดับตื้น (shallow-focus earthquakes) ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง อีกทั้งเวิ่นชวนอยู่ในเขตรอยเลื่อนมีพลัง ‘หลงเหมินซัน’ (Longmenshan Fault / 龙门山断层) ที่มีโอกาสเกิดธรณีไหวได้ค่อนข้างสูง ด้านผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันวิจัยธรณีฟิสิกส์ แห่งบัณฑิตยสภาด้านสังคมศาสตร์แห่งชาติจีน ศาสตราจารย์หวังเอ้อชี (王二七) อธิบายสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้ว่า เกิดจากแผ่นเปลือกโลกอินเดียเคลื่อนตัวไปทางเหนือ เข้าชนกับแผ่นเปลือกโลกยูเรเชีย ซึ่งมีที่ราบสูงทิเบตอยู่ตอนใต้ ทำให้เกิดการยกตัวขึ้นแล้วขยับไปทางตะวันออก ไปกดทับแอ่งเสฉวน จนเกิดแผ่นดินไหวขึ้น และจะส่งผล |
||||
ว่ากันว่า ธรณีพิโรธจัดเป็นหนึ่งในภัยธรรมชาติที่ไม่อาจพยากรณ์ล่วงหน้าได้ กระนั้น นักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งก็เชื่อว่า ธรรมชาติและสรรพสิ่งรอบตัว มักจะส่งสัญญาณเตือนอันตรายให้เราระวังตัวเสมอ อยู่ที่เราจะสังเกตและนำมาพินิจพิเคราะห์หรือไม่ นายเกิ่งชิ่งกั๋ว (耿庆国) นักวิจัยประจำสำนักงานแผ่นดินไหวแห่งชาติจีน ผู้เคยพยากรณ์ธรณีพิโรธที่ถังซันเมื่อปี 1976 ได้อย่างแม่นยำมาแล้ว ระบุว่า ระหว่างปี 2005-2007 เสฉวนมีภาวะภัยแล้ง ซึ่งตามบันทึกที่มีมาในประวัติศาสตร์ หลังจากภัยแล้ง 1-3ปีครึ่ง จะมีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวบริเวณนั้นในระดับ 6 ริกเตอร์ขึ้นไป ตามวิทยานิพนธ์เรื่อง “ความสัมพันธ์ระหว่างภัยแล้งกับแผ่นดินไหว และการพยากรณ์ธรณีพิบัติภัยในระยะกลาง” ของนายเกิ่งชิ่งกั๋ว ที่ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์จีนเมื่อเดือนกรกฎาคม 1984 รายงานว่า ตั้งแต่ 231 ปีก่อนคริสตกาล (ปีที่ 16 ในรัชสมัยจักรพรรดิจิ๋นซี) จนถึงช่วงปี 1971-2202 บริเวณอ่าวป๋อไห่และภาคเหนือของจีน เคยเกิดแผ่นดินไหวสูงกว่า 6 ริกเตอร์ถึง 69 ครั้ง โดยก่อนเกิดเหตุ 67 ครั้ง เคยเกิดภัยแล้งล่วงหน้า คิดเป็นสัดส่วน 97.1% ในจำนวนนี้ แบ่งเป็นภัยแล้งล่วงหน้า 1 ปี 27 ครั้ง ภัยแล้งล่วงหน้า 2 ปี 15 ครั้ง ภัยแล้งล่วงหน้า 3 ปี 16 ครั้ง ภัยแล้งล่วงหน้า 3 ปีครึ่งอีก 9 ครั้ง ทั้งนี้ นายเกิ่งยังชี้ว่า ภาวะภัยแล้งถือเป็นดัชนีชี้วัดในระยะกลางและระยะยาว มักจะมีระยะห่างจากการเกิดแผ่นดินไหวในช่วง 1-3 ปีครึ่ง แต่ยังมีดัชนีชี้วัดในระยะสั้น ซึ่งประกอบด้วยความกดอากาศที่ลดลงกว่าปกติและต่อเนื่องกันหลายวัน อุณหภูมิมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นหรือลดต่ำลงอย่างมาก ปริมาณฝนตกหนาแน่นในรอบทศวรรษ รวมทั้งอาจสังเกตจากพฤติกรรมแปลกๆ ของสัตว์ อาทิ กบที่ยกคาราวานออกมา ระดับน้ำใต้ดินที่ผิดปกติ ฯลฯ มีรายงานว่า ก่อนเกิดแผ่นดินไหวไม่ถึง 3 สัปดาห์ คือเมื่อ 26 เมษายน สระน้ำขนาด 80,000 ลูกบาศก์เมตรที่เมืองเอินซือ มณฑลหูเป่ย ซึ่งห่างจากเมืองเวิ่นชวน ศูนย์กลางแผ่นดินไหวไปทางตะวันออกราว 560 กิโลเมตร เหือดแห้งไปในเวลาไม่ถึง 5 ชั่วโมง