รู้เท่าทันโลกธรรม ไม่ถลำสู่ทุกข์


โลกธรรม
 

บทสนทนา           ระหว่าง นายเตรียม กับ นายพร้อม 

เหตุเกิด           บ้านสังขารขันธ์    เลขที่     ตำบลเจตสิก   อำเภอจิต   จังหวัดเบญจขันธ์ 

 

..........นายพร้อม เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งในจังหวัดเบญจขันธ์  เป็นผู้ที่ชาวบ้านรู้จักกันโดยทั่วไป   ทั้งยังเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านอีกด้วย  เนื่องจากท่านเป็นคนสงบเสงี่ยม  สุขุมเยือกเย็น ดำรงตนอยู่ในคุณธรรมและบำเพ็ญตนเป็นประโยชน์แก่สังคมอย่างสม่ำเสมอ 

...........วันหนึ่ง นายเตรียม ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยได้เข้าพบนายพร้อมและได้สนทนากันอย่างเป็นกันเอง การสนทนาได้ดำเนินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงช่วงท้ายก่อนที่นายเตรียมจะขอลากลับ ได้สนทนากันถึงคติธรรมในการดำเนินชีวิตซึ่งน่าสนใจยิ่ง  จึงได้บันทึกไว้เป็นข้อคิดสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

 

นายเตรียม…       คุณพร้อมครับ  ในฐานะที่คุณประสบความสำเร็จสิ่งที่หวังเสมอมา ยิ่งตอนนี้รู้สึกว่า

อะไร ๆ ก็สมหวังไปหมด  คุณรู้สึกอย่างไรบ้างล่ะครับ

นายพร้อม…        ธรรมดาครับ  เพราะเมื่อเรามีเป้าหมายกับอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเราพยายามสร้างเหตุให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น  หากเหตุมันสมบูรณ์  มันก็ย่อมทำให้เราได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ

นายเตรียม…       แล้วถ้าคุณต้องผิดหวังหรือสิ่งที่คุณได้มาต้องสูญหายไปล่ะครับ  คุณจะรู้สึกอย่างไร ?

นายพร้อม…        ก็ธรรมดาครับ  เพราะเมื่อมีได้ก็ต้องมีเสีย  ความผิดหวังก็เป็นเรื่องที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย  ยามผิดหวัง  เราก็ต้องยอมรับความจริง  แต่เราก็ต้องค้นหาเหตุว่าทำไมเราต้องผิดหวัง  หากเพราะเราผิดพลาดเอง เราก็ต้องแก้ไขที่ตัวเราเอง ในกรณีที่สูญเสียอะไรสักอย่างก็เหมือนกัน  หากมันเกิดจากความผิดพลาดของเรา  เราก็ควรตั้งสติและพยายามแก้ข้อบกพร่อง  แต่ต้องไม่เสียอกเสียใจจนมืดตื้อจนหาทางแก้ไม่ได้น่ะคับ

นายเตรียม…       ดีจังครับ  ถ้าทุกคนคิดอย่างคุณ ก็คงไม่มีข่าวเศร้า  เช่น  คนกระโดดตึกตายเพราะผิดหวังคนรักหรือสอบเอ็นฯไม่ติดกระโดดน้ำตาย ใช่ไหมครับ  แต่เอ…ตอนนี้คุณพร้อมได้เลื่อนขั้นใหม่ ๆ นิครับ  ผมว่าน่าจะรู้สึกดีใจ ปลื้มใจในความสำเร็จมากใช่ไหมครับ

นายพร้อม…        ก็ธรรมดาอีกเหมือนกันล่ะครับ

นายเตรียม…       คุณพร้อมครับ  ยศฐาบรรดาศักดิ์มันไม่ใช่ได้มากันง่าย ๆ นะครับ  การจะบอกว่า รู้สึกธรรมดาเวลาได้มานั้น มันไม่ง่ายไปหรือ เพราะผมเห็นเวลามีการรับตำแหน่งต่าง ๆ ในสังคมทั่วไป  บางคนเขามีการฉลองกันใหญ่โต มีผู้คนไปร่วมยินดีกันมากมาย  

