ครูต้องรวมกันเป็นกลุ่ม หรือองค์กรที่ถาวร
การรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เป็นองค์กรในรูป ชมรม สมาคม หรือเรียกอย่างอื่น ๆอีกก็ตามเป็นการเริ่มต้นของความเข้มแข็งของคนในทุกอาชีพและวิชาชีพ แต่ในวงการวิชาชีพครูของพวกเราดูจะมีพัฒนาการในเรื่องนี้ค่อนข้างช้ามาก ๆ ในสายตาของผมเห็นว่ามาถึงบัดนี้กลุ่มหรือองค์กรของพวกเรายังไม่งอก เท่าที่เห็นแพร่หลาย มีการรวมตัวกันเป็นรุ่น เช่น ศิษย์เก่าโรงเรียน / วิทยาลัยครูเพชบุรี รุ่น... โต๊ะแชร์กลุ่มโน้นกลุ่มนี้ ... เป็นต้น กลุ่มเหล่านี้ไม่อาจเรียกว่าเป็นกลุ่มหรือองค์กรในความหมายที่กำลังจะชวนคุยนี้
เราต้องมีการรวมกันเป็นกลุ่มหรืองค์กรที่มีความถาวร มีกิจกรรมที่อยู่ในขอบข่ายของวิชาชีพ หรือเกี่ยวข้อง ไม่ไช่กิจกรรมที่เน้นความสัมพันธ์แต่อย่างเดียว หรือเป็นหลัก เช่น มีการพบปะสังสรรค์กันอย่างน้อยปีละครั้งแบบเลี้ยงรุ่น หรือมีการกินอาหารร่วมกันเดือนละครั้งเหมือนอย่างพวกโต๊ะแชร์ แต่ควรเป็นการรวมตัวกันเพื่อพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนของครู การรวมตัวกันเพื่อดูแลและรักษาผลประโยชน์ของผู้บริหารสถานศึกษา และการจัดตั้งเป็นสมาพันธ์เพื่อขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาของรัฐ แบบนี้คือกลุ่มหรือองค์กรที่เราควรหรือต้องมีในวงการวิชาชีพของเรา
กลุ่มเลี้ยงรุ่น หรือกลุ่มกินเหล้าเมายา อาจถือว่าเป็นพัฒนาการขั้นที่ 1 ขององค์กรวิชาชีพครูในเมืองไทย ถ้าคิดอย่างนี้ก็ถือว่าองค์กรวิชาชีพครูไทยเราได้เริ่มขึ้นแล้ว อาจเรียกว่าขั้นสร้างความสัมพันธ์ แต่ผมสังเกตเห็นว่าพัฒนาการในขั้นที่ 1 นี้มันนานเกินไปแล้ว เดาเอาว่า ขั้นนี้ใช้เวลานานกว่า 50 ปี นานเกินไป เช่น กิจกรรมเลี้ยงรุ่น ผมเคยได้ยินว่าพวกครูนิยมจัดกันตั้งแต่ผมยังเป็นนักเรียนระดับประถมศึกษา ปัจจุบันกำลังจะเกษียณอยู่แล้ว ก็ยังเลี้ยงรุ่นอยู่ โต๊ะแชร์บางโต๊ะก็ร่วม 20 ปี ที่ผ่านมาโต๊ะแตกไปก็หลายโต๊ะ ก็ยังตั้งโต๊ะเพื่อกินอาหารตามร้านกันอยู่ เมื่อไรจะเข้าสู่ขั้นที่ 2..3..4.. เสียที
จริง ๆแล้ว คุรุสภาได้พยายามกระตุ้นให้ครูและผู้บริหารรวมตัวกันจัดตั้งเป็นชมรม เป็นสมาคม ขึ้นนานแล้ว ตีเสียว่าเกือบ 30 ปี ลองไปสำรวจทะเบียนองค์กรวิชาชีพครูที่คุรุสภาได้รวบรวมไว้มีเป็นร้อย ๆ ชมรม / สมาคม ส่วนใหญ่มีชื่อตามจังหวัดที่เป็นที่ตั้ง ลองติดต่อไปตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ให้ไว้ในบัญชีก็พบว่าชมรม / สมาคมเหล่านั้นไม่มีตัวตน ติดต่อไม่ได้ หรือติดต่อได้แต่ชมรม / สมาคมไม่ค่อยมีกิจกรรมอะไร นานที่ปีหนอาจนัดประชุมกรรมการกันที ไม่ค่อยมีกิจกรรมสำหรับสมาชิก อย่างนี้ เป็นต้น ตัวอย่าง สมาคมครูจังหวัดเพชรบุรีได้มีการจดทะเบียนเป็นสมาคมมากว่า 20 ปี สมัยนั้นจำได้ว่า ท่านอาจารย์พะนอม แก้วกำเนิด ท่านดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติใหม่ ๆ ตั้งแต่นั้นมาจนบัดนี้สมาคมแทบไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลย
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่องค์กรวิชาชีพครูในเมืองไทย ไม่เกิด ไม่เติบโต คือ ความก้าวหน้าในวิชาชีพครูในบ้านเราสำเร็จได้โดยการวิ่งเข้าหาศูนย์อำนาจของระบบการศึกษา เช่น ครูจะก้าวหน้าก็ต้องเป็นที่ถูกใจของผู้อำนวยการสถานศึกษา ผู้อำนวยการสถานศึกษาจะก้าวหน้าก็ต้องเป็นที่ถูกใจของผู้อำนวยการเขตพื้นที่ฯ ผู้อำนวยการเขตพื้นที่ฯจะก้าวหน้าก็ต้องถูกใจเลขาธิการ สพฐ. เป็นต้น เมื่อใด ความก้าวในวิชาชีพไม่ต้องอาศัยองค์กรวิชาชีพ เมื่อนั้นองค์กรวิชาชีพไม่มีสิทธิ์เกิดและเติบโต
ต่อไป องค์กรวิชาชีพจะเกิดและเติบโต เพราะราชการจะรับครูเข้าทำงานในรูปสัญญาการจ้างงาน และ การประเมินความสำเร็จในการทำงานที่คุณภาพของงาน ทั้ง 2 ประการนี้ จะเป็นเหตุปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้วงการวิชาชีพครูเห็นความสำคัญขององค์กรวิชาชีพครู ชมรม หรือ สมาคมครู หรือผู้บริหาร ตั้งก็จะติด ติดแล้วจะเติบโต แต่ถ้าการบริหารจัดการในระบบไม่โปร่งใส ไม่เป็นธรรม ก็อาจจะทำให้พัฒนาการในขั้นนี้มาช้ากว่าที่ควร และก่อนหน้าที่จะเข้าสู่ภาวะปรกติก็จะเกิดความเสียหายกับบ้านเมืองอยู่ระยะหนึ่ง ดังนั้น ระบบราชการจะต้องข้ามพ้นระบบเน่าหนอนชอนไชให้ได้จึงจะเกิดผลดีแก่ส่วนรวม
เพื่อไม่ให้การเกิดขึ้นขององค์กรวิชาชีพครู ไม่ว่าจะเป็นองค์กรของครู ผู้บริหาร และบุคลากรทางการศึกษาก็ตาม เป็นไปตามยถากรรม จึงขอเชิญชวนพวกเราสนใจศึกษาเรื่ององค์กรวิชาชีพครู และหันมาร่วมกันจัดตั้งองค์กรในแวดวงของตนเองขึ้น
พวกเราต้องตระหนักว่า บ้านเมืองจะยั่งยืนสืบไปได้ วงการวิชาชีพครูต้องเข้มแข็ง สมาชิกในวงการวิชาชีพครูจะต่างคนต่างอยู่อีกต่อไปไม่ได้แล้ว บ้านเมืองอยู่ไม่ได้ ใคร ๆก็อยู่ไม่ได้ เราจึงต้องเลิกสร้างความสำเร็จให้ตนเองแบบตัวใครตัวมัน หันมาร่วมมือกันในรูปขององค์กรวิชาชีพ สร้างความสำเร็จของตนและของส่วนรวมไปด้วยกัน เส้นทางเช่นนี้เท่านั้นจึงจะเป็นไปเพื่อกุศล
ตามมาทักทาย ตอนนี้คุณครูกำลังรวมกันที่สวนป่าพ่อครูบาครับ
ครูอ้อย มาขอยกมือ แตะมือ ในการรวมตัวของครู ค่ะ
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ
"เราจึงต้องเลิกสร้างความสำเร็จให้ตนเองแบบตัวใครตัวมัน หันมาร่วมมือกันในรูปขององค์กรวิชาชีพ สร้างความสำเร็จของตนและของส่วนรวมไปด้วยกัน เส้นทางเช่นนี้เท่านั้นจึงจะเป็นไปเพื่อกุศล"
รวมพลังสร้างความดีเพื่อสังคมเป็นสิ่งที่ดี สำเร็จแล้ว อย่างอื่นตามมาเอง
ไชโย ความคิดดีๆค่ะ
ไปรวมตัวที่ไหนดีคะ