สวัสดิการสังคม : ความหมายและการจัดการ
พรบ.ส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมพ.ศ.2546 ซึ่งปรับปรุงแก้ไขในปี 2550 ได้เสนอนิยามสวัสดิการสังคมว่า เป็น“ระบบการจัดบริการทางสังคม ซึ่งเกี่ยวกับการป้องกัน การแก้ไขปัญหา การพัฒนา และการส่งเสริมความมั่นคงทางสังคมเพื่อตอบสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐานของประชาชน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้อย่างทั่วถึง เหมาะสม เป็นธรรม และเป็นไปตามมาตรฐานทั้งทางด้านการศึกษา สุขภาพอนามัย ที่อยู่อาศัย การทำงานและการมีรายได้ นันทนาการ กระบวนการยุติธรรม และบริการทางสังคมทั่วไป โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิที่ประชาชนจะต้องได้รับ และการมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการสังคมทุกระดับ” โดยมีคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ(ก.ส.ค.)ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นรองประธานคนที่หนึ่งทำหน้าที่เสนอแนะและให้ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบายการจัดสวัสดิการสังคมและการส่งเสริมให้มีการจัดสวัสดิการสังคมอย่างเป็นระบบ ทั่วถึงและต่อเนื่อง รวมทั้งเสนอแผนพัฒนางานสวัสดิการสังคมต่อคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติเป็นแผนแม่บท ซึ่งคณะกรรมการก.ส.ค.ในรัฐบาลชุดที่ผ่านมา(พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์)ได้อนุมัติแผนยุทธศาสตร์ 5 ปีสร้างสวัสดิการสังคมไทยฉบับที่1(พ.ศ.2550-2554) และแผนปฏิบัติการพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมไทยเพื่อชีวิตมั่นคงพ.ศ.2550-2554 โดยมีแนวทางในการสนับสนุนดังนี้
1)ให้กระทรวง ทบวง กรมนำแผนปฏิบัติการไปจัดตั้งงบประมาณประจำปีรองรับ
2)คณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำโครงการรองรับการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ฯ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติ
3)ส่งเสริมให้มีการระดมทุนจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการสังคม ได้แก่ การบริจาคเงินเข้ากองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม การส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนของภาคประชาชน ชุมชน ท้องถิ่นและภาคธุรกิจในรูปแบบต่างๆ เช่น มูลนิธิชุมชน กองทุนสวัสดิการชุมชน เพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการสังคมได้อย่างสะดวกและคล่องตัวขึ้น
4)การขอตั้งงบประมาณกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม เพื่อใช้สนับสนุนการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ ตามแนวทางการจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมปีงบประมาณ 2550 – 2554
ระบบการตั้งงบประมาณประจำปีตามแผนงานโครงการของกระทรวง ทบวง กรมวางอยู่บนยุทธศาสตร์ที่มาจากวิสัยทัศน์/เป้าหมายและพันธกิจในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและนโยบายของรัฐบาลในแต่ละยุค โดยที่แผนพัฒนาฉบับที่ 10 มีเป้าหมายมุ่งพัฒนาประเทศสู่สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน ให้คนไทยมีคุณธรรมนำความรอบรู้ รู้เท่าทันโลก ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง สังคมสันติสุข เศรษฐกิจมีคุณภาพ เสถียรภาพและเป็นธรรม สิ่งแวดล้อมมีคุณภาพและทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืน อยู่ภายใต้ระบบบริหารจัดการประเทศที่มีธรรมาภิบาล ดำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และอยู่ในประชาคมโลกได้อย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายในการจัดสวัสดิการสังคมที่มุ่งส่งเสริมความมั่นคงทางสังคมเพื่อตอบสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐานของประชาชน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้อย่างทั่วถึง เหมาะสม เป็นธรรม โดยกำหนดยุทธศาสตร์การสร้างสวัสดิการสังคมไทยในปี 2550 – 2554 ครอบคลุมมิติด้านการศึกษา สุขภาพอนามัย ที่อยู่อาศัย การทำงานและการมีรายได้ นันทนาการ กระบวนการยุติธรรม และบริการทางสังคมทั่วไปไว้ดังนี้
1)การใช้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อสร้างความมั่นคงของมนุษย์
2)การเสริมพลังและกระจายอำนาจให้พันธมิตรในการจัดสวัสดิการสังคม
3)การป้องกันปัญหาสังคมโดยการสร้างความรู้ ค่านิยม และวิถีการดำเนินชีวิตใหม่ โดยเน้นการลดละเลิกอบายมุข
4)การสร้างสมรรถนะของระบบงาน และวิธีการปฏิบัติงาน โดยใช้การวิจัยและพัฒนา การจัดการความรู้ และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
5)การเสริมสร้างการรวมพลังเพื่อเพิ่มเป็นทวีคูณในการจัดสวัสดิการสังคม โดยพัฒนาระบบและแนวทางบูรณาการงานของหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคธุรกิจ องค์กรภาคประชาชน และชุมชน
6)การสร้างเอกภาพในการบริหารแผนยุทธศาสตร์โดยสร้างความเข้มแข็งแก่หน่วยงานกลางที่ดูแลงานสวัสดิการสังคม
7)การพัฒนาระบบการเงิน การคลัง และการปฏิรูปกฎหมายที่ส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมรูปแบบต่างๆ
รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนสวัสดิการสังคมไทยตามแผนพัฒนาฉบับที่10โดยสะท้อนการจัดสรรงบประมาณด้านบริการชุมชนและสังคมในปี 2549-2551 แสดงดังตาราง
งบบริการชุมชนและสังคม |
งบประมาณ(ล้านบาท) |
||
2549 |
2550 |
2551 |
|
การศึกษา |
|
355,241.1 |
363,164.2 |
การสาธารณสุข |
|
148,704.5 |
153,825.4 |
การเคหะและชุมชน |
|
25,689.4 |
49,195.8 |
การสังคมสงเคราะห์ |
|
112,398.8 |
115,085.9 |
การศาสนา วัฒนธรรม และนันทนาการ |
|
13,089.4 |
13,614.3 |
รวมทั้งสิ้น |
543,505.3 |
655,123.2 |
694,885.6 |
ร้อยละของงบประมาณรายจ่ายประจำปี |
39.9 |
41.8 |
41.9 |
และหากนับรวมมิติสวัสดิการสังคมด้านการทำงานและการมีรายได้ซึ่งปรากฏอยู่ในงบประมาณด้านเศรษฐกิจจำนวน 332,282.9ล้านบาท รวมทั้งการบริหารทั่วไปของรัฐที่เกี่ยวกับการป้องกันประเทศและการรักษาความสงบภายในอีกประมาณ 200,000ล้านบาทก็แสดงว่ารัฐบาลได้ใช้จ่ายงบประมาณเพื่อสร้างสวัสดิการสังคมไทยตามความหมายที่นิยามไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมเกือบทั้งหมดซึ่งมีขอบข่ายกว้างขวาง เพื่อความมั่นคงทางสังคม และการมีชีวิตที่เป็นปกติสุข ตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน และสถาบันในสังคมเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันตามที่จินตนาการไว้ในแผนพัฒนาฉบับที่10นั่นเอง
ถ้ามองแบบกว้าง รัฐต้องมีหน้าที่บริหารจัดการให้ "คนในประเทศอยู่ดีมีสุข" ถือว่าหน้าที่พื้นฐานของรัฐ และสิ่งที่รัฐทำทุกเรื่องเกี่ยวข้องกับ "สวัสดิการ" ทั้งสิ้นค่ะ
ปัญหาอยู่ที่
ประเด็นหลังเรื่องการมีส่วนร่วมกระมังคะที่เป็น "สิ่งใหม่" จริงๆใน พรบ. ส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม
แต่ต้องดูดีๆว่า พรบ.ให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมแค่ไหน หรือแค่ถ่ายโอนภาระหน้าที่ที่รัฐไทยยังมีขีดจำกัดในการดูแลประชาชนอยู่มาก
อีกทางหนึ่งที่อาจตรวจสอบ "การเปลี่ยนแปลง" ในระดับมหภาคก็คือดูว่า โครงสร้างงบประมาณช่วงห้าปีก่อนปี 50 กับ หลังปี 50 เปลี่ยนแปลงไปมากไหม (ดูจากสัดส่วนก็ได้ ซึ่งจะสะท้อนลำดับความสำคัญที่รัฐให้) กำลังสงสัยว่า จะไม่มีอะไรเปลียนแปลงเชิงโครงสร้างงบประมาณ แต่อาจเปลี่ยนแค่วิธีการทำงาน (ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าเปลี่ยนได้จริงหรือเปล่า)
ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ
บทความนี้เสนอมุมมองในด้านรายจ่ายเพื่อขับเคลื่อนสวัสดิการสังคมหรือแผน10 แบบกว้างๆ เพราะหากลงรายละเอียดในการบริการสังคมของรัฐในเชิงคุณภาพ เช่น การศึกษา และสุขภาพอนามัยซึ่งเป็นหมวดที่ใช้งบประมาณมากที่สุด ก็มีเรื่องให้วิเคราะห์วิจารณ์ได้มาก
ที่จริงนโยบายและมาตราการในการจัดสวัสดิการสังคมในด้านรายได้ของภาครัฐอาจจะมีความสำคัญยิ่งกว่า คือวางข้อตกลงว่าจะเก็บจากใครอย่างไรส่วนหนึ่งและระบบการจัดเก็บที่ครอบคลุม มีประสิทธิภาพไม่รั่วไหลอีกส่วนหนึ่ง เช่นนโยบายลดภาษีที่ออกมาก็ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ถือเป็นสวัสดิการสังคมอย่างหนึ่ง แต่จะลดภาษีให้ใครอย่างไรคือประเด็น ส่วนนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับนโยบายการเงินการคลังเพื่อกระจายรายได้ และเก็บส่วนเกินของประชาชนมาเข้ากองกลาง เช่น ภาษีมรดกที่พูดกันมานานแล้ว
ระบบจัดการของเราทั้งขาเข้าและขาออกไม่ค่อยแสดงให้เห็นแนวคิดการจัดการที่กระจายความเท่าเทียม ประเด็นนี้ผมยังไม่ชัดเจนนัก แต่สำหรับแนวคิดและระบบจัดการในช่วงขาออกผมเห็นว่าไร้ประสิทธิภาพเอามากๆ
ถ้าสนใจด้านรายได้ ก็พอจะสืบค้นงานศึกษาทางเศรษฐศาสตร์การคลังได้ค่ะ หลักการที่ช่วยในการมองเชิงประสิทธิภาพมีอยู่ทั้งด้านรายได้ รายจ่าย ...อาจารย์ภีมมองเชิงระบบดีค่ะ
เรียน ป.โท เกี่ยวกับสัสดการสังคม อยากได้แนวคิดในการทำวิทยานิพนธ์ค่ะ เพราะว่าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะทำเรื่องอะไรดี รบกวนช่วยเสนอแนวคิดได้ไหมค่ะ ขอบคุณค่ะ