เหลือเพียงปลาขนาดใหญ่เพียง 2 ตัวไว้ก้นสระ ส่วนปลาตัวเล็กตัวน้อยล้วนหายหมด และก่อนเกิดเหตุเพียง 3 วัน ชาวบ้านพบคางคกหลายพันตัว บนถนนในเมืองเหมียนจู ที่ห่างจากเวิ่นชวนเพียง 60 กิโลเมตรและได้รับความเสียหายหนักจากเหตุธรณีพิโรธ ซึ่งชาวบ้านต่างเกรงว่าคางคกเป็นลางบอกเหตุว่ากำลังจะมีหายนะเกิดขึ้น แต่กรมป่าไม้ท้องถิ่นกลับเมินเฉย บอกเพียงว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คางคกจะอพยพย้ายที่อยู่ ต่อคำถามที่ว่าแล้วเราจะสามารถรู้ล่วงหน้าได้หรือไม่ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้น ผู้เชี่ยวชาญต่างมั่นใจว่า มนุษย์มีอุปกรณ์ที่พยากรณ์การเกิดแผ่นดินไหวได้ ทว่าปัญหาคือ ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่า จะเกิดขึ้น ณ จุดใด และเวลาใด ชะตากรรมหรือน้ำมือมนุษย์?! ภัยพิบัติครั้งนี้หากจะโยนความผิดให้ธรรมชาติเพียงอย่างเดียว คงจะเป็นการสรุปที่ง่ายเกินไป เพราะเราทุกคนต่างอาศัยและใช้ทรัพยากรบนโลกอยู่ทุกอณูลมหายใจ โลกที่นับวันจะแปรปรวนผวนผันมากขึ้น จึงมีน้ำมือมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอย่างยากที่จะปฏิเสธได้ บางคนยังถึงกับลงความเห็นว่า ธรณีพิโรธครั้งนี้ ตลอดจนภัยธรรมชาติที่กระหน่ำชะตากรรมมวลมนุษยชาติในปัจจุบัน ล้วนเป็น ‘บทลงโทษ’ จากพลังธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ นายหยางหย่ง (杨勇) นักธรณีวิทยา และนักอนุรักษนิยมชื่อดังของจีน เปิดเผยว่า การสร้างเขื่อนพลังน้ำหลายแห่งบนลำน้ำหมินเจียง (岷江) ทางตอนบนของแม่น้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง) ทำให้โครงสร้างทางธรณีวิทยาเปลี่ยนแปลงไป อันเป็นสาเหตุหลักของการเกิดธรณีไหวครั้งรุนแรงนี้ เนื่องจากลำน้ำหมินเจียงตั้งอยู่บนแนวแผ่นดินไหวของจีน “อำเภอเวิ่นชวนตั้งอยู่บนเขตกันชนระหว่างที่ราบสูงทิเบตกับแอ่งเสฉวน ขณะที่ลำน้ำหมินเจียงตั้งอยู่บนรอยเลื่อน ‘หลงเหมินซัน’ ซึ่งเป็นรอยเลื่อนที่มักเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่อยู่บ่อยครั้ง” นายหยางหย่งอธิบาย ที่น่าสลดใจ คือ ข้อมูลดังกล่าวนี้ กลุ่มนักอนุรักษ์จีนได้ส่งเสียงเตือนไปยังรัฐบาลจีนมาหลายปีก่อนหน้านี้แล้ว โดยหวังให้เกิดการทบทวนและศึกษาถึงผลกระทบของการสร้างเขื่อนพลังน้ำขนาดใหญ่ของจีนอย่างจริงจัง ทว่าทุกฝ่ายกลับนิ่งเฉยพร้อมเดินหน้าการก่อสร้างสถานีผลิตไฟฟ้าพลังน้ำต่อไป เพื่อเร่งป้อนพลังงานสำหรับการพัฒนาประเทศที่กำลังเดินเครื่องเต็มสูบ ขณะเดียวกัน การศึกษาของนักธรณีฟิสิกส์ตะวันตกยังพบว่า การละลายของธารน้ำแข็งขั้วโลก ยังมีส่วนสัมพันธ์กับการเกิดแผ่นดินไหว เช่นที่เคยปรากฏแล้วในอลาสก้าและแคนาดา ในทางกลับกัน ธารน้ำแข็งก็มีสรรพคุณในการถ่วงรั้งการเกิดแผ่นดินไหว แม้จะยังไม่มีบทพิสูจน์ว่า ‘น้ำมือ’ มนุษย์ที่ได้สร้างชะตากรรมต่อโลกในหลายรูปแบบ ทั้งปัญหาโลกร้อน จนส่งผลให้ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายในอัตราที่น่าวิตกยิ่ง หรือ การสร้างเขื่อนน้อยใหญ่ที่กระจายตัวตามแม่น้ำฉางเจียง จะเป็นต้นเหตุแห่ง 80 วินาทีพิฆาตในอีก 88 วันก่อนโอลิมปิก 8 สิงหาคม 2008 นี้หรือไม่ แต่ด้วยเพราะ “สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนอาศัยกันและกัน” สิ่งที่เกิดขึ้นจึงพิสูจน์แล้วว่า เราทุกคนล้วนตกอยู่ใน ‘เงื้อมมือ’ ชะตากรรมของธรรมชาติ! หมายเหตุ: บทความนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและศูนย์โลกสัมพันธ์ไทย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้สนใจสามารถเข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน Website: http://www.thaiworld.org |
พระอาจารย์ทางภาคเหนือรูปนั้นท่านอธิบายมานานแล้วตั้งแต่เกิดสึนามิใหม่ๆ
ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่นักวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายว่าเป็นวงรอบทุก ๑๐๐ปี
แต่ท่านอธิบายว่า เป็นเพราะเขื่อนขนาดใหญ่ที่ประเทศจีนที่สร้างไว้ เมื่อเก็บน้ำเป็นจำนวนมหาศาลก็มีน้ำหนักกดทับมากๆ และแผ่นเปลือกโลกที่จีนและไทยอยู่นั้นก็เป็นแผ่นเปลือกโลกใหญ่แผ่นเดียวกัน
ก็เป็นเหมือนกับคานงัด เมื่อมีการสั่งสมแรงอันเกิดจากน้ำหนักกดทับจากน้ำในเขื่อนที่อภิมหาใหญ่ที่จีนมากเข้าๆ
ก็เป็นเหมือนกับมีแรงคอยงัดขยับเปลือกโลกแผ่นนี้เรื่อยๆ จนเมื่อแรงมากพอก็ทำให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ครั้งที่เกิดสึนามินั้นเอง
และท่านก็ยังยืนยันว่าจะเกิดแผ่นดินไหวบ่อยๆ และมีอีกเรื่อยๆ และจะรุนแรงขึ้น แล้วก็เป็นจริงอย่างท่านว่า
สำหรับกรณีล่าสุดนี้ ท่านก็ยืนยันว่าเป็นเหตุผลเดิมนั่นเอง และก็ยังอธิบายไว้ล่วงหน้าว่า ไม่ใช่อาฟเตอร์ช๊อค มันเป็นภาวะที่ไหวอีกเรื่อยๆ เพราะเนื่องจากน้ำในเขื่อนที่กดทับนี่แหล่ะ และจะอันตรายมากถ้าหากน้ำที่กดทับมากๆ นี้เกิดรั่วไหลทะลักผ่านชั้นหินไปถึงชั้นที่มีหินร้อนอยู่ข้างใต้
ก็จะเกิดปฏิกิริยาที่ก็ให้เกิดการกระเพื่อมของแผ่นดินเรื่อยๆ
จึงทำให้ท่านยืนยันว่า ไม่ใช่อาฟเตอร์ช๊อค จะไหวอีกเรื่อยๆ และไม่เบาลง
รวมทั้งกรุงเทพฯ ก็มีความเสี่ยงสูง เมื่อถึงเวลาต้องย้ายหนีจากกรุงเทพฯ พวกที่ยังไม่ถึงฆาต หรือยังไม่มีเหตุปัจจัยที่จะต้องประสบภัยร้ายแรง ก็จะมีเหตุภัยร้ายบางอย่างเป็นสิ่งบอกเหตุบีบบังคับให้ต้องขยัยขยายย้ายไปอยู่ที่จังหวัดอื่นที่อยู่สูงขึ้น
ก็สุดแล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคนที่สร้างสมกันไว้ก็แล้วกัน
เรื่องนี้ควรเป็นไปในลักษณะให้เกิดแนวคิดที่จะนำไปสู่การพิจารณาค้นคว้าศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อการพิสูจน์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ต่อไป ก็จะเป็นกลางและเหมาะสม
นอกนั้น คงเป็นลักษณะอุทาหรณ์สอนใจ เตือนให้มนุษย์เราไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต
และมีความระมัดระวังต่อพฤติกรรมการกระทำที่จะย้อนให้ผลร้ายกลับมาได้
หายนะยังรออยู่ข้างหน้าอีกเยอะ มิใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้น!!!
จงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
"ในหลวง"ทรงเตือนคนไทย-รับภัยพิบัติ
ในหลวงทรงมีพระราชดำรัสแสดงความเป็นห่วงเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทรงให้เตรียมพร้อม ประเทศไทยอาจเกิดแผ่นดินไหวได้ เป็นสิ่งที่น่ากลัว ให้เตรียมตัวเตรียมใจรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งทรงเล่าเคยประสบมาแล้วที่เชียงใหม่ ทรงแนะนำให้ฟังผู้วชาญถึงวิธีการรับมือ นอกจากแผ่นดินไหวแล้วก็ยังมีภัยน้ำท่วม และภัยจากพายุ
เมื่อเวลา 16.57 น. วันที่ 27 พ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลง ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ นำคณะเอกอัครราชทูต และกงสุลใหญ่ไทยที่ปฏิบัติราชการอยู่ในต่างประเทศ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับพระราชทานพระบรมราโชวาท ในโอกาสที่กระทรวงการต่างประเทศ จัดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทยประจำปี 2551
ความสำคัญตอนหนึ่งว่า
....อย่างแผ่นดินไหวทางประเทศที่จะมีแผ่นดินไหวก็มีหลายแห่ง โดยเฉพาะเขตแดนใกล้พม่านี้ก็มี มีแผ่นดินไหว แล้วเขาก็ถามว่าอยากไปอยู่ที่ไหนที่ไม่ค่อยมี เขาก็บอกว่า แถวภาคอีสานมีน้อย แต่ภาคอีสานก็มี แผ่นดินไหวมีทุกแห่งในโลกนี้ ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมกาย เตรียมใจว่าในประเทศไทยก็อาจจะมีทุกเมื่อ แผ่นดินไหว หรืออะไรที่น่ากลัว"....
เย็นวันจันทร์ที่ 27 พค ขณะเดินทางกลับจากสมุทรปราการขณะขึ้นทางด่วน
ได้สังเกตุเห็นสีแปลกประหลาดบนท้องฟ้า
มีสีรุ้ง กระจายอยู่ 7-8 กลุ่ม เป็นท้องฟ้าที่มีสีแปลกประหลาดไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต จึงเรียนถามพระอาจารย์ ท่านบอกว่า
พระในภาคเหนือท่านเคยเตือนไว้ว่า หากสังเกตุเห็นท้องฟ้ามีสีแปลกประหลาด พร้อมมีเมฆรูปร่างเป็นสัตว์ต่างๆ เช่นมังกร ให้ระวังภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น
หลังจากฟังท่านอธิบาย เราก็สังเกตุเห็นเมฆประหลาดเช่นนั้นจริง พยายามหากล้องเพื่อที่จะบันทึกภาพที่ปรากฏบนท้องฟ้า
ได้เพียงกล้องมือถือที่ความละเอียดต่ำมาก
หลังจากนั้นผ่านไปสองวัน ได้ยินคนเล่าว่าในหลวงทรงตรัสเตือนเรื่องแผ่นดินไหว เราจึงมั่นใจมากขึ้นว่าจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นจริง
หากย้อนอ่านพระราชดำรัสเมื่อวันที่4 ธันวาที่ผ่านมา ถึงตอนนี้หลายๆคนจะทราบว่าทำไมท่านจึงรับสั่งให้รัฐบาลใช้ไบโอดีเซล 100 เปอร์เซนต์
เวลานี้ท่านตรัสเรื่องแผ่นดินไหวและภัยพิบัติอื่น
เราคงต้องเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นนี้
ทางรอดมิใช่ รับมือด้วยวธีทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการเตรียมคนของเรา ให้มีการให้และจิตอาสา
เมื่อใดที่เขาสามารถให้ทั้งๆที่ไม่มี เมื่อนั้นจะเป็นทางรอดของเรา
สวัสดีค่ะ อาจารย์
ในวันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งปีนี้ก็เช่นกัน
ทางภาครัฐและเอกชน หลาย ๆ หน่วยงาน ได้ออกมาร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน รวมถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม
การทำอย่างนี้ก็เหมือนการตีฆ้องร้องปล่าว ให้ทุกคนร่วมมือร่วมใจ
หากแต่การตีฆ้องร้องปล่าวครั้งนี้จะไม่เกิดผลประโยชน์อะไรเลย ถ้าทุกคนไม่ร่วมมือร่วมใจ
ขอเป็นฆ้องใบเล็ก ๆ ให้ทุก ๆ คนดูแลรักษาสิ่งที่ดีของโลกให้คงอยู่ค่ะ
เหล่านักการ แซ่เฮ