วันหยุดที่ผ่านมา วางแผนว่า อยากพักผ่อน (โดยไม่ต้องซีเรียสในการทำงานมาก)
แต่แล้ว ก็ได้รับโทรศัพท์ บอกว่า “ญาติที่ป่วย..!! เขาเสียแล้ว”
อืม..อาการซีเรียส ก็เริ่มขึ้น เมื่อไม่ไปก็กะไร “คนเราอ่ะนะ!!...ตายครั้งเดียวนี่นา” จึงต้องไป...ญาติฝ่ายคุณแม่..ของเราเอง...
เออ...เราก็มานั่งคิดๆๆๆ แล้วก็คิด...
มิน่าล่ะ ที่ได้ข่าวว่า มีโคโยตี้ ในงานศพ
มันคงจริง อย่างเขาว่า
สาระ/ข้อคิดในบล็อกนี้
ข้อเสนอเชิงนโยบาย (โอ๊!!..เชิงส่วนตัว) ขอโทษ ค่ะ
ประเพณีวัฒนธรรมเปลี่ยนแปลงได้ แต่ที่น่าใจหายคือเปลี่ยนได้เร็วนัก
1.สาเหตุคือความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การสื่อสารต่างๆที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้วัฒนธรรมหลากหลายหลั่งไหลเข้ามา และไหลออกไป
2.ระบบทุนนิยม ระบอบประชาธิปไตยทำให้คนมีอิสระในการคิด การกระทำและการเปลี่ยนแปลง
3.พฤติกรรมเลียนแบบและเอาอย่างกัน เมื่อมีการประพฤติประเพณีที่ผิดไปแล้วไม่มีผู้ออกมาทักท้วง ท้วงติง เมื่อเห็นบ่อยๆเข้าจึงเห็นประเพณีที่ผิดกลายเป็นถูก ที่เรียกว่า "ตากลับ"
4.ผู้นำสังคม ผู้นำจิตวิญญาณ ผู้มีหน้าตาในสังคม ผู้นำทางศาสนา ผู้ที่เป็นศูนย์รวมแห่งความเชื่อของสังคม ไม่ออกมาให้ความรู้ด้านประเพณีที่ถูกต้อง หรือไม่ออกมาต่อต้านเมื่อเห็นการกระทำผิด หรือบางทีบางท่านอาจเป็นผู้นำในการกระทำผิดโดยไม่จงใจหรือที้งจงใจ
5.จิตใต้สำนึก,ธาตุแท้,สันดาน ของแต่ละคนเริ่มผุดขึ้นมาแล้วแสดงออกทางความนึกคิด, ภาษา, อาการ, การแสดงออก
6.ทุกหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ผู้นำองค์กรศาสนา ผู้นำสังคมร่วมสร้างจิตสำนึกในการป้องกัน สร้างสรรค์ เพณีอันดีงามของไทยเอาไว้
7.ที่สำคัญที่สุดคือสังคมระดับครอบครัวซึ่งถือว่าเป็นหน่วยย่อยที่สุดและมีความสำคัญมากที่สุด ที่จะต้องให้ความสำคัญให้ความรักความเมตตา สร้างกระแสความอบอุ่นในครอบครัว เพื่อเป็นการปลูกฝังเพาะบ่ม จิตใจอารมณ์ของคนในสังคมให้เป็นผู้ที่มีสำนึกดี มีความปรารถนาที่จะปกป้องคุ้มครองประเพณี และสืบสานวัฒนธรรมไทยให้ดำรงคงอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน
ขอบคุณมากครับที่นำมาเล่าสู่กันฟัง ขออนุญาต...............รวมตะกอร
จากอดีตสู่ปัจจุบันวัฒนธรรมคนไทยได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะวัฒนธรรมตะวันตกเข้าในประเทศไทย สังคมปัจจุบันมองไปที่วัตถุ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ต้องย่อมรับการเปลี่ยนในยุคโลกาภิวัฒน์ ทุกอย่างเกิด และดับ เป็นของธรรมดา (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) จากอดีตสู่ปัจจุบัน
