คนโง่ คนฉลาด คนมีปัญญา
ฉลาด ย่อมดีกว่าโง่ แต่ฉลาดอย่างเดียวไม่พอ ใช้ปัญญาและธรรมมะเข้ามาช่วย ทำอะไรถ้ามีปัญญานำร่องความวุ่นวายจะไม่เกิดขึ้นกับตนเองและสังคม
1.การพูด
คนโง่-ชอบใช้อารมณ์พูดจึงกระทบตนและคนอื่นเนืองๆ
คนฉลาด-ชอบใช้เหตุผลพูด จึงถูกต้องมากประสบความสำเร็จมาก แต่แห้งแล้งและไร้ความรู้สึก
คนมีปัญญา-ชอบใช้ธรรมมะพูด เหนือถูกเหนือผิด บริสุทธิ์เป็นหนึ่งเดียวกับความสำเร็จโดยรวม
2.การทำงาน
คนโง่-ทำงานเพื่อเงิน จึงได้เงินมาอย่างเหนื่อยยาก
คนฉลาด-ทำงานเพื่องานจึงได้ผลงานที่ยิ่งใหญ่และได้เงินมาโดยไม่ยาก
คนมีปัญญา-ทำงานเพื่อหยิบยื่นคุณค่าให้กับสังคม จึงได้รับผลงานน่าชื่นชม ทรัพย์ ชื่อเสียง มิตร และความสุขย่อมติดตามมา
3.การดำเนินชีวิต
คนโง่-มักโกงเขากิน กรรมจึงกระหน่ำให้เสียทรัพย์จะจนอยู่ร่ำไป และมีศรัตรูคอยกัดกร่อนตลอดเวลา
คนฉลาด-แข่งกันกินอย่างถูกกฏหมาย จึงยุ่งยากและพลาดไม่ได้และมีคู่แข่งคอยเหยียบย่ำเสมอ
คนมีปัญญา-แบ่งกันกินตามความพอดีในระบบสมดุลจึงมีคนช่วยสร้าง ช่วยรักษา ช่วยเสพ มีมิตรร่วมรับผิดชอบ ร่วมทุกข์ร่วมสุขโดยมาก
4.การปรนเปรอ
คนโง่-เอาแต่ใจตนเองจึงได้รับความสะใจเป็นผลและความรังเกียจเป็นรางวัล
คนฉลาด-เอาใจคนอื่นจึงได้รับความลำบากเป็นผลและความรักความเห็นใจเป็นรางวัล
คนมีปัญญา-ไม่เอาทั้ง 2 อย่าง เพราะรู้ว่าเป็นกิเลสและตัณหาทั้งคู่ แต่เอาสัจจะเป็นที่ตั้งจึงได้รับคุณค่าเป็นผลและความสุขเป็นรางวัล
5.อวดตน
คนโง่-ชอบอวดตัวจึงได้รับความหมั่นใส้การต่อต้านและความเจ็บปวดเป็นรางวัล
คนฉลาด-ชอบถ่อมตัวจึงได้รับความเห็นใจและความช่วยเหลือเป็นรางวัล
คนมีปัญญา-มั่นใจตนแต่ไม่นิยมแสดงตน ถ่วงดุลเป็นระหว่างการยกตนกับการถ่อมตน การวางตนและสำแดงบทบาทตามหน้าที่จึงได้รับความเคารพเชื่อถือเป็นรางวัล
6.สติ
คนโง่-เมาคำพูด ประคองสติไม่อยู่จึงพลั้งพุดพล่อยบ่อยๆ สร้างกรรม สร้างศรัตรูมากมาย
คนฉลาด-บ้าความคิด เขม่าเต็มสมอง จึงเต็มไปด้วยจิตหลอน สร้างมารยา หลอกตน หลอกคนอื่น
คนมีปัญญา- บ้าความสงบ จึงพบสติเต็มตื่นเป็นหลักให้ตนเองและคนอื่นได้
7.มารยาท
คนโง่-แข็งกระด้างจึงล้มเหลวดั่งใบไม้ร่วงหล่นลงสู่ปฐพี
