การจัดทำ Guidebook สำหรับ HA Forum 7 มีความแตกต่างไปจากครั้งที่ผ่านๆ มา
ใน 2 ครั้งที่ผ่านมานั้น ได้จัดพิมพ์เนื้อหาที่มีลักษณะวิชาการสูง เนื่องจากใช้ประโยชน์จากเอกสารที่ใช้สื่อกับวิทยากร กล่าวถึงความเป็นมา วัตถุประสงค์ และเนื้อหาที่จะนำเสนอ
ในครั้งนี้ เห็นว่าน่าจะมีเนื้อหาที่เบากว่านั้น
แต่ละครั้งที่ไปเข้าร่วมประชุมวิชาการ ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะอ่าน abstract เพื่อว่าจะได้เรียนรู้ให้มากที่สุดแม้ไม่ได้เข้าประชุมในห้องนั้น แต่ก็พบว่ายากอย่างยิ่งที่จะฝ่าความน่าเบื่อหน่ายสองประการไปได้ นั่นคือเนื้อหาที่พูดในเชิงหลักการและนามธรรมมากจนไม่เห็นรูปธรรมเชิงปฏิบัติ กับตัวเลขสถิติที่ต้องบอกว่าไม่มีนัยยะสำคัญต่อความอยากรู้อยากเห็น
ผมอยากจะทำเอกสารประกอบการประชุมที่หลีกหนีไปจากความน่าเบื่อหน่ายดังกล่าว
จากการไปฟังการนำเสนอคัดเลือกผลงานในที่ต่างๆ พบว่าแต่ละเรื่องมีจุดที่น่าสนใจแตกต่างกัน เป็นความน่าสนใจที่ผู้นำเสนอไม่รู้ตัว ผมได้จดบันทึกเนื้อหาที่รับฟังไว้เท่าที่จะทำได้ และพบว่าสิ่งที่จดบันทึกไว้นั้นมีประโยชน์มากในการเตือนความจำ ในการดึงเอาความน่าสนใจของเนื้อหานั้นออกมา ซึ่งหาไม่ได้ในเอกสารประกอบการนำเสนอ ที่น่าเสียดายคือไม่ได้ขยันเรียบเรียงให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียแต่เนิ่นๆ
การ rewrite สิ่งที่นักวิชาการเขียนมาให้อาจจะดูว่าไม่เคารพต่อเนื้อหาที่ผู้นำเสนอจัดทำขึ้น แต่ผมทำด้วยความเคารพและพยายามสื่อให้เจ้าของรับทราบเมื่อมีโอกาส
ช่วงตีสองของคืนวันศุกร์ที่ 3 มีนาคม หลังจากที่ผมเรียบเรียงเนื้อหาต่อเนื่องมาตั้งแต่เช้า ยกเว้นเวลากินข้าว ว่ายน้ำ และจัดการแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ ความอิ่มตัวของความคิด ความกดดันที่ตั้งใจจะทำให้เสร็จในเช้าวันรุ่งขึ้น และช่วงเวลาของการทำงานที่ไม่ปกติ ทำให้ได้วิธีการนำเสนอที่แตกต่างไปจากต้นฉบับโดยสิ้นเชิง แตกต่างเฉพาะวิธีนำเสนอ แต่ไม่ต่างในเนื้อหาสาระ
นี่คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในดึกของคืนวันนั้น
ผมพบว่าผมได้เรียนรู้อย่างมากในการทำงานนี้ เรียนรู้เพราะต้องใช้สมาธิเต็มที่ที่จะต้องทำความเข้าใจกับเนื้อหาที่ต้องเขียน ทุกประโยคที่เขียนต้องออกมาจากความเข้าใจของเรา มิใช่การคัดลอกประโยคที่เราเองก็ไม่รู้เรื่อง
บางครั้งผมต้องไปเปิด internet เพื่อค้นคว้ารายละเอียดเพิ่มเติม เป็นรายละเอียดที่มั่นใจว่าตรงกับที่ผู้พูดจะนำเสนอ เช่น ในเรื่อง TPM ซึ่งผมได้ซักถามพูดคุยเป็นการเบื้องต้นกับคุณสมชายแล้ว ผมไม่ได้รบกวนให้คุณสมชายเขียนอะไรเพราะรู้ว่าท่านมีภาระกิจมากมาย แต่ผมสรุปองค์ประกอบของ TPM ไว้เพื่อประโยชน์ของผู้เข้าประชุม อย่างน้อยท่านไม่ต้องไปเสียเวลาจดเอาในห้อง
มีเรื่องหนึ่งที่ผมต้องศึกษารายละเอียดใน slide ประกอบการบรรยาย ร่วมกับการค้นหาความหมายใน internet นั่นคือเรื่อง making decision in ethical dilemma ของ Janet Farrell คำศัพท์ภาษาอังกฤษเรื่องจริยธรรม เป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยคุ้นเคย ถ้าให้แต่ศัพท์โดยไม่มีความหมายให้ ก็ดูจะไม่เกิดประโยชน์เท่าใด เป็นโอกาสให้ผมได้เรียนรู้ไปด้วย บางคำก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าจะให้ความหมายได้ครอบคลุมหรือไม่ คงต้องรับคำชี้แนะจากผู้รู้ในโอกาสต่อๆไป งานนี้ทำในช่วงโค้งสุดท้าย ชั่วโมงที่ 30 หลังจากกำหนดที่ควรจะเสร็จ คือควรจะเสร็จเมื่อเย็นวันศุกร์ แต่มาใกล้เสร็จเอาตอนสี่ทุ่มของวันเสาร์
ในเอกสารประกอบการประชุม สิ่งที่กินเนื้อที่อีกไม่น้อยคือประวัติวิทยากร เป็นสิ่งที่คนไม่ค่อยได้อ่าน และใช้ประโยชน์ได้น้อยอีกเช่นกันในการที่หวังว่าจะใช้ค้นหาเมื่อต้องการ ที่ใช้อย่างจริงจังคือให้พิธีกรอ่านให้ฟังตอนแนะนำตัววิทยากรเท่านั้น
ผมพยายามฉีกรูปแบบการให้ข้อมูลวิทยากรออกไปโดยผสมผสานเข้าไปในเนื้อหาที่จะแนะนำให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้รับทราบ แต่ก็ได้เพียงบางส่วน เพราะจำกัดด้วยข้อมูลและเวลา
ลูกของพี่เลี้ยงที่เคยเลี้ยงลูกสาวคนเล็กมาจากต่างจังหวัด บอกกับน้องของเขาว่า “คุณหมอเล่นเกมส์ทั้งวันเลยนะ” แต่ครั้นเข้ามาดูใกล้ๆ ก็คงนึกเสียดายว่า “คุณหมอทำงาน ไม่ได้เล่นเกมส์) กว่าลุงหมอจะเอาชนะเกมส์นี้ได้ก็สี่ทุ่มครึ่งเข้าไปแล้ว
ขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับHA
การทำงานหรือการพัฒนาคุณภาพ ทำให้มีผลดีต่อผู้รับบริการจริงผู้รับบริการ ได้ข้อมูลที่อยากรู้และไม่อยากรู้มากมาย ได้รับการปฏิบัติ/บริการที่มีมาตรฐานการปฏิบัติเดียวกัน ได้ใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ ยาที่มีระบบการกำกับตรวจสอบคุณภาพมากมาย ผุ้ให้บริการมีการทำงานที่เป็นระบบมากขึ้น ตรวจสอบกันมากขึ้น เอกสารมากมายเกิดขึ้น ต้องมีความรู้เรื่องนั้น เรื่อวนี้มากมาย ทั้งทีตอนร่ำเรียนมาบางเรื่องไม่มีการสอน เมื่อมาทำงานต้องเหมือนกับทศกันฐ์รวมกับเจ้าแม่กวนอิมพันกร ต้องรู้และต้องทำ
ถ้ามองในอีกมุม เราขาดความไว้เนื้อเชื่อใจกันมากขนาดนี้หรือสัมพันธภาพระหว่างเรา(ผู้ให้บริการ/ผู้รับบริการ)มีความเป็นสากลมากขึ้นหรือ สิ่งที่เป็นอยู่ในวัฒนธรรมของคนไทยมันหายไปใหน ความเป็นอัตตาของเราสูงขึ้นจนแทบจะปิดกันหัวใจที่จะสื่อถึงกัน.......................
ผมว่าคุณบุษบาบรรณ เข้าใจอะไรผิดไปป่าวครับ รบกวนไปอ่าน core value and concept ให้เข้าใจก่อนก็ได้ครับ เราทำงานเพื่อผู้ป่วยก็จริง แต่คุณภาพที่ดีต้องสมดุลย์ระหว่าง ผู้รับผล กับ คนทำงานครับ (ให้อ่าน core value ให้เข้าใจก่อนครับ)
ถ้าหากระบบที่ทำนั้นๆ ดูแต่ผลอย่างเดียวอาจจะทำให้เกิดความยุ่งยากดังที่คุณเป็นอยู่(ทศกันฐ์กับเจ้าแม่กวนอิมพันกร....) ถ้าผลดีจริงแต่ทำแล้วยุ่งยาก คุณต้องชั่งน้ำหนักว่าคุ้มหรือไม่ที่จะทำ ถ้าหากไม่คุ้มก็อย่าเพิ่งทำ เพราะเสียเวลา
อย่างที่หมอเอกว่า..ถ้าเป็นคนที่ศึกษาหรือพยายามพัฒนาคุณภาพ ความคิดอย่างที่คุณบุษบาบรรณบอกจะไม่มีอยู่ในความคิดหรือความรู้สึก..เพราะมันอินนะ..เวลาทำงานคุณภาพ..แต่ในฐานนะที่เคยเป็นระดับผู้ปฏิบัติมาก่อน..เราเคยเห็นมุมที่คุณบุษบาบรรณบอก..เคยรู้สึกอย่างนั้น และยังอยู่กับบุคคลากรที่รู้สึกอย่างนั้นอยู่..ไม่ใช่ไม่เข้าใจ concept แต่ทำงัยให้ concept กับชีวิตจริงอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน นั้นเป็นคำถามที่ผู้ประสานงานฯ หรือQMR ต้องตีโจทย์ให้แตก..การได้ใจบุคลกร หรือ การสร้างภาพอนาคตที่ต้องเห็นรวมกันทั้งองค์กร..นั่นคือโจทย์ทีตองหาสมการ หรือวิธีการในการสื่อสารให้บุคลากรทุกคนรู้สึกให้ได้..คนที่อยู่หน้างาน การจัดการหน้างานที่มากมาย การแก้ปัญหาประจำวันที่มากมาย..ทำให้ขาดช่วงของการคิด หรือสติไปชั่วขณะ แต่การสื่อสาร หรือประสานงานที่ดี การsupportที่เหมาะสม เราว่ามันจะช่วยทำให้ความรู้สึกอย่างที่คุณบุษบาบรรณว่าไว้ มันลดลง หรือหายไปได้..การวางระบบ หรือการมีแนวทางในการดูแลที่ดี..ส่งผลสุดท้ายให้คนไข้..ได้รับแต่สิ่งที่ดีกลับไปนั้น..การทำงานจนเป็นกิจวัตรอาจมองไม่เห็นความอิ่มใจตรงนั้น..นั่นแหละเป็นหน้าที่ ที่สำคัญที่ผู้ดูแลคุณภาพจะต้องช่วยให้เค้าเห็นคุณค่าในงานที่ทำให้มากที่สุด..มันก็แล้วแต่กลยุทธ์ของใคระ..เอาใจช่วยคุณบุษบาบรรณให้ก้าวข้ามไปได้นะค่ะ..ด้วยความเคารพ...