ชื่อเรื่อง รายงานการจัดกิจกรรมค่ายภาษาไทยเพื่อพัฒนาการอ่านการเขียน
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
ผู้วิจัย นางสุภาพ ปูนอน ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ
โรงเรียน โรงเรียนบรบือ(บรบือราษฏร์ผดุง) สำนักงานพื้นที่การศึกษามหาสารคาม เขต 1
ปีที่พิมพ์ 2552
บทคัดย่อ
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย ส่วนมากยังไม่สนองความแตกต่างระหว่างบุคคล
ไม่สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้และความต้องการของผู้เรียนทำให้ผู้เรียนขาดความสนใจเรียนและ
ทักษะกระบวนการเรียนรู้และการคิดที่ดี การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบฐานความรู้ จึงเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย แบบฐานความรู้ เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝีกทักษะเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเข้าร่วมกิจกรรมค่ายภาษาไทยเพื่อพัฒนาการอ่านการเขียน และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อกิจกรรมค่ายภาษาไทยเพื่อพัฒนาการอ่านการเขียน กลุ่มผู้ร่วมวิจัยประกอบด้วย ผู้วิจัยและครูผู้สอนภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 6 จำนวน 6 คนกลุ่มเป้าหมายในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านบรบือ (บรบือราษฏร์ผดุง) ปีการศึกษา 2550 จำนวน 162 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง(Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 6 ชนิด คือ แบบฝึกหัด/ใบงานประกอบฐานวิชาการ ประกอบด้วย 8 ฐานวิชาการ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กิจกรรมค่ายภาษาไทยเพื่อพัฒนาการอ่านการเขียน แบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับกับกิจกรรมค่ายภาษาไทยเพื่อพัฒนาการอ่านการเขียน เป็นแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง โดยสัมภาษณ์ครูและนักเรียน แบบสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เกี่ยวกับการเข้าค่ายภาษาไทยเพื่อพัฒนาการอ่านการเขียน เป็นแบบสังเกตพฤติกรรมแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนต่อกิจกรรมค่ายภาษาไทยเพื่อพัฒนาการอ่านการเขียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที(t-test Dependent Sample)
ผลการศึกษาปรากฏผลดังนี้
1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีพฤติกรรมเกี่ยวกับกิจกรรมค่ายภาษาไทยเพื่อพัฒนาการอ่านการเขียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยรวมการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า การปฏิบัติอยู่ในระดับมากทุกข้อ โดยนักเรียนมีความสนใจในการอ่าน การเขียนในกิจกรรม นักเรียนได้แสดงความสามารถมีผลงานและได้สร้างชิ้นงานและนักเรียนเห็นความสำคัญของการอ่านการเขียน
2. พฤติกรรมการเรียนของนักเรียนจากการทำแบบฝึกทักษะและการตอบคำถาม มีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 82.38 ส่วนข้อมูลพฤติกรรมการเรียน ปรากฏผลดังนี้
2.1 ด้านความรู้ความเข้าใจ นักเรียนได้ใช้ทักษะทางภาษาเป็นพื้นฐานในการหาความรู้และการฝึกคิดวิเคราะห์จากการอ่านเรื่องใหม่ทั้งร้อยแก้ว ร้อยกรอง บทความและเรื่องสั้นนักเรียนได้ฝึกอ่านแล้ววิเคราะห์ จับใจความสำคัญ บอกข้อคิดจากเรื่องและบอกสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ในขณะเดียวกันยังเป็นฐานในการพัฒนาด้านอื่น ๆ ไปพร้อมกัน นักเรียนได้ขยายความรู้ของตนเองจากการอ่านเพิ่มขึ้นได้เรียนรู้คำใหม่ที่อยู่ใกล้ตัวเพิ่มมากขึ้น และการร้องหรืออ่านบทร้องเล่นในท้องถิ่น ทำให้นักเรียนเห็นความงดงามทางภาษาและฝึกทักษะจากกิจกรรมปริศนาคำทาย คำคล้องจอง สำนวนภาษาและเกมทางภาษาอื่น ๆ
2.2 ด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ จากการสังเกตการปฏิบัติกิจกรรมนักเรียนจะปฏิบัติอย่างมีความสุข มีความกระตือรือร้นในการเรียนและตั้งใจเรียนดีมาก มีความภูมิใจในผลงานร่วมกันให้ความช่วยเหลือให้คำปรึกษาหารือกันภายในกลุ่มเป็นอย่างดี
2.3 ความสามารถในการปฏิบัติกิจกรรม นักเรียนสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัว
ในชีวิตประจำวันที่เป็นทั้งธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น และการเรียนรู้การทำงานกับบุคคลและสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวสามารถเลือกใช้วัสดุต่าง ๆ มาทำงานอย่างปลอดภัยและประหยัด การเรียนรู้
การอยู่ร่วมกันในสังคมใกล้ตัว แล้ววิเคราะห์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง นักเรียนได้เรียนรู้ธรรมชาติที่เป็นวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น บทร้องเล่นของเด็ก นิทานพื้นบ้าน ซึ่งครูให้นักเรียนได้เรียนรู้จากผู้ปกครองและภูมิปัญญาในท้องถิ่นเพิ่มขึ้นอีก สังเกตได้ว่านักเรียนชอบที่จะเรียนวิชาภาษาไทยมากขึ้น
3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเข้าร่วมกิจกรรมค่ายภาษาไทยแต่ละฐาน โดยรวมมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 65.53 คิดเป็นร้อยละ 81.91 เมื่อพิจารณาแต่ฐานพบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 80 ทุกฐาน เรียงตามค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย ดังนี้ ฐานปริศนาน่าทาย มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 8.31 คิดเป็นร้อยละ 83.15 รองลงมาคือฐานต้มยำคำไทยมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 8.29 คิดเป็นร้อยละ 82.90 และฐานการสร้างคำนำความคิด มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 8.28 คิดเป็นร้อยละ 82.78
4. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมค่ายภาษาไทยเพื่อพัฒนาการอ่านการเขียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 13.96 คิดเป็นร้อยละ 34.92 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 32.82 คิดเป็นร้อยละ 82.07
5. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมค่ายภาษาไทยเพื่อพัฒนาการอ่านการเขียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน และหลังเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
6. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีความพึงพอใจต่อกิจกรรมค่ายภาษาไทยเพื่อพัฒนาการอ่านการเขียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด( =4.52) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด 7 ข้อและอยู่ในระดับมาก 7 ข้อ เรียงตามค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย 4 อันดับแรก คือ ฉันร่วมกิจกรรมอย่างกระตือรือร้นและทำด้วยความเต็มใจ กล้าแสดงความคิดเห็นร่วมกับเพื่อนพอใจในการเรียนที่กระตุ้นให้คิดและการแสดงออกที่ดีฉันชอบและพอใจในการเรียนภาษาไทย
โดยสรุป การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบฐานความรู้ จึงเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเหมาะสม สามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยเรื่องอื่นๆ ได้
สุภาพ ปูนอน
ไม่มีความเห็น