ใจหายเมื่อได้รับทราบข่าวภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านของเรา ซึ่งคร่าชีวิตประชาชนไปเป็นหมื่น ๆ ซึ่งก็สรุปได้ว่าภัยธรรมชาติในครั้งนี้อาจจะไม่รุนแรงอย่างที่เห็นหากแนวธรรมชาติที่มีอยู่อย่างป่าโกงกางไม่ถูกทำลายด้วยฝีมือของมนุษย์ จนราบคาบ...เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นจึงไม่มีตัวบรรเทาความรุนแรงไว้ได้
เหตุการณ์อย่างนี้ และที่เกิดขึ้นหลากหลาย น่าจะเป็นตัวบ่งบอกถึงภัยที่ใกล้ตัวเราซึ่งเราเป็นผู้กระทำทั้งนั้น....ทั้ง ๆ ที่ธรรมชาติได้มีตัวช่วยเพื่อเกื้อกูลช่วยเหลืออยู่แล้วแต่ไม่อยากจะพูดว่าเราไม่รู้เท่าถึงการณ์เพราะในยุคนี้ ความรู้ความเข้าใจที่ได้รับและที่ภาครัฐหรือองค์กรต่าง ๆ ได้เร่งรณรงค์ไม่ว่าช่องทางไหนให้ได้รับทราบเพื่อร่วมมือกันยับยั้งให้เหตุการณ์ที่อาจจะมาถึงให้นานออกไปหรือไม่เกิดขึ้นเลย อย่างเช่น ภาวะโลกร้อน ซึ่งทุก ๆ ในโลกนี้มีส่วนร่วมที่จะสามารถป้องกันได้ แต่ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมเลย...
พูดมายืดยาวเกือบลืมประเด็นของตนเองไป เมื่อหลายวันก่อนเพื่อน ๆ ร่วมก้วนชวนกันเที่ยวในช่วงหยุดตั้ง 3 วัน ก็เลยตกลงจะไปเที่ยวทะเลอันดามัน ฝากจังหวัดสตูลกัน นัดกันจะเดินทางตอนเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ที่ 4 พ.ค.51 แต่ในวันเสาร์ที่ 3 ทุกคนต่างโทรประสานงานกันเพราะได้ข่าวมรสุมเข้าทางแถบทะเลอันดามัน ซึ่งบ้านเราที่จังหวัดภูเก็ตก็เกิดเหตุการณ์คลื่นแรงสูงถึง 2-4 เมตร พัดเอาคนที่นั่งตกปลาหายไปอย่างไร้ร่องรอย ครอบครัวก็เตือนว่าให้ระงับอย่าไปเลยอันตราย ก็พยายามสอบถามข่าวคราวทั้งกับทัวร์ที่จัด ....ได้รับคำตอบที่เข้าข้างพวกอยากไปว่า ไม่น่าจะเป็นอันตรายอย่างที่คิดเพราะเริ่มสงบลงบ้างแล้ว
ออกเดินทางโดยรถยนต์ตู้เข้าเทียบท่าเรือที่จังหวัดสตูลเกือบ 09.30 น.แล้ว เรือที่ทัวร์จัดมารับเป็นเรือสองชั้นขนาดบรรทุกผู้โดยสาร 33 คน กับลูกเรืออีก 3 คน ก็ใหญ่พอสมควรล่ะนะ ตอนออกจากฝั่งสงบ สดใส สวยงามมาก พอเรือแล่นไปได้สัก 1 ชม. เท่านั้นเองฟ้ามืออย่างไม่เคยพบ ตามมาด้วยลมโหมหนักและเม็ดฝนขนาดเท่าลูกมะยมก็สาดกระเซน...เรือโคลงเคลง ไม่เป็นจังหวะ ทุกคนเงียบไม่มีเสียงพูด และพร้อมใจกันลงนั่งกับพื้นเรือแล้วจับเก้าอี้ (ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้างรังเกียจพื้นที่เปียก) บรรเลงเพลงในใจด้วยการอัญเชิญปะดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ตนเองนับถือ ตามด้วยการบนบานศาลกล่าวจนคิดว่าถ้าปลอดภัยจะตามแก้บนกันอย่างไร คำที่เค้าว่า "คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล" จริง ๆ ตอนนี้แหล๊ะ เป็นอย่างนี้อยู่นานเกือบ 1.20 ชม. ภาวะการณ์จึงค่อยสงบลงอย่างช้า ๆ ท้องฟ้าเริ่มแจ่มใสขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ทุกคนค่อย ๆ พยุงร่างกายที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนบ้าง น้ำทะเลบ้าง และปน ๆ กันเหงื่อซึ่งออกมาผิดปกติท่ามกลางอากาศหนาวเย็น.....