กฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสลัดอากาศ ( Hijack )
สลัด หมายถึง โจรซึ่งปล้นเรือต่าง ๆ กลางทะเลหลวง เรียกว่า โจรสลัด เรือโจรสลัดสมัยก่อนมักจะชักธงรูปหัวกะโหลกมีกระดูกไขว้อยู่ข้างล่าง.
คำว่า สลัด ตามความหมายนี้มาจากคำภาษามลายูว่า salat (อ่านว่า ซา-ลัต) ซึ่งแปลว่า ช่องแคบ หรือ ผู้ร้ายที่ดักปล้นตามช่องแคบ ต่อมาคำว่า สลัด ซึ่งใช้เรียกโจรประเภทนี้ได้ขยายความหมายไปเรียกโจรจี้เครื่องบินว่า สลัดอากาศ ด้วย
คำว่า Hijack เดิมทีนั้น หมายถึง การกระทำการชิงทรัพย์บนยานพาหนะที่กำลังวิ่งอยู่ อาจจะเป็นเรือ รถยนต์ รถไฟ หรือเครื่องบิน แต่ปัจจุบันถือว่าเป็นการจี้เครื่องบิน ซึ่งเป็นการกระทำด้วยการใช้กำลังบังคับให้เปลี่ยนเส้นทางการบินตามปกติ ไปสู่ทางการบินตามที่ต้องการของตน หรือจี้เครื่องบินเพื่อบังคับให้ผู้โดยสารเป็นตัวประกันเพื่อต่อรอง
ขบวนการจี้เครื่องบินที่นับว่ายิ่งใหญ่ที่สุดคือ ขบวนการกองโจรของอาหรับ ในปี ค.ศ.1970 รายแรกเครื่องบินสหรัฐอเมริกาถูกจี้บังคับให้ไปลงที่ไคโร รายที่สองเครื่องบินอิสราเอลถูกจี้แต่ไม่สำเร็จ ได้จับกุมสาวอาหรับชือ ไลลา คาลิด อีกคนหนึ่งถูกยิงเสียชีวิต รายที่สามเครื่องบินของบริษัทสวิสแอร์ ถูกยึดที่เมืองซูริค ถูกบังคับให้ไปลงที่จอร์แดน ผู้ร้ายตั้งเงื่อนไขให้ปล่อยไลลา คาลิค และให้อิสราเอลปล่อยเชลยศึกอาหรับจำนวน 3 พันคน จะขอยกข่าวเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสลัดอากาศ ดังนี้
อัล-จาซีร่าแพร่ภาพย้ำ'ลาเดน'เสี้ยมสลัดอากาศ
บินพลีชีพ11กันยาฯจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์โลก
อัล-จาซีร่าแพร่ภาพวิดีโอเทป ตอกย้ำสลัดอากาศพลีชีพ 11 กันยาฯได้รับการอบรมสั่งการจาก'บิน ลาเดน' ปฏิบัติการสั่งสอนอเมริกา สร้างจุดเปลี่ยนบนเส้นทางประวัติศาสตร์อารยะธรรมโลกสำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงโดฮา เมืองหลวงของกาตาร์ ว่าเมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา สำนักข่าวสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม "อัล-จาซีร่า" ได้เผยแพร่ภาพวิดีโอเทป ซึ่งทางสถานีอ้างว่า เป็นภาพที่ได้รับการบันทึกไว้ที่เมืองกันดาฮาร์ เมืองศูนย์กลางทางภาคตะวันออกของอัฟกานิสถาน ก่อนหน้าที่จะเกิดการวินาศกรรม ใช้เครื่องบินโดยสารพาณิชย์ของสหรัฐ พุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และสำนักงานกระทรวงกลาโหมสหรัฐ เพียงไม่กี่เดือนและผู้ที่อยู่ในภาพนั้น ล้วนเป็นสลัดอากาศพลีชีพของอัลเคด้า องค์การก่อการร้ายต่อต้านการยึดครองดินแดนคาบสมุทรอาหรับของสหรัฐ และอิสราเอล ขณะเดียวกัน ได้มีเสียงพูดของนายโอซามา บิน ลาเดน หัวหน้าองค์การก่อการร้ายอัลเคด้าแทรกอยู่ด้วย โดยระบุว่า "การโจมตีนิวยอร์กและวอชิงตัน" นั้น คือการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ช่วยชำระล้างกลุ่มชาติอาหรับ ให้ปราศจากกลุ่มผู้ปกครองที่ทรยศหักหลังประชาชนรวมทั้งบรรดาผู้นำในระดับรองลงมา
นอกจากนี้ นายบิน ลาเดน ยังได้ระบุชื่อนายโมฮัมหมัด อัตต้า หัวหน้าทีมก่อการร้ายชาวอียิปต์ ว่าเป็นผู้นำทีมสลัดอากาศที่จี้บังคับเครื่องบินพุ่งชนตึกระฟ้าเวิลด์เทรดฯหลังแรก นายไซอัด อัล จาร์ราห์ นักก่อการร้ายจากเลบานอน นายมาร์วัน อัล-เชห์ฮี จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ร่วมกันจี้บังคับเครื่องบินพุ่งอาคารระฟ้าของเวิลด์เทรดฯอีกหลัง พร้อมกันนี้ อัล-จาซีร่า ได้เผยแพร่ภาพถ่ายสลัดอากาศพลีชีพคนอื่นๆ ที่เหลือและเป็นกลุ่มคนเดียวกันกับที่เอฟบีไอได้ระบุหลังเกิดเหตุวันสยองโลก 11 กันยาฯแล้ว วิดีโอเทปบันทึกภาพกลุ่มสลัดอากาศอากาศพลีชีพม้วนล่าสุด เผยให้เห็นกลุ่มชายสี่คนระบุชื่อนายวาอิล อัลเชรี นายแฮมซ่า อัลกัมดี นายซาอิด อัลกัมดี และนายอาเหม็ด อัลนามี โดยมีเสียงของนายอับดุล อาซิซ อัล-โอมาริ สลัดอากาศพลีชีพชาวซาอุฯกล่าวปิดท้าย ขอบคุณนายบิน ลาเดน ที่ได้ให้การฝึกฝนอบรมกลุ่มสลัดอากาศพลีชีพ สำหรับการโจมตีเพื่อจะได้สื่อให้เหล่าผู้นอกศาสนาอิสลามและสหรัฐอเมริกา ได้รับรู้ว่า จะต้องออกไปให้พ้นจากดินแดนคาบสมุทรอาหรับ ละเลิกการสนับสนุนกลุ่มชาวยิวในดินแดนปาเลสไตน์และขอพระเจ้าโปรดประทานรางวัลแก่นายบิน ลาเดน ปกป้องคุ้มครองนายบิน ลาเดน อัล-จาซีร่ารายงานว่า วิดีโอเทปม้วนนี้ นับเป็นหลักฐานชิ้นแรกที่ยืนยันถึงการบงการของนายบิน ลาเดน ในการโจมตีสหรัฐอเมริกา และจะนำออกเผยแพร่ในวันที่ 12 กันยายนนี้ด้วย ในขณะที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐได้พบและเผยแพร่วิดีโอเทปที่เผยถึงการบงการของนายบิน ลาเดน ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคมปีที่แล้ว
จากปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้พนักงานบริษัทการบินเกือบทั่วโลกได้นัดหยุดงาน และยื่นประท้วงต่อองค์การสหประชาชาติ การกระทำดังกล่าวผิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ การจี้เครื่องบินครั้งสำคัญที่สุดซึ่งโลกต้องจารึกเอาไว้ก็คือ การจี้เครื่องบินโดยขบวนการก่อการร้าย พุ่งเข้าชนตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ และเพ็นตากอน ในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544
ความร่วมมือในการปราบปรามการยึดเครื่องบินหรือการกระทำที่เป็นภัยต่อการบินพลเรือน
