ท่องแดนมังกร ตอนที่ 2


19 มีนาคม 2551 อันเป็นวันที่สองของกำหนดการในครั้งนี้ ผมรีบลุกจากเตียงนอนอันแสนสบายในเวลา 6.00 น. อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกไป "ชือฟั่น"ที่ห้องอาหารของโรงแรม อาหารเป็นแบบบุปเฟต์ให้เลือกเอาเองตามอัธยาศัย มีทั้งข้าวผัด ใส้กรอก หมั่นโถว สลัดผัก ฯลฯ ชา กาแฟ ขอวิจารณ์กาแฟเสียหน่อยดีกว่า กาแฟโรงแรมนี้ไม่อร่อยเลย ถ้าเป็นยาพิษในหนังจีนแล้วล่ะก็ รับรองได้ว่าคนที่ดื่มจะไม่รู้สึกตัวเลยว่าดื่มอะไรเข้าไป เพราะมันทั้งไร้กลิ่นไร้รส จืดสนิทเชียวครับ ที่กาแฟไม่อร่อยคิดว่ามีสาเหตุ ก็คนจีนนิยมชามากกว่ากาแฟ เลยเอาเวลาไปพัฒนาวัฒนธรรมการดื่มชาแทน กาแฟเลยตกกระป๋องไป ที่มีให้ดื่มนี่ก็คงดีเท่าไหร่แล้ว ผมว่านะ

เวลา 8.00 น. เราออกเดินทางจากโรงแรมหลงจั๋วมุ่งสู่อนุสาวรีย์ ดร.ซุนยัดเซน ซึ่งตั้งอยู่เด่นเป็นสง่าอยู่หน้าหอประชุมเก่าที่ ดร.ซุนยัดเซน เคยใช้เป็นที่ทำงาน ตรงประตูทางเข้าอาคารมีอาหมวยสองคนในชุดสีแดงสดใสน่ารักมาคอยต้อนรับเชื้อเชิญให้เราเข้าชมด้านในห้องประชุมอันยิ่งใหญ่ตระการตา ดูคร่าวๆผมว่าใหญ่กว่าห้องประชุมรัฐสภาบ้านเราเสียอีก ด้านในทำเป็นสองชั้น ชั้นล่างมีเวทีใหญ่อยู่ด้านในสุดมีที่นั่งเรียงรายลดหลั่นกันไปคล้ายโรงหนัง อีกชั้นเป็นชั้นลอยมองเห็นชั้นล่างได้ทั่วถึงเช่นกัน ด้านข้างห้องประชุมมีห้องน้ำสะอาดสะอ้านสะดวกสบายมากไว้คอยบริการ

จากนั้นคณะเราได้แวะเยี่ยมชมอนุสาวรีย์ห้าแพะ ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของกวางโจวเลยทีเดียว ทั้งนี้คนท้องถิ่นเชื่อว่านครกวางโจวเกิดจากการสร้างของเทพเจ้าห้าแพะ จึงได้สร้างอนุสาวรีย์ไว้ที่ในใจกลางเมืองโดยทำเป็นสวนสาธารณะไปด้วยในตัว ผมเห็นมีแต่คนสูงวัยที่ไม่ต้องทำงานแล้วมาเดินเล่น มาออกกำลังกาย มีรำมวยจีนบ้าง แล้วยังมีการจับคู่เต้นลีลาศเป็นร้อยๆคู่ มีคำกล่าวว่าถ้าเกษียณอายุแล้วแต่ยังขาดคู่ ให้ไปเต้นลีลาศ เดี๋ยวก็จะได้เอง คงจะจริงทีเดียว ข้อแรก คนสูงวัยเหล่านี้คงทำงานเก็บเงินมาพอสมควร เวลาว่างก็มาออกกำลังกายในสวนสาธารณะซึ่งมีคนเยอะ หากรักใครชอบใครสักคนก็อาจตกร้องปล่องชิ้นกันได้ในที่สุด ข้อสอง ผมไม่เห็นจะมีคนหนุ่มคนสาวเลย คิดว่าคงยุ่งอยู่กับการทำงานหาเงินจนไม่มีเวลามาเดินทอดหุ่ยเตร็ดเตร่อยู่ในสวนแบบนี้แน่ๆ