คนฉลาด-ยืดหยุ่นจึงกระจายไปตามสถานที่ต่างๆดั่งรากไม้แผ่ซ่านในปฐพี
คนมีปัญญา-อ่อนโยนจึงเจริญงอกงามดั่งดอกไม้พุ่งสู่ที่สูง
8.เวลา
คนโง่-พร่ำเพ้อกับอดีตเปลี่ยนแปลงไม่ได้
คนฉลาด-เพ้อเจ้อกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
คนมีปัญญา-ยืนอยู่บนปัจจุบัน ยึดอดีตปัจจุบันให้เป็นเส้นตรงเดียวกัน
9.การบริหารอารมณ์
คนโง่-มักจมอยู่ในอารมณ์
คนฉลาด- ปฏิเสธอารมณ์
คนมีปัญญา-จะบริหารอารมณ์เป็น สร้างอารมณ์ที่ควรสร้าง เสพอารมณ์ที่ควรเสพ รักษาอารมณ์ที่ควรรักษา สลายอารมณ์ที่ควรสลาย
10.สำนึกในส่วนรวม
คนโง่-คิดแต่เรื่องส่วนตัว
คนฉลาด-คิดแต่เรื่องส่วนรวม
คนมีปัญญา- คิดแต่เรื่องส่วนรวมเชื่อมโยงด้วยคุณธรรม
11.การอยู่รอด
คนโง่-เอาแต่ตัวอยู่รอด
คนฉลาด-เอาหมู่คณะอยู่รอด จึงอยู่รอดปลอดภัยแต่ไร้ระเบียบ
คนมีปัญญา-เอาระบบรอด จึงสามารถสร้างสิ่งใหม่บนฐานเก่าได้อย่างรวดเร็ว
12.ธรรมมะ
คนโง่-ดูหมิ่นธรรมมะ
คนฉลาด- ศึกษาธรรมมะ จึงรู้สึกและดำเนินชีวิตด้วยดี
คนมีปัญญา-ใช้ธรรมมะดำเนินชีวิต อย่างเหนือชั้น
ข้อเขียนบทความนี้ ได้บันทึกมาจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เดือนมีนาคม 2549 กลับไปอ่านพบจึงได้นำมาบันทึกอีกครั้ง
สวัสดีค่ะ
อยากให้คนที่มีบทบาททางสังคมชุมชน ได้อ่าน เวลามีอารมณ์ขุ่นมัวเศร้าหมอง เพราะความมีอวิชชาครอบงำ แม้บัณฑิตก็ย่อมแพ้พ่าย หากไม่เข้าใจ ระงับอารมณ์ ประกาศตัวเองปาว ๆ สุดท้ายก็พ่ายแพ้ วันนี้ปรีเปรม พรุ่งนี้สั่นคลอน รอนแรมอ้างว่าง ห่างหายผู้คน
สาธุ....ยาวๆ 3 ครั้ง
ผม สมพงศ์ สสวช. ที่เคยสัมภาษณ์ คุณศิรประภาครับ ขอนำเรื่องนี้ไปเผยแพร่ต่อครับ (อนุญาตหรือเปล่าครับ).....
ส่วนเรื่องประสบการณ์ดีดี กำลังทะยอยลงครับ ศุกร์นี้แน่นอนครับ
สมพงศ์ สสวช.
สวัสดีค่ะอาจารย์ สมพงศ์ ตันติวงศ์ไพศาล
ดีใจอย่างยิ่งที่อาจารย์มาเยี่ยมเยือนในบล้อคนี้
เต็มใจและยินดีอย่างยิ่งที่อาจารย์จะนำบทความไปเผยแพร่ต่อ
และดีใจอย่างมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง
ของการเล่าเรื่องประสบการณ์ดี..ดี ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