ผจญภัยในมะนิลา


ใครอยากมาเที่ยวมนิลา ขอบอกว่าไม่ต้องมาหรอก หลับตานึกภาพกรุงเทพเมื่อ 20 ปีก่อนเอา...


อากาศก็ร้อนชื้นเหมือนบ้านเราเปี๊ยบ ออกจากสนามบินมา ก็เจอรถติด ระหว่างอยู่ในรถแท็กซี่ ก็มีคนเดินขายของกลางถนน แต่แทนที่จะขายพวงมาลัยเหมือนบ้านเรา เมืองนี้เขาเดินขายน้ำดื่มกัน อืม ก็เข้าท่านะ อากาศร้อน รถติด อย่างนี้ต้องหาอะไรเย็นๆ มาดื่มให้ใจเย็น  หลังจากคนขายน้ำเดินผ่านรถไป คราวนี้ก็มีเด็กมาเดินขอเงิน คล้ายบ้านเราแต่น่ากลัวกว่า เพราะหนูๆ เหล่านี้ มาเกาะหน้าต่างรถไม่ปล่อย ถ้าไม่ได้ล็อคประตูรถ สงสัยว่าจะเปิดประตูขึ้นมาขอบนตักเลย

หลังจากเข้าโรงแรมเรียบร้อย ก็เตรียมตัวไปเที่ยวเมืองกันหน่อย มีเวลาสองสามช.ม. จะไปเที่ยวไหนดี ตอนอยู่ที่สนามบินได้ถาม Information มา ที่แรกที่คุณพี่แนะนำคือ SM Mall of Asia เพราะเป็น Mall ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ฮืม...อุตส่าห์มาถึงฟิลิปปินส์และมีเวลาแค่สามชั่วโมง จะ ให้ไปเที่ยวมอลเหรอ ไม่เป็นไรลองถามคนที่โรงแรมดูอีกที ปรากฏว่าที่แรกที่โรงแรมแนะนำคือ SM Mall of Asia เช่นกัน เอ๊ะเมืองนี้ นี่ยังไง บอกว่าอยาก sightseeing ไม่อยาก shopping ในที่สุดก็ได้คำแนะนำให้ไปเที่ยวในเขตเมืองโบราณ ที่เรียกว่า Intramuros มีโบสถ์ที่เก่าที่สุดในมะนิลา คือ San Augustine Church  และ Manila Cathedral  และมีป้อม ชื่อ Fort Santiago เป็นป้อมที่ทหารญี่ปุ่นยึดไว้ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

การมาเที่ยว Intramuros นี้ก็เป็นการผจญภัยอีก ระยะทางจากโรงแรมประมาณครึ่งช.ม. โรงแรมบอกว่าคิด 300 peso ถ้าขึ้นแท็กซี่โรงแรม เราก็บอกว่าช่วยเรียกแท็กซี่มิเตอร์ให้หน่อย ได้แท็กซี่มาคนขับใจดีมาก แนะนำที่เที่ยวด้วย ถึงจุดหมายโบสถ์ San Augustine Church เพียง 70 peso คนขับจัดแจงเสนอว่าจะรอ เพราะแถวนี้หาแท็กซี่ยาก แต่เราไม่แน่ใจว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนในการเดินเที่ยว และก็ไม่รู้ว่าพี่แกจะเก็บค่ารอเท่าไร แม้ว่าจะคุยกันภาษาอังกฤษ แต่ฟังยากเป็นบ้า ไม่รู้ว่าเขาพูดอังกฤษผสมตากาล็อกหรืออย่างไร  ก็เลยปฏิเสธไป  ไปเดินเที่ยวโบสถ์ San Augustine Church และ Manila Cathedral สามารถเดินถึงกันได้ แต่มองไปรอบๆ แล้วก็ดีใจที่ไม่ได้มาเที่ยวคนเดียว ข้างทางมีคนนั่งกันอยู่ บางทีก็เดินมาตื๊อให้ซื้อของ รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่  แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่า ก็คือได้เข้าไปดูพิธีแต่งงาน ในโบสถ์  Manila Cathedral เป็นงานที่เรียบง่าย ขณะที่พิธีแต่งงานดำเนินอยู่ ก็มีผู้คนเข้าไปสวดมนต์กันด้วย จาก Manila Cathedral ก็เดินต่อไปยัง Fort Santiago เป็นสวนสาธารณะและป้อมปราการ เสียค่าเข้า 50 peso ก็ไม่มีอะไรมาก ต้นไม้ในสวนก็แบบเดียวกับเมืองไทยเลย ต้นพลับพลึง ต้นโมกข์ ฯลฯ