ในสวนผมเห็นดอก มู่เหมียนฮัว (ดอกงิ้ว) ตกอยู่ ดอกที่นี่สีแดงสด ดอกใหญ่กลีบหนามาก ต่างจากบ้านเราที่ดอกเล็กกลีบบาง ที่จริงผมเห็นดอกมู่เหมียนฮัวตลอดรายทางแล้วล่ะ ดอกชนิดนี้บานอยู่ในทุกๆที่ตั้งแต่เสิ้นเจิ้นถึงกวางโจว แต่ที่ได้เห็นใกล้ชิดที่สุดก็ที่ห้าแพะนี่แหละ เมื่อดอกบานเต็มที่ก็จะร่วงหลุดจากขั้วหล่นลงเกลื่อนกราดเต็มพื้น ไม่เห็นมันติดผลเลยสักต้นเดียว พูดถึงห้าแพะแล้ว เกือบลืมอีกประเด็นหนึ่งคือเมืองกวางโจวยังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเมืองห้าแพะอีกด้วย ทั้งนี้เพราะกวางโจวมีห้าแพะเป็นสัญลักษณ์นั่นเอง

จากนั้นคณะของผมก็เดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์สาธิตสินค้าจากสมุนไพรจีนพวกบัวหิมะต่างๆ ซึ่งผมไม่ค่อนสนใจเท่าใดนัก ความสนใจของผมมาหยุดอยู่ที่ด้านนอกมากกว่า นั่นคือโรตีโอ่งที่ทำขายบนรถเข็น อันละ 2 หยวน หน้าตาคนขายออกจะกระเดียดไปทางแขกอยู่มาก พูดจีนไม่ได้ พูดอังกฤษก็ไม่ได้ด้วย นับเลขเป็นอย่างเดียวก็ค้าขายได้แล้ว สู้ชีวิตจริงๆครับ โรตีโอ่งนี้ผมเคยเห็นในทีวีมาแล้วไม่นึกว่าจะมาเจอที่นี่ เขาเอาแป้งนวดๆแล้วกดเป็นแผ่นแบนๆคล้ายแป้งพิซซ่า จากนั้นเอาไปแปะในโอ่งที่มีความร้อนระอุอยู่ภายใน เมื่อแป้งเหลืองกรอบได้ที่ก็เป็นอันรับประทานได้ ดูหน้าตาน่ากินชะมัด แต่รสชาติที่ไหนได้ จืดสนิท ไม่รู้ว่าธรรมเนียมเขากินเล่นเป็นขนม หรือเอาไว้กินเป็นอาหารเหมือนขนมปังหรือเปล่า ก็สุดปัญญาจะถามไถ่ให้รู้แน่

เสร็จจากภารกิจที่ศูนย์สาธิตสมุนไพร เราก็ไปรับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งรสชาติก็เหมือนๆเมื่อวาน คือ มันๆ เลี่ยนๆ วันนี้ชักกินไม่ค่อยลงเสีบแล้ว นานๆกินทีก็พอไหว แต่ให้ทุกมื้อทุกวันนี่ท่าจะแย่ อาหารบนโต๊ะมีหลายอย่าง แต่ที่น่าสนใจคือถั่วงอกผัดใส่เต้าหู้ ที่ ผมได้ยินร่ำลือมานานแล้วว่าถ้าเราเอาถั่วงอกธรรมดาๆมาเด็ดหัวท้ายออกแล้วเอาไปปรุงตามปรกติแค่นี้ก็เป็นอาหารขึ้นเหลาแล้วล่ะ มาได้เห็นประจักษ์แก่สายตาตัวเองก็วันนี้ล่ะครับ พูดถึงรสชาติบ้าง การเด็ดหัวท้ายออกทำให้ไม่มีกลิ่นของถั่วงอกเหลืออยู่เลย ใครที่ไม่ชอบกินถั่วงอกเพราะไม่ชอบกลิ่นของมันจะลองเอาไปทำดูบ้างเขาคงไม่หวงสูตรแต่อย่างใด

กินข้าวกลางวันเสร็จสรรพ เราก็มุ่งหน้าสู่เสินเจิ้นอีกครั้งตามเส้นทางเดิม เมื่อย่างเข้าเขตเสินเจิ้นเราแวะเยี่ยมชมหมู่บ้าน หนานหลิ่งชุน (NAN LING CUN)ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวนาเดิม มีประชากร 800 คน หมู่บ้านนี้ ต้องบอกไว้ก่อนว่าไม่ธรรมดา เป็นชาวนาที่มีรายได้ต่อปี ประมาณ 250,000 หยวนต่อคน อยากรู้ว่าเท่าไหร่ลองเอาห้าคูณเข้าไปครับจะได้ค่าเงินบาทออกมา รายได้เหล่านี้มาจากไหน ก็มาจากกิจการของหมู่บ้านครับ แต่ก่อนอื่นเราต้องเยี่ยมคารวะผู้ใหญ่บ้านก่อนตามธรรมเนียม

รถของเรามุ่งหน้าไปที่ศาลาอเนกประสงค์ของหมู่บ้านซึ่งใช้เป็นที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน อาคารใหญ่โตมโหฬารมาก เป็นอาคารสี่ชั้นมีทั้งห้องประชุม ห้องทำงานสำหรับงานธุรการ มีลานกิจกรรม มีพิพิธภัณฑ์ชุมชนอีกด้วย เมื่อคณะของเราไปถึงก็ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าไปในห้องประชุมซึ่งหรูหรามาก ผู้ใหญ่บ้านชื่อ คุณเซียะคุ่ยผิง ให้เกียรติมาเล่าถึงกิจการของหมู่บ้านตลอดจนตอบข้อซักถาม ซึ่งผมขอเล่าคร่าวๆดังนี้

หมู่บ้านหนานหลิ่งชุนมีพื้นที่ 2.4 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 800 คน เดิมเป็นหมู่บ้านยากจน หลังจากประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่เมื่อยี่สิบปีก่อน รัฐบาลเสินเจิ้นได้ให้ความช่วยเหลือโดยให้งบประมาณมาจำนวนหนึ่ง ชาวบ้านก็มาตกลงกันว่าให้ทำกิจการของหมู่บ้าน โดยรูปแบบคณะกรรมการบริหารกิจการ จำนวน 9 คน มีผู้ใหญ่บ้านเป็นประธาน กรณีการบริหารงานทั่วๆไป คณะกรรมการสามารถดำเนินการได้ทันที แต่การตัดสินใจเรื่องสำคัญๆต้องมีการประชุมใหญ่โดยทุกครอบครัวส่งตัวแทนหนึ่งคนเข้าประชุม

คณะกรรมการ 9 คน และผู้ใหญ่บ้าน มาจากการเลือกตั้ง สำหรับผู้ใหญ่บ้านนั้นต้องเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ด้วย และต้องได้รับการเสนิชื่อผู้สมัครจากหมู่บ้านรวม 10 คน ส่งไปให้ให้รัฐบาลพิจารณาประวัติและคุณสมบัติ เมื่ออนุมัติแล้วจึงมีการเลือกตั้งจากหมู่บ้าน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปี

รายได้ของหมู่บ้านมาจากการให้เช่าร้านค้า โดยคิดเป็นตารางเมตรละ 40 หยวนต่อเดือน ค่าเช่าพื้นที่ทำโรงงาน ซึ่งมีทั้งหมดถึง 30 โรงงาน และการผลิตสินค้าพวกผ้าฝ้ายผ่าไหมในบางส่วน

ในปีกลายกิจการของหมู่บ้านได้ผลกำไรเบาะๆ ไม่มากไม่มายอะไร แค่ 270 ล้านหยวนเอง หักค่าใช้จ่ายต่างๆเสร็จสรรพก็มีการปันผลไปตามระดับตำแหน่งหน้าที่การทำงาน ความเสียสละให้กิจการของหมู่บ้านลดหลั่นกันไปตามส่วน ตกประมาณ 250,000 หยวนต่อคนต่อปี

นอกจากนี้ชาวนาเหล่านี้ยังมีรายได้ส่วนตัวจากการให้เช่าห้องพัก โดยเปิดบ้านของตนเองให้เช่า บ้านของชาวนาเหล่านี้จะก่อสร้างเป็นตึกสูงหลายๆชั้น แบ่งให้เป็นที่พักส่วนตัวของเจ้าของส่วนหนึ่ง ที่เหลือแบ่งเห็นห้องๆให้เช่า จึงเป็นเรื่องธรรมดามากที่ชาวนาเหล่านี้วันๆจะจะมีเวลาว่างนั่งเล่นไพ่นกกระจอกอยู่หน้าบ้าน ไม่ต้องทำการทำงานอะไรก็มีเงินใช้ไม่ลำบาก แต่ก็มีบางส่วนเหมือนกันที่ยังคงทำงานอยู่ซึ่งจะถูกมองว่าแปลก คนอะไรจะขยันปานนั้น

ทั่วประเทศจีนมีการจัดการศึกษาฟรี 9 ปี ถ้าผู้ปกครองของเด็กคนใดในหมู่บ้านหนานหลิ่งชุนไม่ส่งบุตรหลานเข้าเรียนจะถูกลดหุ้นและผลกำไรลง จึงเป็นการบังคับไปในตัวให้ผู้ปกครองต้องส่งเด็กเข้าเรียนหนังสือ

หมู่บ้านหนานหลิ่งชุนมีหน้าที่บำรุงรักษาและจัดการสาธารณูปโภคทุกอย่างโดยใช้งบประมาณจากผลกำไรของหมู่บ้าน สำหรับค่าครองชีพของชาวบ้านที่นี่ ก็ตกราวๆ 1,500 บาท ต่อเดือน ถ้าไม่ฟุ่มเฟือย และใช้จ่ายสมเหตุสมผลก็สามารถอยู่ได้อย่างสบายเลยทีเดียว

ส่วนเรื่องกรรมสิทธิ์ของบ้านและที่ดินนั้น ตกเป็นของเจ้าของตลอดไป และตกทอดเป็นมรดกแก่ลูกหลานด้วย ไม่สามารถซื้อขายในท้องตลาดแต่สามารถให้เช่าได้ บุคคลภายนอกอากสมรสกับคนให้หมู่บ้านสามารถซื้อหุ้นของกิจการได้ตามข้อกำหนด ได้ยินแบบนี้ยอมรับครับว่าหูผึ่งขึ้นมาทันที นี่ท่าอยู่นานกว่านี้อีกสักหน่อยผมว่าจะขอสมัครเป็นเขยบ้านหนานหลิ่งชุนด้วยคน แต่ด้วยเวลาอันจำกัดแค่นั่งผายลมยังไม่ทันหายเหม็นก็จะรีบไปเสียแล้ว เฮ้อ! อาหมวยบ้านหนานหลิ่งชุนเอ๋ย เราคงไม่มีวาสนาต่อกันเสียแล้วล่ะ

เราอำลาหมู่บ้านชาวนาผู้มั่งคั่งแล้วแวะทานข้าวเย็นที่ภัตตาคารอาหารซีฟู้ด (XINGFU LOU SEAFOOD FANG) จากนั้นก็เข้าที่พักคือโรงแรมซันสุย (SHAN SHUI HOTEL)

ผมขนสัมภาระไปเก็บที่ห้องพักเรียบร้อยแล้วก็รีบออกมาตระเวนตามถนนเพื่อเก็บเกี่ยวบรรยากาศเสินเจิ้นยามค่ำคืน เจอร้านข้างถนนร้านหนึ่งมีสารพัดลูกชิ้น สารพัดผักเสียบเป็นไม้ๆให้เลือกตามชอบใจ พอลูกค้าเลือกก็เอาไปลวกๆใส่ชาม ใส่น้ำซุปให้ ท่าทางอร่อยอยู่เหมือนกัย แต่ผมเพิ่งกินข้าวเสร็จใหม่ๆอยู่ เลยต้องของดไว้ก่อน

ถัดไปไม่ไกลนักเห็นภัตตาคารในห้องกระจกมีสารพัดสัตว์ทะเล สัตว์แปลกๆที่เชื่อว่าบำรุงพลกำลังให้ลูกค้าเลือกไปให้พ่อครัวปรุงเป็นอาหารเพื่อความใหม่และสด หนึ่งในนั้นมีนกยูงตัวหนึ่งถูกผูกขา ยืนอยู่ในกระจกหน้าร้าน ตอนแรกนึกว่าหุ่น พอเห็นขยับตัวได้ก็รู้สึกสงสารมากไม่รู้จะช่วยได้อย่างไรดี นกยูงตัวนี้ตัวสีเขียวๆ น่าจะนกยูงสัญชาติไทย-พม่านี่แหละ ถ้าเป็นคนไทยใหญ่แล้วจะไม่กินเนื้อนกยูงเด็ดขาด แต่ที่นี่กินได้สารพัดจริงๆ เล่ากันว่าชาวกวางตุ้งกินเก่งมาก สัตว์ทุกชนิดกินได้หมด ถ้าในน้ำที่กินไม่ได้คือเรือ ถ้าบนฟ้าที่กินไม่ได้คือเรือบิน ถ้าจะจริงเป็นแม่นมั่น ผมสลดใจนักได้แต่วางอุเบกขาละจากนกยูงที่น่าสงสารตัวนั้นมา

ผมเดินเลาะฟุตบาทไปเรื่อยๆข้ามถนนใหญ่เจอสถานีขนส่ง และสถานีรถไฟหลอหู ซึ่งอยู่ติดๆกับห้างหลอหูแหล่งช้อบปิ้งยอดนอยมของคนไทย ผมเดินเตร็จเตร่ดูครู่หนึ่งแล้วก็กลับที่พัก ด้วยว่าระยะทางเดินไปกลับยาวประมาณ 3 กิโลเมตรเห็นจะได้ เดินขนาดนี้ก็เลยเมื่อยล้าเป็นพิเศษ ถึงที่พักก็อาบน้ำอาบท่าแล้วทิ้งร่างลงนอนบนเตียงอันแสนสบาย เป็นอันจบการเดินทางวันที่สองเท่านี้

    ธีรนร นพรส
24 มีนาคม 2551
หมายเลขบันทึก: 172697เขียนเมื่อ 24 มีนาคม 2008 14:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 23:15 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)
  • ตามมาอ่านอีก
  • เอารูปมาให้ดูเสียดีๆๆ
  • อยากให้ไปช่วยโรงเรียนนี้จังเลยครับ
  • สนใจไปที่นี่ไหมครับ
  • เดี๋ยวเอารูปมาให้ดู
  • รูปอยู่นี้ครับ
    • ภาพโรงเรียนบ้านในของครับ
    • อาคารเรียน
    • อันนี้ส้วม น่าสงสาร
    • Dsc08300
    • เด็กๆๆครับ
    • Dsc08296
    • เบอร์พี่หมอรอน   0819517740 ครับ
    • ขอบคุณครับ

ที่ไหนเมื่อไหร่ครับพี่ขจิต ถ้าไม่ติดงานก็อยากไปจริงๆครับ ต้องเคลียร์คิวก่อน

แต่รูปที่อยากเห็น อิอิ รอไปก่อนนะครับ

  • วัยรุ่นเซ็งเลย
  • ที่นี่ครับ
  • โรงเรียนแห่งนี้ชื่อ โรงเรียนบ้านดอยผีลู สาขาบ้านในของครับ

    ม.9 ต.แม่นาเติง อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน 58130 ครับ

    โทรศัพท์ ไม่มีครับ

    ถ้าจะติต่อโรงเรียนผ่าน Mr.Kraton โทร 053-699031 ต่อ 128 ครับ

  • หรือเบอร์ข้างบนครับผม

โทรหาพี่รอนแล้วครับ แต่กำลังประชุมอยู่ครับ เกรงใจ ผมเลยวางสายก่อน แล้วค่อยโทรถามอีกทีดีกว่า

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท