อย่างที่ทราบกันดีว่า คนส่วนใหญ่นิยมออมเงินด้วยการฝากเงินไว้ในธนาคาร
ดังนั้นเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการฝากเงิน คุณจึงควรทำความเข้าใจกับบัญชีเงินฝากแต่ละประเภท ดังนี้
* บัญชีออมทรัพย์ เป็นบัญชีที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เพราะว่าสามารถฝาก และถอนออกได้ง่าย
ข้อดี : - สามารถถอนเงินเมื่อไหร่ก็ได้ ทำให้ไม่ต้องพกเงินคราวละมากๆ
ข้อเสีย : - ด้วยความที่เบิกถอนได้ง่าย ทำให้ไม่ทันระวังในเรื่องของการใช้เงิน
- อัตราดอกเบี้ยต่ำ และยังถูกเก็บภาษีดอกเบี้ยด้วย
* บัญชีเงินฝากประจำ เป็นบัญชีที่มีการกำหนดระยะเวลาที่สามารถเบิกถอนได้ เช่น 3 เดือน 6 เดือน หรือมากกว่า 1 ปี ดังนั้นคนที่ฝากเงินแบบนี้ ต้องมั่นใจว่าจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถอนเงินออกก่อนกำหนด
ข้อดี : - จะได้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าการฝากเงินแบบออมทรัพย์
ข้อเสีย : - ถ้าเบิกถอนก่อนกำหนดจะไม่ได้รับดอกเบี้ยเลย
* บัญชีเงินฝากแบบออมทรัพย์พิเศษ เป็นการฝากเพื่อเป้าหมายเฉพาะด้าน โดยผู้ฝากต้องฝากเงินเท่ากันทุกเดือนจนกว่าจะครบกำหนดที่ตกลงกันไว้
ข้อดี : - จะได้รับดอกเบี้ยสูงกว่าการฝากแบบออมทรัพย์ทั่วไป และไม่ต้องเสียภาษีดอกเบี้ย
ข้อเสีย : - สามารถเบิกเงินได้เดือนละ ครั้งเดียวเท่านั้น
นอกจากที่คุณจะต้องรู้และเข้าใจหลักการในการฝากเงินแต่ละประเภทแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องรู้ คือ การจัดสรรบัญชีเงินฝาก
การจัดสรรบัญชีเงินฝาก มีหลัก คือ ไม่เก็บทุกอย่างไว้ในบัญชีเดียว ควรแบ่งเงินตามวัตถุประสงค์ ดังนี้
บัญชีแรก คือ บัญชีออมทรัพย์ ที่คุณสามารถเปิดได้เสมอ เพื่อใช้จ่ายในแต่ละเดือน บวกกับเงินที่เผื่อไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน (ประมาณ 6 เท่าของค่าใช้จ่ายปกติรายเดือน)
บัญชีที่สอง ก็ควรเป็น บัญชีเงินฝากประจำระยะยาว เพราะจะได้ดอกเบี้ยสูงกว่าแบบอื่นๆ โดยคุณควรฝากเงินทุกเดือน อย่างน้อยเดือนละ 10% ของเงินเดือน
บัญชีที่สาม เป็นบัญชีเพื่อการลงทุน เป็นเงินที่สะสมจนเป็นกอบเป็นกำ แล้วค่อยถอนไปลงทุน เช่น นำไปลงทุนในตราสาร หรือหลักทรัพย์ประเภทอื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก ดังนั้น เงินส่วนนี้จึงควรฝากไว้ในบัญชีออมทรัพย์พิเศษ ที่ให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าการฝากในบัญชีออมทรัพย์ปกติ แต่มีเงื่อนไขว่า ผู้ฝากต้องฝากเงินสม่ำเสมอเท่ากันทุกเดือนๆ ละ 1,000 บาทขึ้นไป
ที่มา : สยามอินโฟบิส โดย Chaiyanun
ไม่มีความเห็น