สวัสดีครับ
เรื่องงานศพนี่ ดูๆ ก็แปลกดีครับ
แต่ละถิ่น แต่ละยุคสมัยก็ต่างกัน
บางถิ่น เขาแสดงความรื่นเริงกัน (ต่างประเทศไกลๆ)
ของไทยเรา สมัยโบราณก็ไม่ได้แต่งดำแต่งขาวเคร่งครัดเหมือนสมัยนี้
งานศพเป็นงานใหญ่ เป็นประเพณีที่มีมานาน
เรียกว่า มีพัฒนาการมายาว
ความเห็นส่วนตัว :
ตายแล้วก็ช่างเถอะ ใครจะทำอะไร อิๆ
สวัสดีครับ
แวะมาทักทาย
แปลกดีนะครับ เจ้าภาพคงไม่ต้องการให้เศร้าโศกเสียใจ ก็เลยจัดงานรื่นเริงปิดท้ายเสียเลย
ที่ทางเหนือไม่เคยเห็นมีแบบนี้ หลังจากที่ฌาปนกิจเรียบร้อยแล้วก็ช่วยกันเก็บของ เสร็จแล้วก็การเลี้ยงอาหารและน้ำทิพย์กันเล็กน้อยเป็นการตอบแทนเพื่อนบ้านที่มาช่วยงาน
หรือว่านิสัยคนไทยเป็นคนชอบสนุกสนาน คงลืมนึกถึงเรื่องกาลเทศะไป
สวัสดีครับพี่
ผมมาอยู่ที่นี่บ่นกับแฟนทุกครั้งที่มีงานศพ เพราะญาติพี่น้องจะร้องคาราโอเกะกันเสียงดังทู้กที
นั่นสิครับ การน้อมนำจิตคารวะคนตาย ไม่ได้อยู่ในความคิด หรือความสำคัญของแก่นแกนสาระการจัดงานสำหรับคนตายหรือไร
หรือว่าการจัดงานเพียงเพื่อการเผาศพเท่านั้นก็ไม่ทราบนะครับ ความจริงเรื่องนี้น่าศึกษาอย่างมาก เรา เขาคิดอะไรกันแน่ คนแก่คนหนุ่มคิดต่างกัน หรือเปล่า
การเคลื่อนไหลทางวัฒนธรรม หรือการประยุกต์วัฒนธรรม หรือไรก็ไม่ทราบนะครับ แต่การเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันด์อยู่แล้ว
หาคำตอบไม่ได้เช่นกันครับ แต่รู้สึกดีที่พี่สะท้อนได้ชัดเจนออกมา ผมเองอยู่จนชินชาไปแล้วจริงๆ
ขอบคุณค่ะ
นี่แหล่ะ ก็แสดงให้เห็นว่า ลุกคืบทางวัฒนธรรม ที่มีผลกระทบต่อสังคมปัจจุบัน ไม่ใช่(รวมทุกภาค) ภาคอื่น ๆเขายังรักษา ประเพณี ดั้งเดิมไว้ได้
คนอีสาน เปลี่ยนแปลงไปเอง โดยไม่นึกถึงว่า ลูกหลาน รุ่นหลัง ๆ จะสืบสาน อนุรักษ์ และหวงแหน ในสิ่งที่บรรพบุรุษ เคยรักษาไว้ให้หรือเปล่า...
ก็น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง...
สวัสดีค่ะ แล้วถึงรุ่นหนูคงมีเพียงชื่อประกาศไว้หน้าวัดว่า.....ตายแล้ว
ผมเห็นว่าควรเปลี่ยนประเพณีงี่เง่านี่เสียที โดยเฉพาะเรื่องเปิดเพลงงานศพ คนตายไปแล้วไม่รู้จะเศร้ากันไปถึงไหน
รีบเผารีบเสร็จ จะได้ทำมาหากินต่อ ความกตัญญูก็แสดงกันเต็มที่อยู่แล้ว อีกหน่อยมีคนตายทุกวัน ไม่ฟังเพลงนี้กันทั้งวันทั้งคืนรึ ฝรั่งมังค่ามาเที่ยวคงงง ประเทศนี้มันเศร้าอะไรกันนักกันหนา ถ้าคุณอยากจะเศร้าก็เปิดฟังคนเดียวได้ป่ะ คนอื่นเขารำคาญ และพ่อแม่เขาไม่ได้ตายไม่ต้องแบ่งความเศร้าไปให้เขาทั้งบ้านทั้งเมืองหรอก