KM เชิง พุทธศาสนา
ตอน หัวใจนักปราชญ์ กับ การจัดการองค์ความรู้ บทความโดย ฉสุภ ตั้งเลิศลอย บทความนี้ข้าพเจ้าได้เขียนขึ้นเองด้วยแนวทางพุทธศาสนา ได้ใช้การอ้างอิงเท่านั้นมิได้คัดลอกมาจากที่ไดทั้งสิ้น
เป็นเวลา 2500 กว่าปีล่วงมาแล้วที่พุทธศาสนาบังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ศาสนาที่เต็มไปด้วยคำสอนและพร้อม
ที่จะให้พิสูจน์ทราบอยู่ได้ทุกเวลา ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่าใน 84,000 ธรรมขันต์ เพียงพอแล้วในการใช้บริหาร โลกทุกวันนี้ เพราะหลาย ๆ ครั้งหลาย ๆ คราวแล้ว เมื่อฝรั่งต่างชาติคิดทฤษฏีการบริหารหรือปรัชญาใหม่ ๆ แล้ว เมื่อนำมาลองเทียบเคียงกับพระไตรปิฏก หลายครั้งก็พบอยู่แล้วและอธิบายได้อย่างลึกซึ่งกว่าเป็นอย่างมาก ในกรณี การจัดการองค์ความรู้นี้ก็เช่นกัน หากพิจารณาอย่างดีแล้วเราจะพบว่า หลายทฤษฏีนั้นก็มีอยู่แล้วในพระไตรปิฏก ซึ่งในวันนี้ข้าพเจ้าจะขอกล่าวถึงหลักธรรมซึ่งถือเป็น "หัวใจนักปราชญ์" หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม สุ-จิ-ปุ-ลิ นั้น มีความสัมพันธ์กับการจัดการองค์ความรู้อย่างไร ก่อนอื่นเราก็ต้องรู้เสียก่อนว่า "หัวใจนักปราชญ์" นี้คืออะไร หัวใจนักปราชย์นี้ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ด้วยกันอันได้แก่ "สุตะ" คือการฟัง, "จินตนะ" คือการคิด, "ปุจฉา" คือการถาม, "ลิขิต" คือการเขียน หรือที่ เขานิยมเรียกย่อกันว่า สุ-จิ-ปุ-ลิ นั่นเอง ทีนี้เราก็ลองมาพิจารณาว่าเพราะเหตุไดข้าพเจ้าจึงได้อาจหาญนำมากล่าวว่ามันเกี่ยวข้องกับการจัดการองค์ความรู้ ก็ต้องชี้แจงว่าเป็นสิ่งที่ "ข้าพเจ้าคิดเองว่ามันเกี่ยว" ทีนี้ถ้าจะมีใครบอกว่ามันไม่เกี่ยวนั้น หากมีเหตุมีผล มาคะคานได้ ข้าพเจ้าก็ขอน้อมรับโดยดี พอบอกว่ามันเกี่ยวนั้นก็ต้องอธิบายต่อว่า "มันเกี่ยวอย่างไรระดับใหนและจพนำมาใช้อย่างไร" จึงจะได้ผล ซึ่งก็จะขออธิบายว่าที่ข้าพเจ้าคิดว่ามันเกี่ยวนั้นคือ เกี่ยวในระดับการจัดการคงค์ความรู้ระดับบุคคล ที่บอกว่าระดับ บุคคลนั้น จริง ๆ ใจของข้าพเจ้านั้นคิดว่าเกี่ยวได้ถึงระดับองค์กรเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าถ้าอาจหาญลากไปเกี่ยวกับ การจัดการองค์ความรู้ระดับองค์กรณ์นั้นปัญญาของข้าพเจ้าคงไม่พอจะอธิบายเป็นแน่ คราวนี้ก็มาต่อว่าที่ว่าเกี่ยวกับระดับบุคคลนั้นเพราะเหตุได ก็ด้วยเหตุว่าหากเรานำ "หัวใจนักปราชญ์" นี้ ไปประยุกต์ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันแล้ว เราก็จะสามารถเป็นผู้ที่สามารถจัดการองค์ความรู้ของเราได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่นหากเราเป็นผู้ฟังที่ดีได้คือใช้ "สุตะ" นั้น ในวันหนึ่งหนึ่ง เราจะพบว่ามีความรู้ใหม่ ๆ ผ่านเข้ามาให้เรา ตักตวงอย่างมากมาย อย่างที่เรียกได้ว่ามหาศาลเลยทีเดียว แต่ครั้นจะฟัง ๆ ไปอย่างเลื่อนลอยนั้นมันก็จะทำให้เรา ได้ขยะกองใหญ่(ข้อมูล)มาอยู่ในหัว มันก็เลยต้องตามมาด้วยการคิดหรือก็คือ "จินตะ" นั่นเอง แล้วทีนี้จะคิดอย่างไร ข้าพเจ้าก็ต้องขอเสนอหลัก “กาลามสูตร” หรือที่ฝรั่งเรียกว่า การคิดเชิงวิจารณ์ (critical thinking)
ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับการจัดการองค์ความรู้อีกเช่นกัน ซึ่งหากใครสนใจให้ไปลองหาอ่านดูได้ แต่ถ้าใจเย็นนิดนึงข้าพเจ้าจะได้นำมาอธิบายแบบภาษาสบาย ๆ อีกครั้งหนึ่ง วกกลับมาเข้า "จินตะ" หรือการคิด เมื่อเราคิดไคร่ครวญในข้อมูลแล้วนั้นทีนี้มันก็อาจเกิดปัญหาอีกว่า บางอย่างนั้น เราก็ไม่รู้จริง ๆ มันก็ต้องอาศัยการถามหรือก็คือ "ปุจฉา" นั่นเอง ถามเพื่อให้ได้ออกมาซึ่งความถูกต้อง ถามผู้รู้จริง แล้วก็ถามอย่างฉลาดที่จะถาม เมื่อได้คำตอบแล้วก็สุดท้ายอยู่ที่การจด "ลิขิต" ซึ่งหมายรวมถึงการบันทึกต่าง ๆ ด้วย ก็เป็นการจัดการองค์ความรู้ที่สมบูรณ์สำหรับบุคคล ทีนี้ท่านผู้อ่านอาจจะเห็นว่ามันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วไม่เห็นต้องมาบอกกันเลย ก็ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ใครที่ทำอยู่เป็นปกติประจำวันอยู่แล้วนั้นข้าพเจ้าก็ขอนิยมยินดีด้วย แต่ที่นำมากล่าวนี้เนื่องจากที่เห็น ๆ ในประจำวันนั้น ส่วนมากคนสมัยนี้มักมีไม่ค่อยครบ 4 หลักนี้ บางคนก็ไม่ฟังอะไรใครเสียเลย เอาแต่คิด เอาแต่ถามแล้วมีคำตอบ ตั้งอยู่ในใจแล้ว ไอ้ที่ถามก็สักแต่ได้ถามพอแสดงว่าสนใจเท่านั้นเอง พวกนี้มี(จินตะ กับ ปุจฉา) ทีนี้มาถึงบางพวก ที่ฟัง ๆ ๆ ฟังมาก ๆ เลยแล้วก็ไม่เอามาคิด อย่างงี้เขาเรียกให้แรงหน่อยก็คือโดนจูงจมูก(มีแต่ สุตตะ) หรือไม่ก็ฟัง เอาแต่เรื่องชาวบ้านเขาไปเรื่อย มาถึงบางพวกฟังด้วยคิดด้วยแต่ไม่กล้าถาม(หมายรวมถึงการค้นข้อมูล)จริงไม่จริง ไม่รู้ก็คิดว่ารู้ไปเรื่อยสุดท้ายก็เป็นภัยเพราะรู้ผิด ๆ แล้วคิดว่าถูก(มี สุตตะ กับ จินตะ) คาวนี้ถึงพวกที่ดีขึ้นนิดนึง ซึ่งต้องบอกว่าข้าพเจ้าเองก็เป็นพวกนี้คือ ฟังด้วยคิดตามด้วยพออะไรไม่รู้ไม่แน่ใจก็ถามก็ค้นหาเพิ่มเติม แต่ดันไม่จด ไม่บันทึกไว้คือรู้แล้วก็แล้วไป อะไรที่ใช้บ่อย ๆ มันก็อาจจำได้ แต่อะไรที่นาน ๆ ใช้ที มันก็หลงก็ลืมได้ง่าย คือพวกนี้ มี(สุตตะ-จินตะ-ปุจฉา)เท่านั้น ทีนี้ก็เลยอยากเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อเตือนความจำสักเล็กน้อยว่าเรายังมีหลักของ "สุ-จิ-ปุ-ลิ" อยู่ หากใครใช้ครบแล้วก็เชื่อได้ว่าท่านก็เป็นหยนึ่งที่จัดได้ว่าเป็นนักปราชญ์อยู่แล้ว ข้าพเจ้าคงชื่นชมด้วย แต่ถ้าใคร ยังใช้ไม่ครบนั้นก็ลองรื้อ "หัวใจนักปราชญ์" นี้มาลองปัดฝุ่นใช้ดู เชื่อว่าแค่ไม่นานนักก็จะเห็นผลได้เป็นอย่างดี แล้วได้ความอย่างไรก็มานำเสนอกันบ้าง สุดท้ายนี้ก็ขอจบบทความเรื่อง "หัวใจนักปราชญ์ กับ การจัดการองค์ความรู้" เพียงเท่านี้ ในโอกาศหน้า จะได้นำเรื่อง "กาลามสูตร" มาอธิบายแบบภาษาสบาย ๆ อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้หมดเรื่องการจัดการองค์ความรู้ ระดับบุคคล แล้วค่อยมาขึ้นสู่การจัดการองค์ความรู้ระดับองค์กรณ์ต่อไป
จัดว่าเป็นองค์ความรู้เดิมที่มีอยู่แล้วแต่สามารถนำมาปรับปรุงและ
ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
ขอบคุณครับสำหรับบทความดีๆ
หมาน้อย