โดยที่การจี้เครื่องบินเกิดขึ้นบ่อย ๆ หรือมีการทำลายสิ่งอำนวยนความสะดวกสำหรับการบิน ซึ่งประทบต่อความปลอดภัยของการบินมาก จึงเกิดความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้
ความตกลงเกี่ยวกับการปราบปราม
องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศได้จัดประชุมระหว่างประเทศเพื่อสร้างความร่วมมือในการปราบปรามการกระทำที่ผิดกฎหมายต่อการเดินอากาศ โดยมีสนธิสัญญาหลายฝ่ายที่สำคัญหลายฉบับ ด้วยกัน ได้แก่
1. อนุสัญญากรุงโตเกียวว่าด้วยความผิดและการกระทำอื่น ๆ บางประการที่กระทำบนอากาศ
อนุสัญญากรุงโตเกียว ค.ศ.1963 ได้กำหนดให้ประเทศภาคีร่วมมือในการปราบปรามความผิดทางอาญาทุกประเภทที่กระทำโดยบุคคลที่อยู่บนเครื่องบินในขณะที่เครื่องบินกำลังบิน โดยให้ประเทศที่เครื่องบินจดทะเบียนมีอำนาจลงโทษ ส่วนประเทศอื่นที่มีอำนาจลงโทษในกรณีที่
- ความผิดที่มีผลกระทบต่อดินแดนของตน
- ความผิดกระทำโดยหรือกระทำต่อคนชาติของตน หรือบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ประจำในประเทศของตน
- ความผิดที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศตน
- ความผิดต่อกฎข้อบังคับเกี่ยวกับการบินของประเทศตน
อนุสัญญากรุงโตเกียวให้ถือว่าเครื่องบินกำลังบินให้นับตั้งแต่ขณะที่เครื่องบินใช้พลังเพื่อที่จะบินขึ้นจนถึงขณะที่การวิ่งจากการลงสู่พื้นหยุดลง
2. อนุสัญญากรุงเฮก เพื่อปราบปรามการยึดอากาศยานโดยฝ่ายมิชอบกฎหมาย
หลังจากที่ได้ทำอนุสัญญากรุงโตเกียวก็พบว่า ปัญหาจากการจี้เครื่องบินซับซ้อนกว่าที่อนุสัญญากรุงโตเกียวจะแก้ไข จึงมีการประชุมที่กรุงเฮกเพื่อทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ อนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ.1970 โดยกำหนดลักษณะความผิดไว้ดังนี้ การที่บุคคลหนึ่งบนเครื่องบินที่กำลังจะบินซึ่งมีจุดเริ่มต้นบิน หรือจุดสิ้นสุดการบินอยู่นอกดินแดนของประเทศที่เครื่องบินจดทะเบียน ได้กระทำการยึดหรือควบคุมเครื่องบินโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ด้วยการใช้กำลังบังคับหรือคุกคาม หรือด้วยการขู่เข็ญ หรือพยายามกระทำการเช่นว่านั้น
เครื่องบินที่กำลังบินนั้น อนุสัญญากรุงเฮกให้นับตั้งแต่ประตูด้านนอกของเครื่องบินทุกบานเปิด ภายหลังจากที่ผู้โดยสารขึ้น จนถึงประตูเหล่านั้น เปิดออกเพื่อให้ผู้โดยสารลง ในกรณีที่ถูกบังคับให้ลงสู่พื้นดิน ให้ถือว่าเครื่องบินยังคงทำการบินต่อไป จนกว่าเจ้าหน้าที่ได้เข้ารับผิดชอบเครื่องบิน บุคคล และทรัพย์สินในเครื่องบิน จะเห็นได้ว่าช่วงระยะเวลาที่เครื่องบินกำลังบินตามอนุสัญญากรุงเฮกยาวกว่าอนุสัญญากรุงโตเกียว
ประเทศที่มีอำนาจลงโทษก็กำหนดไว้ดังนี้
- ประเทศที่มีเครื่องบินจดทะเบียน
- ประเทศที่เครื่องบินที่ถูกจี้ลงจอดพร้อมกับผู้จี้เครื่องบิน
- ประเทศที่ผู้จี้เครื่องบินปรากฏตัว
อนุสัญญากรุงเฮกได้เพิ่มประเทศที่มีอำนาจ ลงโทษกว้างขวางกว่าอนุสัญญากรุงโตเกียว โดยให้ประเทศภาคีทุกประเทศมีอำนาจลงโทษผู้จี้เครื่องบิน ที่ปรากฏตัวในดินแดนของตน ซึ่งคล้ายกับการลงโทษโจรสลัดในทะเลหลวง ที่กฎหมายระหว่างประเทศให้ทุกประเทศลงโทษได้
3. อนุสัญญามองเรอัล เพื่อการปราบปรามการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายต่อความปลอดภัยของการบินพลเรือน
หลังจากที่ได้ทำอนุสัญญากรุงเฮกได้ไม่นานก็พบ่า อนุสัญญากรุงเฮกยังไม่เพียงพอที่จะปราบปรามการจี้เครื่องบินอีก จึงมีการประชุมที่นครมองเรอัล ประเทศแคนาดา และทำอนุสัญญามองเรอัล ค.ศ.1971
อนุสัญญามองเรอัลได้ขยายเพิ่มความผิดเกี่ยวกับการจี้เครื่องบิน โดยให้คลุมถึงความผิดดังต่อไปนี้
- ประทุษร้ายบุคคลในเครื่องบินที่กำลังจะบิน ถ้าการกระทำอาจเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของเครื่องบิน
- ทำลายหรือก่อความเสียหายแก่เครื่องบินที่อยู่ในขณะบริการ
- วางเครื่องมือหรือวัตถุระเบิดในเครื่องบินที่อยู่ในขณะบริการ ซึ่งอาจทำลายหรือก่อความเสียหายแก่เครื่องบิน
- ทำลายหรือก่อความเสียหายแก่เครื่องอำนวยความสะดวกในการเดินอากาศ เช่น เครื่องมือสื่อสาร เครื่องหมายสำหรับการเดินอากาศ หรือเข้าแทรกแซงกับการปฏิบัติการของเครื่องอำนวยความสะดวกที่อาจเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของเครื่องบินที่กำลังบิน
- แจ้งข่าวเท็จซึ่งเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของเครื่องบินที่กำลังจะบิน
อนุสัญญากรุงมองเรอัลมีข้อแตกต่งกับอนุสัญญากรุงโตเกียวและกรุงเฮก คือ ผู้กระทำความผิดตามอนุสัญญากรุงมองเรอัลไม่จำเป็นต้องเป็นบุคคลที่อยู่ในเครื่องบินลำที่ถูกจี้ ผู้จี้เครื่องบินอยู่บนพื้นดินก็ได้ ส่วนอนุสัญญาอีก 2 ฉบับ ผู้กระทำผิดอยู่ในเครื่องบินที่ถูกจี้
นอกจากนี้อนุสัญญากรุงมองเรอัล ยังได้รวมความผิดที่มิได้กระทำต่อเครื่องบินโดยตรง แต่กระทำต่อเครื่องมือสื่อสาร ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งความไม่ปลอดภัยของเครื่องบิน อีกทั้งยังได้รวมความผิดการแจ้งข่าวเท็จซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อเครื่องบินด้วย
สำหรับการลงโทษนั้น อนุสัญญากรุงมองเรอัลได้ให้ประเทศที่มีอำนาจลงโทษในทำนองเดียวกันกับอนุสัญญากรุงเฮก เพียงแต่เพิ่มการลงโทษความผิดที่มิได้เกิดขึ้นบนเครื่องบินให้ประเทศที่มีความผิดนั้นเกิดขึ้นทำการลงโทษ
อ่านบทความแล้วต้องการความรู้เพิ่มเติมอีก
มีคำอธิบายโดยละเอียดของทั้ง 3 อนุสัญญาไหม