นั่งกันเงียบกริบ ๆ ไม่เสียงแทรกจากไกด์ ..คนเก่งที่หลบไปกำบังอยู่ชั้นล่างก่อนเพื่อนโดยไม่มีคำอธิบาย....ให้ทุกคนคิดและประสบกับเหตุการณ์ตรงด้วยตนเองเมื่อก่อนหน้านี้ว่า...พี่ ๆ ครับคงปลอดภัยขึ้นบ้างแล้วครับ...2-3 วันแล้วครับที่ไม่เคยเกิดเหตุการณ์หนักเท่านี้....(แห่ม...มันบอกมาได้...ก็ตอนที่ถามก่อนมามันบอกว่าสงบอ่ะ..แล้วปลอดภัยด้วย)
ทุกคนค่อย ๆ คลายความกังวล (สังเกตได้จากสีหน้า จากที่ซีดเผือด...เป็นมีสีขึ้นมาบ้าง แต่ค่อนข้างจะสีเขียวนะ....) มองเห็นคนกล้าที่สุดของคณะคือ น้องสาวหุ่นเสาโทรเลข (คนเกิดยุคหลังเดือนมี.ค.51 คงไม่มีใครได้เห็นแล้วแหล๊ะ) ที่ค่อนข้างไม่ค่อยวิตก...เครียดกับสถานการณ์นี้เท่าไหร่ทราบว่าบ้านน้องแกติดทะเล...แต่ขอโทษทะเลบ้านเราหรอกนะ (สทิงพระ จ.สงขลา น่ะ) เริ่มสาธยายว่าสภาวะการณ์น่ะ ธรรมดาคะ..ก็มันจะเข้าช่วงมรสุมแล้ว.....สักพักไกด์คนเก่งก็บอกว่าเราจะแวะเกาะแสนสวยเกาะแรก...เกาะราวี....และก็จริงดังคาดคะ.....สวย สวยมาก ๆ สวยจริง...เกาะอะไรสวย ที่สวยน่าจะยังอยู่ห่างไกล หรือ มนุษย์ยังไม่ตามเข้ามาราวีธรรมชาติมากนัก...รีบ ๆ รีบคะ รีบกันถ่ายรูป ทุกมุนทุกแง่...เก็บไว้...จนลืมไปเลยว่าเมื่อตะกี้นี้เจอกับอะไรมา...แล้วก็ต้องบอกลาเกาะสวยเกาะแรกไปเพื่อไปตามกำหนดการที่ต้องรีบจากที่เสียเวลาไปมากแล้ว ที่นี้น้ำทะเลสวยมากใสแจ๋ว เห็นปะการัง ปลาการ์ตูนเยอะมาก ๆ คณะทานข้าวกันบนเรือเพื่อไม่ให้เสียเวลามากนัก กับข้าวที่เค้าทำมาก็อร่อยคะไม่ใช่เพราะหิว ยอด้วยความจริงใจคะ แล้วก็ทานหมดกล่องด้วย.....เรือมาจอดแวะตรงกลางระหว่างเกาะอะไรแล้วก็ไม่ทราบ แล้วให้เราลงดำน้ำดูปะการังสีกันคะ เมื่อลงดูสวยมาก ๆ คะแม้คลื่นจะแรงมากไปสักหน่อย แต่ก็รีบขึ้นนะเพราะคลื่นเริ่มแรง แล้วออกเดินทางต่อไปเข้าพักที่เกาะหลีเป๊ะ ซึ่งก็สวยงามมากเป็นเกาะใหญ่ ซึ่งฝั่งตรงข้ามห่างกันไม่มากนักก็คือเกาะอาดัง ที่พักเป็นรีสอร์ท ขนาดกลางสวยมากไต่ระดับไปตามความสูงของตัวเกาะมีบันไดเป็นระยะ หาดทรายขาว ยาวสวย พร้อมรับประทานอาหารค่ำ ซึ่งก็หนีไม่พ้นอาหารทะเลที่ขึ้นชื่อของที่นี่ อันดับที่ 1 ที่คณะเราให้คะแนนคือ ปลาม้องทอดกรอบราดพริก ตัวใหญ่มากค่ะและอร่อยด้วย..ทานข้าวมื้อค้ำเสร็จปุ๊ป ไกด์คนเก่งก็พาเดินออกกำลังกายรอบเกาะระยะทางไปกลับ 6 กม. เพื่อเยี่ยมชมความเป็นอยู่ของชาวเล ซึ่งที่นีโก้มากเลยได้รับนามสกุลพระราชทาน "หาญทะเล" ซึ่งเป็นนามสกุลเดียวที่ทุกคนในชุมชนใช้ทุกครัว ใคร ๆ อยากเป็นเกียรติและมีนามสกุลพระราชทาน ชาวเลที่นี่เค้าก็ไม่รังเกียจนะคะ ยกเว้นสาวอายุเกิน 40 ไปแล้ว (อ่ะ ๆ ไม่ใช่พูดเองนะ).......นอนบรรยากาศดีมาก ๆ จะบอกให้ยกเว้นคณะบางคนส่วนมากที่ไม่มีโอกาสได้นอนเพราะมัวฝึกทักษะการใช้นิ้วและการคิดเลขอยู่จนลืมซึมซับบรรยากาศไป...
ตอนเช้าทุกคนออกรับอากาศบริสุทธิ์ถ่ายภาพกันชนิดหมดไฟก็ไม่ไฟสำรองว่างั้นเถอะ แต่พอถูกต้อนให้มารับประทานอาหารเช้าได้ไม่ถึง 5 นาทีเท่านั้น เหตุการณ์เดิมก็เกิดขึ้นอีก ลมแรงมาก ตามด้วยฝน นาน ๆ และนาน พอดู ท้องฟ้ามือ ทุกคนมองหน้ากันและพูดเกือบพร้อมกันว่าพร้อมที่จะพักต่อที่นี่ไม่ไปไหนอีก 1คืน (แต่หากพักอีก 1 คืนจริงก็คงเจอหนัก หางเลขจากสภาวะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ประเทศเพื่อนบ้านเราแน่นอน ..เพราะคณะเรากลับถึงหาดใหญ่เย็นของวันที่ 5 พ.ค. วันที่ 6 เช้าก็มีข่าวเหตุภัยธรรมชาติที่พม่า) แต่พอสักพักเหตุการณ์ก็สงบ ซึ่งเจ้าของรีสอร์ทรูปหล่อ บอกเราว่าเหตการณ์ปกติในหน้าย่างเข้ามรสุมเช่นนี้ ถือว่ายังไม่อันตรายสามารถเดินทางได้ ปลอดภัยแน่นอน
ซึ่งคณะเราก็เชื่ออีกอ่ะ...เดินทางกันทันทีเพราะเค้าบอกว่าให้ออกเช้า ๆ เพื่อไม่ให้ทันเกิดเหตุการณ์ซึ่งมักเกิดช่วง 14-15 นาฬิกา เดินทางได้เพียง 15 นาที ทั้งลม และคลื่นที่สูงมากๆ ก็กระหน่ำเข้าใส่เรือตลอด ทำให้การเดินทางช้ามาก ลูกเรือบอกเค้าจะไม่กลัวฝนเลยเพราะถ้าฝนตกลงมาลมจะไม่แรงสามารถเดินเรือต่อไปได้ แต่ถ้าเป็นลม คลื่นสูง ค่อนข้างหนักใจ (แหม่...มันให้กำลังใจดีจริง ๆ ) ทุกคนก็สงบ..ไปได้สัก 1 ชั่วโมง ก็เห็นว่าลมค่อยลดลงแต่คลื่นยังสูงก็ข่ม เรียกขวัญและกำลังใจด้วยกัน ฝึกทักษะการใช้นิ้วและการบวกเลขอีกครั้งหนึ่ง บนชั้น2 ของเรือ (คราวนี้คณะ ..ผู้ร่วมฝึกทักษะแพ้ เลยใช้วิธีเลิก ๆ ไม่ไหวแล้วเมาคลื่น เพื่อไม่ให้เสียหายกับกระเป๋าไปมากกว่านี้ ในขณะที่หัวหน้าคณะฝึกกลับมีอาการดีใจที่ลม คลื่นเป็นใจ..เป็นไปได้)
แม้จะมีคลื่นแต่เราชาวคณะนักเที่ยวก็ไม่วายแวะเกาะโน่นเกาะนี้เป็นระยะแม้จะไม่ได้ลงแค่เฉียดก็ยังดี จนมาหยุดพักให้รับประทานอาหารเที่ยงที่เกาะไข่ อันเป็นสัญญลักษณ์ประจำจังหวัดสตูล (ไม่บอกว่าเป็นรูปอะไรหาดูกันเอาเอง) ก่อนจะเดินทางกลับถึงบ้านที่หาดใหญ่ และสงขลา โดยปลอดภัย
ขอขอบคุณทัวร์ และไกด์คนเก่ง และชาวคณะที่ชวนกันกลับมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์หางลขนะคะ
อย่าตัดไม้ทำลายป่ากันอีกเลย