ออกมาจากสวนก็หกโมงเย็น ยังไม่ค่ำเท่าไหร่ การผจญภัยเริ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อต้องหาแท็กซี่กลับโรงแรม มีชาวบ้านเดินมาถามว่าหาแท็กซี่ใช่ไหม พอพยักหน้า เขาก็เดินไปโบกรถให้ยกใหญ่ แต่รถส่วนใหญ่ไม่ว่าง พี่แกก็โบกไปทั่ว ข้ามถนนไปมา อืม สงสัยจะหาแท็กซี่ยากอย่างที่ลุงแท็กซี่คนแรกบอกจริงๆ  ขณะที่รอรถก็ต้องดมควันพิษ จากรถยนต์ทั้งหลายบนถนน เมืองนี้รถควันดำมากๆ และขับรถกันได้แย่มาก หลังจากพี่แกที่สั่งให้เราเดินข้ามถนนไปมาสองรอบ (ข้ามถนนแต่ละทีก็แทบหัวใจวาย) พี่แกก็โบกแท็กซี่ได้ ก็เลยให้แกไป 5 peso แต่ปรากฎว่าพอขึ้นไปนั่ง บอกชื่อโรงแรม ไม่รู้ว่าเขาไม่รู้จักหรือยังไง ภาษาอังกฤษก็ไม่พูด เราก็ไม่รู้เรื่อง บอกให้เขากดมิเตอร์ก็ไม่กด สุดท้ายก็ไล่เราลงจากรถ เสียไป 5 peso และรถก็ไม่ได้ ก็เลยคุยกันว่าจะเดินออกไปเรียกที่ถนนใหญ่แทน ฝนเริ่มตก แท็กซี่คันใหม่ที่เรียกได้ก็ไม่ยอมกดมิเตอร์อีก เรียกราคา 100 peso เหนื่อยก็เหนื่อย ฝนก็ตก เอาก็เอา นิสัยไม่ดีเลยแท็กซี่เมืองนี้ ไม่รู้ว่าทำเฉพาะกับนักท่องเที่ยวหรือเปล่า แต่ไม่ประทับใจเลย

 

เพิ่มเติม...

ในวันสุดท้ายหลังจากที่นึกว่าการผจญภัยนั้นสิ้นสุดลงแล้ว เพราะจะได้กลับบ้านเสียที ก็ปรากฎว่าเสียทีแท็กซี่ฟิลิปปินส์อีกจนได้  ให้ที่โรงแรมโซฟิเทลเรียกแท็กซี่เพื่อไปสนามบินให้  โรงแรมก็บอกว่าไปแท็กซี่โรงแรมไหม 800 peso โอ้โน...แพงไปมั้ง ขามายังแค่ 250 peso เอง ก็ขอให้เขาช่วยเรียกแท็กซี่มิเตอร์ให้ พอได้แท็กซี่ โรงแรมก็จัดแจงให้คูปองซึ่งเขียนทะเบียนรถ และเวลาขึ้นรถให้ เพื่อเป็นหลักฐานเผื่อเกิดลืมของ ก็ดีนะ ขึ้นรถมาได้สักพัก เพิ่งสังเกต เอ๊ะพี่แกไม่ได้กดมิเตอร์นี่นา พอถาม เขาก็พูดอะไรก็ไม่รู้ ภาษาอังกฤษปนตากาล๊อก ฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องแต่ก็ฟังออก ว่าไม่ยอมกด เราก็เอาแล้ว รอบนี้ไม่ยอมเด็ดขาด เพราะได้ไปถามคนฟิลิปปินส์มาแล้ว ว่าปกติเวลาเขาขึ้นก็ต้องกดมิเตอร์ตลอด เราก็เถียงอยู่ตั้งนาน จะมาเอาเปรียบเพราะเราเป็นนักท่องเที่ยวรึ เรามีทะเบียนรถนะ เดี๋ยวจะแจ้งตำรวจ พี่แกก็เรียก 300 อ้างรถติด น้ำมันแพง อ้างไปเรื่อย เราก็เถียงตลอด เถียงๆ ไปก็นึก ตายละหว่าจะได้ไปถึงสนามบินไหมเนีย ยังดีว่ามีเพื่อนร่วมทางเป็นชายหนุ่ม ตัวใหญ่ไปด้วย (แต่ไม่ช่วยเถียงเลย)  สุดท้ายพี่แกก็กดมิเตอร์ เราก็เออดี ในที่สุดก็เถียงชนะ  ขับไปก็ยังไปแวะเติมน้ำมัน (น้ำมันประเทศนี้ก็แพงจริงๆ ลิตรละเกือบ 50 บาทได้) แล้วก็หันมาถามว่าไฟลท์กี่โมง เราก็นึก...สงสัยจะพาเราไปขับวนซะละมั้ง ก็เลยตอบเวลาเร็วกว่าเวลาไฟลท์ไปหน่อย ขับไปไม่นานก็ถึงสนามบิน ไม่เจอรถติดสักกะนิด พอถึงมิเตอร์ขึ้น 75 peso ดุดู๊ มาเรียกเราตั้ง 300   ปรึกษากับเพื่อนร่วมทางว่าให้สัก 150 แล้วกัน เนื่องจากเขาไม่ได้กดมิเตอร์ตั้งแต่แรก

ปรากฎว่าพอให้เงินไป พี่แกก็บอกว่า "no no no..." ทำท่าไม่รับเงิน เราบอกว่าก็เอาไปเหอะ ถือว่าเป็นทิป (นึกว่าเขาไม่เอาเพราะมันเยอะไป) ที่ไหนได้ตอบกลับมาว่า "300 we made agreement" agreement กับผีอะไร ยังไม่ได้ตกลงซะหน่อย แล้วที่แกกดมิเตอร์ไป นี่กดไปทำไมยะ จะบ้าตาย งงมากๆๆ เหมือนว่ากดไปเพื่อให้เราเลิกบ่น สุดท้ายก็ต่อรองให้ไป 200 ความจริงมานึกย้อนดูไม่เห็นต้องไปต่อรองเลย ให้ 150 แล้วเดินไปเลยซะก็ดี ในเมื่อถึงที่หมายปลายทางแล้วนี่ ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ อีกอย่างก็เงินหลวงไม่ใช่เงินตัวเอง ก็หยวนๆ 555

สรุปว่าใครจะไปฟิลิปปินส์ขอให้ระวังในการขึ้นแท็กซี่ให้ดี ต้องตกลงตั้งแต่ก่อนขึ้นว่าเขาจะกดมิเตอร์หรือไม่ ถ้าไม่กดจะคิดเงินเท่าไหร่ เพราะหากหลวมตัวขึ้นไปแล้ว อำนาจต่อรองก็จะไม่มี แล้วก็จะต้องเสียทีอย่างเรา...

หมายเลขบันทึก: 183908เขียนเมื่อ 22 พฤษภาคม 2008 14:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 01:59 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท