สวัสดีค่ะ วันนี้ครูน้อยมีปริศนาคำทายมาให้ลองหาคำตอบกันค่ะ
แต่ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนว่า ปริศนาคำทาย มีที่มาอย่างไร
|
ปริศนาคำทายเป็นการละเล่นพื้นบ้านอย่างหนึ่งของไทย ซึ่งนิยมเล่นกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังคงสืบเนื่องกันมาจนถึงทุกวันนี้ นับว่าเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของไทย
การทายปริศนานั้นทายได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อาจจะทายกันในครอบครัวหรือญาติมิตรก็ได้
การทายปริศนานอกจากจะให้ความสนุกสนานแล้ว ยังให้ความคิด ความฉลาดในการฝึกปัญญาของผู้เล่นเป็นอย่างมาก และยังเป็นการสร้างความสามัคคีสร้าง
มนุษยสัมพันธ์ในหมู่ผู้เล่นอีกด้วย
การทายปัญหา ผู้ตั้งปัญหาจะต้องใช้คำคล้องจองให้สัมผัสกันโดยไม่กำหนดจำนวนคำในแต่ละวรรค เช่น
อะไรเอ่ย ยิ่งตัดยิ่งยาว (ถนน)
อะไรเอ่ยเป็นพวงอยู่ระหว่างขา (ปิ่นโต)
อะไรเอ่ย ตัวอยู่นา ตาอยู่บ้าน (ตาปู)
อะไรเอ่ย เมื่อเด็กนุ่งขาว สาวนุ่งเขียว แก่นุ่งแดง (พริก)
การทายปัญหานั้นไม่ใช่เล่นกันในหมู่บ้านหรือครอบครัวเท่านั้น แม้ในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็นิยมทายกัน แต่มักจะแต่งเป็นโคลงหรือกลอนให้มีความไพเราะไปในทางภาษาหนังสือ เป็นการทายในหมู่ชนชั้นที่ได้รับการศึกษา ซึ่งต่างจากการทายปริศนาตามหมู่บ้านหรือตามประสาชาวบ้าน เช่น
วัดหนึ่งนามเรียกคล้าย เวลา
ราตรีต่อทิวา นั่นไซร้
มีนามซึ่งชนสา- มัญเรียก
แปลว่าวัดซึ่งไร้ ร่มไม้ชายคา
(เฉลย – วัดแจ้ง หรือ วัดอรุณ)
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธมกุฎราชกุมาร พระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในบางโอกาส สำหรับให้ข้าราชบริพารส่วนพระองค์คิดทายกันเล่น หรือภายในแวดวงข้าราชสำนักสมัยนั้น เช่นในงานฤดูหนาวประจำปีที่วัดเบญจมบพิตรในสมัยนั้น จัดว่าเป็นงานที่สนุกสนานที่สุดเป็นงานที่เจ้านายเชื้อพระวงศ์มาออกร้านกันมาก การเล่นทายปัญหาหรือปริศนานับว่าเป็นจุดสำคัญที่สุดของงาน รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชนิพนธ์ปัญหาร่วมด้วย จึงมีข้าราชบริพารสนใจตอบหรือทายกันมาก และมีรางวัลสมนาคุณให้แก่ผู้ที่ตอบหรือทายถูกอีกด้วย การเล่นทายปัญหาในวัดเบญจมบพิตรนี้ในขั้นแรกเรียกว่าเป็นการทาย “ผะหมี” ซึ่งเป็นการเล่นอย่างแพร่หลายในหมู่ นักปราชญ์ราชบัณฑิตและกวีในประเทศจีน
|
ลองตอบคำถามนี้นะคะ ปูอะไรมี 6 ขา