นายพร้อม…        การฉลองและร่วมกันยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี  ไม่ใช่เรื่องผิดครับ  ดีเสียอีก  เพราะนั่นเป็นการแสดงออกถึงไมตรีจิต  มีมุทิตาธรรมต่อกัน  แต่ก็ไม่ควรเกินพอดี  ที่สำคัญนั้นที่ผมบอกว่าเมื่อได้ยศผมก็รู้สึกธรรมดานั้น  เพราะเมื่อเราสร้างเหตุดี  สมควรแก่ยศตำแหน่งต่าง ๆ และโอกาสอำนวยให้  เราก็ย่อมได้รับมันมา  แต่เราไม่ควรมัวเมากับยศศักดิ์  เพราะเหล่านั้นเป็นเพียงหัวโขนที่มาสวมเพียงชั่วคราวเพื่อให้เราได้แสดงบทบาทตามฐานานุรูปเท่านั้น  สักวันหนึ่งมันก็ต้องจากเราไป  และเราก็ยังคงเป็นเราอยู่อย่างเดิม  พระพุทธเจ้าสอนว่า  “เกิดเป็นคนอย่าลืมตัว”  ภาษาพระท่านว่า “อัตตานัง  นาติวัตเตยยะ”  ไงคับ

นายเตรียม…       แล้วถ้าวันหนึ่งยศฐาบรรดาศักดิ์ที่ได้มาต้องเสื่อมไปล่ะครับ  คุณจะรู้สึกอย่างไร ?

นายพร้อม…        ก็ธรรมดาอีกนั่นแหล่ะ   เพราะทุกอย่างมันไม่มีอะไรคงทนถาวร  ยศฐาบรรดาศักดิ์ก็เป็นเพียงสิ่งที่สมมติขึ้น  เพื่อกำหนดหมายหน้าที่หรือเพื่อเชิดชูผู้ทำหน้าที่เท่านั้น  เมื่อถึงคราวเหมาะสมไม่ว่าด้วยเหตุอะไรมันก็ต้องเสื่อมสลายหลุดลอยหายไป  เป็นสมบัติผลัดกันชมเท่านั้นเอง  

นายเตรียม…       เก่งจริงน่ะครับ คุณพร้อม   คุณสามารถอธิบายให้ผมเข้าใจโลกมากขึ้นกว่าเดิมเยอะแต่ผมสงสัยว่าจะหาคนอย่างคุณนี้ได้สักกี่คนในโลก  ที่อะไรก็รู้สึกธรรมดา  ๆ ไปหมด

นายพร้อม…        จริง ๆ แล้วคนที่รู้สึกเช่นนี้  ไม่ใช่ผมเพียงผู้เดียวหรอกครับ  ผมเชื่อแนว่ายังมีคนอีกหลายคนคิดอย่างผมและสิ่งที่ผมพูดมาก็ไม่ใช่ว่าผมเกิดความรู้สึกนึกคิดนี้เอาเอง   แต่เพราะพระพุทธองค์ทรงสอนไว้ครับ  ทรงสอนเกี่ยวกับเรื่องโลกธรรม  หมายถึง ธรรมดาของโลก  ซึ่งมีถึง    อย่าง  ที่เราพูดมานั้นเพียง  ๔ อย่างคือ เรื่องได้ลาภ  เสื่อมลาภ  ได้ยศและเสื่อมยศเท่านั้นเองครับ

นายเตรียม…       อ๋อ…มิน่าล่ะ…คุณพร้อมถึงเข้าใจชีวิตได้ลึกซึ้ง   เพราะพุทธธรรมนี้เองทำให้เป็นเช่นนี้   แล้วโลกธรรมที่เหลืออีก    ล่ะครับ  ผมชักสนใจขอให้คุณพร้อมอธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ ?

นายพร้อม…        ได้ซิครับ  พระพุทธเจ้าสอนว่า “สัพพทานัง  ธัมมทานัง  ชินาติ  การให้ธรรมะเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง”   เรื่องโลกธรรม    อย่างที่เหลือนั้น  คือ  สรรเสริญ  นินทา สุข และทุกข์ 

นายเตรียม…       คุณพร้อมครับ  รู้สึกว่า  โลกธรรมทั้ง    จะเป็นคู่ ๆ กันใช่ไหมคับ  ได้ลาภคู่กับเสื่อมลาภ  ได้ยศคู่กับเสื่อมยศ  สรรเสริญคู่กับนินทาและสุขคู่กับทุกข์

นายพร้อม…        ถูกต้องแล้วครับ…โลกธรรมจัดเป็นคู่กัน  ถ้าจัดโดยภาพรวมแล้วมี    ฝ่าย  คือ ฝ่ายหนึ่งเป็นอิฏฐารมณ์ น่าปรารถนา  อีกฝ่ายหนึ่ง คือ อนิฏฐารมณ์  ไม่น่าปรารถนาครับ

นายเตรียม…       ครับ  ถ้าอย่างนั้นว่ากันต่อเถอะครับ  ผมขอถามความรู้สึกอีก    สถานการณ์ที่เหลือเป็นข้อ ๆ ไปดีกว่าน่ะครับ  ในเรื่องสรรเสริญ  ถ้ามีคนรอบข้างมายกย่องสรรเสริญคุณรู้สึกอย่างไรครับ ? และทำไมรู้สึกอย่างนั้น

นายพร้อม…        ธรรมดาครับ  เพราะเมื่อเราทำตัวให้เป็นที่ถูกใจเขา  เขาก็ย่อมสรรเสริญ  สิ่งที่ควรคิดถึงมากกว่าก็คือว่า  คนที่สรรเสริญเป็นใคร  และสิ่งที่เราทำหรือชีวิตที่เราเป็นอยู่น่าสรรเสริญจริงหรือเปล่าต่างหาก   หากว่าคนที่สรรเสริญเราเป็นผู้รู้  เป็นบัณฑิตเราก็ควรมั่นใจในการเป็นอยู่อย่างนั้นว่าไม่ผิดหลักที่ดีงาม  แต่หากผู้ที่สรรเสริญเป็นพาลชน  เราก็ไม่ควรปลื้มใจ  แต่ควรระวังพฤติกรรมของเราให้มาก  ตรวจสอบตัวเราให้มาก  ว่าดีจริงหรือเปล่า หากดีจริง  ถูกต้องก็ไม่เป็นไร  แต่หากไม่ดีจริงก็ต้องแก้ไขเสีย

นายเตรียม…       แล้วถ้าคุณได้รับคำติฉินนินทาจากคนรอบข้างล่ะครับ  คุณรู้สึกอย่างไร ?

นายพร้อม…        ก็ธรรมดาเช่นกัน  เพราะคนที่ไม่ถูกนินทาไม่มีดอกคับ  พระพุทธเจ้าสอนว่า “นัตถิ  โลเก  อนินทิโต  คือ  ในโลกนี้ไม่มีคนไม่ถูกนินทา หรือเหมือนคำที่ท่านว่า “อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ  ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดลงกรีดหิน  แม้องค์พระปฏิมายังราคิน  คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา” ที่สำคัญ  คำติฉินนินทานั้น เราก็ไม่ควรปล่อยให้ผ่านพ้นไป  ควรพินิจพิจารณาดูให้ดี  หากว่าสิ่งที่ถูกติฉินนินทานั้นมันเป็นข้อเสียจริง  ก็ต้องแก้ไข  หากไม่จริงก็ไม่เป็นไร  อย่าไปโกรธเขา  บางครั้งเขาอาจจะเข้าใจผิดซึ่งควรชี้แจง หรือบางครั้งเขาอาจจะอิจฉาริษยาในความดีของเราแล้วพยายามหาความไม่ดีมาแปดเปื้อน  แต่เราก็อย่าหวั่นไหว   จงทำใจให้หยุดนิ่งแผ่เมตตาให้ผู้ที่ไม่ชอบใจเรา  ควรสงสารเพราะคนที่นินทาเรา  ล้วนมีภาวะจิตใจที่ไม่เป็นสุข   เพราะจิตประกอบด้วยอกุศล   ผู้มุ่งร้ายต่อผู้ที่ไม่มุ่งร้าย  ย่อมได้รับผลที่ไม่ดีดุจไฟตามรุกรามตัวหรือดุจถ่มน้ำลายลดฟ้า  นั่นเอง

นายเตรียม…       ครับ…ต่อไปเวลาใครมานินทาว่าร้ายผม  ผมจะทำใจให้ได้อย่างคุณพร้อมครับ  แล้ว

สุขกับทุกข์อีกคู่หนึ่งล่ะครับเป็นอย่างไร…หมายถึงว่า  เวลาคุณได้รับความสุขคุณรู้สึกอย่างไร  เวลาคุณได้รับความทุกข์คุณรู้สึกอย่างไรครับ ?

