นาพ่อคำเดื่อง เป็นบริเวณที่มีบรรยากาศพิเศษ มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เท่าที่ดิฉันรำลึกได้ ได้ไปที่นาห้วยเมื่อไรก็จะรู้สึกสบาย เบา
ยิ่งตอนนี้ที่ไม้น้อยไม้ใหญ่เบียดเสียดยอดหาแดด คลุมพื้นที่ทั้งหมด พ่อคำเดื่องบอกว่า ต้นไม้เลี้ยงตัวเองได้แล้ว ปล่อยให้เขาดูแลตนเอง ตอนนี้ผมมาปลูก..ปลูก..ปลูก เพิ่มเติมอีก ขยายพื้นที่การปลูก ปรับแต่งที่ให้เหมาะสมกับการปลูก...
ดิฉัน”รู้สึก” ว่าน่าจะทำอะไรสักอย่าง ที่สอดคล้องกับบรรยากาศเช่นนี้
เช้าวันนั้นจึงเป็นวันนัดหมาย หลังจากที่เราออกกำลังกาย ทำธุรกิจส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว
ดิฉันบอกกับชาวบ้านว่า เราดำรงชีวิตอยู่ได้เพราะการเอื้ออำนวยของแม่พระธรณี วันนี้เราจะไปคารวะแม่พระธรณีด้วยความสงบกาย สงบวาจา เอาความตั้งใจของพวกเราทั้งหมดเป็นเครื่องบูชา ให้พ่อวิเชียรและพ่อบนเป็นคนเป่าแคนกล่อมนำทาง กล่อมฟ้าดิน ....ถ้าเสียงแคนหยุดก็ให้หยุดเดิน....เสียงแคนดังก็ให้เดินต่อไปเงียบ ๆ ....
ขบวนของพวกเราก็เดินไปเป็นกลุ่มเงียบ ๆ ท่ามกลางอากาศเย็นสบายของยามเช้า แสงอาทิตย์ลอดใบไม้รำไรนุ่มนวล เดินไปถึงต้นมะพร้าวต้นเล็ก ใบสูงพอท่วมหัวต้นหนึ่ง พ่อวิเชียรเดินถึงก่อนแล้วก็ชะงักมองท่ามกลางเสียงแคน กิ่งมะพร้าวกิ่งเดียวไหวโยกโบกไปมาอยู่นาน นานจนพวกเราสังเกตเห็น พ่อวิเชียรหยุดเป่าแคน แล้วพูดออกมา โอย .. ผมขนลุกหมดเลย มะพร้าวต้นนี้....
เมื่อเดินไปถึงที่ที่ค่อนข้างโปร่ง ทอดสายตาได้ยาว เห็นแสงอาทิตย์ เห็นทิวไม้ที่ห่างออกไป พวกเราก็นั่งลงทางเดินที่นิ่มสบายเพราะคลุมด้วยเศษใบไม้ที่ร่วงหล่น เงียบสักพัก พ่อสถานได้เล่าความฝันเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ ว่าสถานที่แห่งนี้มีเพทารักษ์อาศัยอยู่.....และเนื่องไปถึงแม่พระธรณี.....พวกเราสงบกันได้อย่างสบาย ๆ เช้าวันนั้น แล้วจึงได้พากันเดินกลับมาที่ศาลาอย่างเงียบ ๆ.....จากนั้นก็พากันโสเรื่อง ใบมะพร้าวกิ่งนั้นกันแซ่ด
ดิฉันนึกถึงอาจารย์เปรื่อง เปลี่ยนสายสืบ ผู้ล่วงลับไปแล้ว ..
ดิฉันเคยไปดูงานแสดงภาพถ่ายวิถีชนบทของท่าน ในบางภาพของท่านเป็นรูปทางน้ำธรรมชาติ รูปของการแสดงการเคารพบูชาน้ำของชาวบ้าน พิธีไหว้แม่โพสพของชาวบ้านคนเล็กคนน้อย และอื่น ๆ และได้มีโอกาสคุยกับท่านสั้น ๆ
เทพารักษ์มีจริงหรือคะอาจารย์
อาจารย์กรุณาให้คำตอบว่า มีจริงสิหนู เทพารักษ์ท่านอาศัยอยู่ในต้นไม้ อาศัยอยู่ตามสายน้ำธรรมชาติ ฉะนั้นใครที่ไปเปลี่ยนทางน้ำธรรมชาติผู้นั้นก็ได้ทำลายที่อยู่ของเทพารักษ์โดยไม่รู้ตัว
ไม่มีความเห็น