นายพร้อม…        สุขและทุกข์ก็เหมือนโลกธรรมคู่อื่น ๆ  นั่นแหล่ะครับ  มันเป็นของคู่กัน  เหมือนมีสว่างก็ย่อมมีมืด  มีเย็นก็ย่อมมีร้อน  มีดีก็ย่อมมีชั่ว  เพราะฉะนั้นเวลาประสบสุขทางกายหรือทางใจ  ก็ต้องไม่หลงไหลยินดีจนลืมตัว   เมื่อประสบทุกข์ทางกายและทางใจ  ก็ต้องไม่ทุรนทุราย เศร้าโศก  เสียใจ จนเป็นเหตุให้สุขภาพจิตเสีย  แต่ควรมองว่า  สุขก็ธรรมดา  เพราะเมื่อเหตุปัจจัยแห่งสุขมันถึงพร้อม  มันก็ย่อมอำนวยสุขให้   ทุกข์ก็ธรรมดา  เพราะเมื่อเหตุปัจจัยแห่งทุกข์มันถึงพร้อม  มันก็ย่อมอำนวยทุกข์ให้  ที่สำคัญอีกเช่นกันก็คือว่า  ความสุขเป็นโลกธรรมที่พึงปรารถนา  เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้รับสุข  เราก็ควรดำเนินตามทางสุขนั้นต่อไป  และเมื่อเราประสบทุกข์  นอกจากตั้งใจรับว่าธรรมดาแล้ว  เราก็ต้องตั้งสติกำหนดรู้เพื่อสืบสาวหาทางแก้ไขเสีย

นายเตรียม…       แจ่มแจ้งเลยครับ  นี่แสดงว่าเรื่องโลกธรรมนี้เราควรรู้สึกธรรมดา ๆ ทั้งนั้นใช่ไม่คับ …

นายพร้อม…        ใช่ครับ  แต่ไม่ใช่ว่าปากตอบธรรมดาแต่ใจปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานาน่ะครับ  การรู้สึกว่าโลกธรรมเป็นสิ่งธรรมดานั้น  หมายถึงว่าเราต้องเข้าใจความเป็นจริงตามความเป็นจริง  และพยายามปรับใจให้คงที่  ไม่เอนเอียงยินดียินร้ายนั่นเอง  เพราะเมื่อเรายินดีต่อโลกธรรมฝ่ายดี  เราจะหลงมัน  จนอาจจะขาดสติลืมตัวลืมตนได้  และเมื่อเรายินร้ายต่อโลกธรรมฝ่ายไม่ดี  เราก็จะเสียใจ  เป็นทุกข์  ซึ่งก็ทำให้ขาดสติในการครองตนอีกเช่นกัน  คนเราเมื่อไม่มีสติสมบูรณ์เสียแล้ว  ก็ย่อมตกอยู่ในห้วงแห่งความประมาท  ง่ายแก่การที่จะพลาดพลั้งในการทำ  พูดและคิดน่ะครับ

นายเตรียม…       วันนี้ต้องขอบคุณ  คุณพร้อมมากเลยน่ะครับที่ได้กรุณาให้ความรู้ที่มีคุณค่าสำหรับผม  และผมคิดว่า  ความรู้นี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้คนอีกหลายคนทั้งยังมืดมิดหลงทิศหลงทางกับโลกธรรมอยู่เป็นอย่างมากทีเดียว  ผมจะพยายามกลับไปทำความเข้าใจและทำใจให้ได้อย่างคุณพร้อมครับ…นี่ก็เย็นแล้ว..เดี๋ยวผมต้องขอตัวกลับก่อนน่ะคับ

นายพร้อม…        ไม่เป็นไรครับ…โอกาสหน้าถ้าสนใจอะไรเกี่ยวกับพุทธธรรม  ถ้าผมพอจะช่วยได้ยินดีครับ…แล้ววันหลังค่อยมาคุยกันอีกน่ะครับ…

…จบ…

ข้อคิดโดยสรุป     ลาภ เสื่อมลาภ  ยศ  เสื่อมยศ  สรรเสริญ นินทา  สุข  และทุกข์   เป็นเรื่องธรรมดาของโลก  หากเราเตรียมใจไว้สำหรับรับกับมันและพร้อมที่จะเข้าใจมันโดยละวางจากความยึดมั่นถือมั่น  ปรุงแต่งสร้างสรรค์ให้เป็นไปตามใจของเราเสียได้  เชื่อแน่ว่าเมืองเบญจขันธ์  คือ  ชีวิตของเราสุขสันต์แน่เหมือนอย่างที่นายพร้อมเป็นตัวอย่างทางความรู้สึกข้างตนนั่นไง…แล้วคุณล่ะรู้สึกอย่างไรเมื่อ….เจอโลกธรรม”

คำสำคัญ (Tags): #โลกธรรม
หมายเลขบันทึก: 179110เขียนเมื่อ 28 เมษายน 2008 01:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 17:34 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
  • มาเรียนธรรมกับ "ผู้ใหญ่พร้อม" ครับ

สาธุ อนุโมทนาค่ะ

เปรียญ 9 ก็เขียนอะไรแบบนี้ได้

เข้าใจธรรมง่ายดีนะคะ

ขอบคุณทั้งสองท่านที่แวะเข้ามาคอมเม้นน่ะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท