ในสังคมไทย การปฏิเสธดูจะเป็นเรื่องในด้านลบ ส่วนในด้านวัฒนธรรม ก็ดูว่าจะขัดกับความเป็นผู้มีอัฌชาสัย แต่การปฏิเสธนั้นเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการตกลงตะบี้ตะบัน เห็นด้วยกับทุกข้อเสนอ เป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติ
ปฏิสัมพันธ์ของคนเป็นเรื่องซับซ้อน [หากสนใจในทางทฤษฎีปรัชญา ขอเชิญที่บันทึก ประโยชน์นิยมกับการกระทำเหนือหน้าที่ ๑. ลัทธิคานต์กับการกระทำเหนือหน้าที่ ๑. จริยศาสตร์คุณธรรมกับการกระทำเหนือหน้าที่ ๑. หรืออ่านสรุปที่อ่านง่ายกว่าที่บันทึก บ่อน, เกณฑ์ตัดสินจริยธรรม และกฎหมาย]
ตัวอย่างเช่นบันทึก ระวัง "มันฝรั่งบนเก้าอี้" (Couch Potato) เป็นการใช้ตัวตน (ไม่ว่าสร้างขึ้นหรือมีอยู่จริงก็ตาม) ล่อสาวให้ปลงใจ เพื่อหาคนรับใช้ ซึ่งหาได้ยากในสังคมของตน -- เป็นไปตามแนวประโยชน์(ส่วนตน)นิยม
จากความตอนหนึ่งในบันทึก ตกหลุม..รัก..
ความโรแมนติกที่สุดของช่วงนี้ก็คือการฝันถึงการแต่งงานหรือการได้ครองคู่ อยู่ด้วยกัน ..น่าเสียดายนะคะที่ประสบการณ์ของการตกหลุมรักนี้จะคงอยู่ไม่นาน ดร.โดโรธี เทนนัฟ ( นักจิตวิทยา ; Dorothy tennuff ) ได้ทำการวิจัยและพบว่าความคลุ้มคลั่งแบบกะติกสุดๆนี้จะคงอยู่อย่างมากที่สุดก็ประมาณ 2 ปีเท่านั้นแหละค่ะ..
หลังจากนั้น เมื่อกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ก็จะพบความแตกต่างที่เคยมองข้ามไปหมด ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าความรักไม่ดี แต่ชีวิตคู่นั้นอยู่กับความเป็นจริง ไม่ใช่ความหลงครับ [ปีหน้านี้ คุณพ่อคุณแม่ผมจะแต่งงานครบรอบห้าสิบปี ไชโย!]
เรื่องของบ่อน หรือจะเรียกอย่างหรูว่าคาสิโนก็แล้วแต่ ทั้งๆที่เห็นว่าบ่อนรวยขึ้นตลอดเวลา ซึ่งก็หมายความว่า ผู้เล่นเสียเงินไปเรื่อยๆ แต่คนก็เข้าบ่อน บทความ The Parameters of General Gambling บอกว่าเป็นลักษณะของมนุษย์(บางประเภท)ที่ชอบเสี่ยง
แต่ในบริบทของสังคมไทยนั้น ยังมีเรื่องความทุกข์ยากที่หาทางออกไม่ได้ จึงหวังลมๆแล้งๆ ว่าจะมีปาฏิหารย์เ้กิดขึ้นกับตนโดยที่ไม่ต้องทำอะไรมากนัก เป็นที่มาของการถูต้นไม้ขอเลข ไหว้สัตว์สองหัว จ่าย-รับอามิสสินจ้าง หรือแม้แต่นโยบายประชานิยมที่ผลักภาระไปไว้ในอนาคต
มีภาษิตไทยว่า "สิบเบี้ยใกล้มือ" หมายความว่า ของที่ควรได้เมื่อมาถึงตนก็รับเอาไว้ก่อน ฝรั่งมีภาษิตว่า Better an egg today than a hen tomorrow มีปัญหาอยู่นิดเดียวครับ ชีวิตคนไม่ใช่เบี้ย ไม่ใช่ไข่ หรือแม่ไก่
ในเมื่อชีวิตเราไม่มีป้ายบอกทางเหมือนกับถนนหนทาง แถมบางทีก็ไม่มีกติกากำกับด้วยซ้ำไป จะรู้ได้อย่างไรว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรจึงจะ "ถูกต้อง"
เรื่องนี้ ไม่มีคำตอบครอบจักรวาลเหมือนกับที่บรรดากูรูเขียนในหนังสือ How-to หรอกครับ แต่ว่า สติและการพิจารณาถึงสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง จะช่วยให้เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้กระจ่างขึ้น
การตัดสินใจปฏิเสธนั้น เกี่ยวเนื่องกับความเสียดายซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์เช่นกัน ถึงแม้การปฏิเสธวันนี้ อาจจะทำให้เราพลาดสิ่งที่คิดว่าจะ "ได้" ในอนาคต จริงๆ แล้ว เรายังไม่ได้เสียอะไรเลยยกเว้นเสียดาย เมื่อโอกาสผ่านเข้ามาครั้งหนึ่งได้ ก็อาจจะมีโอกาสอื่นผ่านเข้ามาอีกได้เช่นกัน (ถ้าหากไม่รีับตาย) เพียงแต่ว่าเมื่อโอกาสผ่านมา เราเข้าใจโอกาสนั้นอย่างถ่องแท้แค่ไหน
ไม่ว่าจะตอบรับ ปฏิเสธ หรือไม่ตัดสินใจ ก็เป็นการตัดสินใจแบบหนึ่ง สำหรับเรื่องใหญ่ในชีวิต ต้องรอบคอบ ดูหลายๆ มุมครับ
นี่เขียนมาจนถึงตรงนี้ ยังไม่มีคำว่าภูมิคุ้มกันเลยนะเนี่ย แตะซะหน่อยก็แล้วกัน ภูมิคุ้มกันต้องสร้างเอาเองซิครับ จะไปหวังให้ใครมาปกป้องชีวิตเราอยู่ตลอดเวลาได้
Conductor
อ่านๆ ไปก็นึกถึง คาถาในชาดกเรื่องหนึ่ง (ในหิโตปเทศก็มีเรื่องนี้) โดยมีเรื่องเริ่มต้นว่า พญาแร้งติดบ่วงของนายพราน เมื่อนายพรานจับพญาแร้งได้ จึงถามว่า
พญาแร้งจึงตอบว่า
..........
ในชีวิตจริง เราทุกคน ก็คล้ายๆ กับแร้ง กล่าวคือ มีความคิดรอบคอบสามารถป้องกันตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัยได้ (สายตาไกล)... แต่บางครั้ง เราก็มองเห็นแต่เหยื่อเท่านั่น ไม่อาจเห็นบ่วงได้ เพราะถูกความละโมบโลภมากเข้ามาครอบงำ (เห็นแต่เหยื่อ ไม่เห็นบ่วง)....
ตัวอย่างเหล่านี้ คงมีอยู่ให้เห็น... และคิดว่า คงจะมีให้เห็นต่อไป ทั้งๆ ที่เรื่องราวทำนองนี้ น่าจะเกิดขึ้นหลังจากมนุษยชาติเกิดขึ้นไม่นานนัก
เจริญพร
การตัดสินใจผิดพลาดของมนุษย์ในเรื่องต่างๆมีให้เห็นกันเป็นประจำค่ะ
ในธุรกิจก็เช่นเดียวกัน การตัดสินใจผิดพลาดเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เพราะมนุษย์โดยแท้จริงแล้วไม่เก่งกาจในการจัดการเกี่ยวกับความไม่แน่นอนสักเท่าใด บางครั้งก็ประเมินความเสี่ยงไว้ต่ำเกินไป บางครั้งก็สูงเกินไป
ตัวเอง แม้จะมีลักษณะเป็นคนว่องไวรวดเร็ว แต่ถ้าเกี่ยวกับการตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆแล้ว มักคิดแล้ว คิดอีก คิดหลายๆรอบค่ะ ไม่อยากพลาด แม้กระนั้น บางที ก็พลาดนะคะ
สังเกตดู คนที่พฤติกรรมที่มีเหตุมีผล มีวิธีการคิด และมีวิธีปฏิบัติดีๆหลายลักษณะ แต่ก็ยังตัดสินใจผิดพลาด ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจาก...
1.มองโลกในแง่ดีเกินไป (over-optimism) เพราะมักจะเชื่อมั่นในตนเองมากไป
2.ด่วนสรุปตัดสินบุคลิกลักษณะของคน ที่เพิ่งพบโดยใช้ความประทับใจ จากการพบกันครั้งแรก จนอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้
3.ความดื้อรั้น" (Stubbornness) ธรรมชาติของมนุษย์คือ การไม่ยอมละทิ้งความเชื่อที่ตนเองยึดถือไว้
4".เชื่อในประสบการณ์ของตนเอง" ซึ่งอาจไม่นำไปสู่การตัดสินใจ ที่ถูกต้องเสมอ เพราะ สิ่งใหม่ ไม่เหมือนสิ่งเก่า ประสบการณ์เก่า มีปัจจัยใหม่ๆที่เรายังไม่เคยพบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ
5."ลำดับความสำคัญผิด" บางทีคนเราไปดูสิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่เป็นส่วนประกอบมากกว่าแก่นของเรื่อง เช่น ให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตาสวยๆ มากกว่าด้านจิตใจ หรือเรื่องอื่นๆที่มีความสำคัญมากกว่า
ชีวิตของคนเราสำคัญมากค่ะ ทั้งที่สำคัญสำหรับตัวเอง ครอบครัว การงาน และเพื่อนฝูง การตัดสินใจที่ผิดพลาด ไม่ใช่จะก่อให้เกิดความความเสียหายส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบกว้างไกลต่อผู้อื่นมากนัก
ดังนั้น การจะตัดสินใจสิ่งใดที่เป็นเรื่องสำคัญๆ ไม่จำเป็นต้องรีบ ให้เวลาตัวเองมากๆ คิดให้ดี ให้รอบคอบมากที่สุด บางครั้ง ต้องปรึกษาผู้ที่เราไว้ใจและหวังดีต่อเราอย่างจริงใจด้วย เพื่อขอความเห็น จะได้ไม่เสียใจภายหลัง
พระอาจารย์ชัยวุธ: พญาแร้งต้องรับผลของการตัดสินใจของตัวเองครับ [คิชฌชาดก]
พี่ศศินันท์: ขอบคุณพี่มากนะครับ ที่รวบรวมประเด็นให้อ่านง่ายขึ้นเยอะ
สำหรับ สว.ที่มองไม่ค่อยเห็น เรียนเชิญที่บันทึก แต่งบล็อกให้ตัวหนังสือในบันทึก*และ*ความคิดเห็นมีขนาดใหญ่ขึ้น นะครับ
สวัสดีค่ะคุณ Conductor
เบิร์ดเข้ามาหลายรอบเพราะเล็งหาช่องไม่เจอ เดินวนเวียนอยู่นานตั้งแต่บ่ายแล้วล่ะค่ะ เพราะเห็นด้วยว่าการรู้จักปฏิเสธเป็นภูมิคุ้มกันชีวิตอย่างหนึ่ง
การปฏิเสธให้เป็นนี่ถือเป็นศาสตร์และศิลป์เชียวนะคะ ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน ท่าทีที่นุ่มนวล รู้ทั้งเขา และรู้ทั้งเราถึงจะประสบความสำเร็จในการปฏิเสธได้ ( ไม่เสียทั้ง 2 ฝ่าย )
ทางจิตวิทยาจะเรียกว่า Assertion ค่ะ เป็นการแสดงออกที่เหมาะสมโดยแสดงสิทธิที่พึงมีของเราอย่างถูกต้องโดยไม่ล่วงเกินสิทธิของผู้อื่น ถือเป็นทักษะที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคลและสร้างความเชื่อมั่นในตนเองค่ะ
ทำไมการปฏิเสธจึงเป็นภูมิคุ้มกันตัวเอง เพราะเมื่อเราลุกขึ้นปฏิเสธอย่างมีเหตุผล เราจะได้สิ่งเหล่านี้ค่ะ
ดูๆแล้วคนไทยเรามักจะมีการแสดงออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆค่ะคือ ไม่กล้าแสดงออกตามความรู้สึกที่แท้จริงและก้าวร้าว แต่ลักษณะที่ 3 คือการแสดงออกอย่างเหมาะสมแบบที่เรียกว่า Assertive นี้มีน้อยมากๆค่ะ ทำให้เราไม่ค่อยกล้าปฏิเสธอะไร ใครให้ไปทางไหนก็ไป..ว่าง่าย น่าเอ็นดู แถมเฮตามๆกันก็ง้ายง่าย.. ทั้งๆที่ต้องใช้วิจารณญาณในการชมแท้ๆ
ขอบพระคุณมากค่ะที่พูดเรื่องนี้ และเก่งจริงๆที่โยงเอาหลายๆเรื่องมาทำเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างน่าทึ่งเชียวล่ะค่ะ ^ ^
ขอบคุณคุณเบิร์ดครับ เรื่องนี้เป็นการจับแพะชนแกะ จนออกมาเป็น "แก๊ะ"
ผู้ที่ปฏิเสธได้ จะต้องมีความจริงใจต่อตัวเองด้วย การปฏิเสธเหมือนปลูกฝี บางทีอาจเป็นแผลคีลอยด์ แต่ก็เป็นไปเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะร้ายแรงกว่า เมืองไทยมีสิ่งที่ไม่ดีอยู่มากมาย ซึ่งเราเลือกที่จะไม่ข้องแวะได้ครับ
ทั้งหมดเป็นเรื่องของการเลือก ซึ่งเราก็ควรเลือกอย่างฉลาดใช่ไหมครับ ก่อนจะเลือก น่าจะเข้าใจก่อนว่าทางเลือกต่างๆ มีอะไรบ้าง แต่ละทางเลือกดีหรือไม่ดีอย่างไร ที่สำคัญคือเราไม่ได้กำลังทำข้อสอบปรนัยภายในเวลาที่กำหนด ดังนั้นหากไม่พร้อม เรายังมีสิทธิ์ที่จะไม่ตัดสินใจครับ
สำหรับผู้ที่กำลังเครียดกับทางเลือก (ซึ่งผมโทรไปคุยแล้ว) อยากย้ำว่าท่านเลือกไม่เครียดก็ได้ครับ (ท่านบอกผมว่าไม่เครียดแต่เสียงท่านเครียดนะครับ)
555 "แก๊ะ" นี่เข้าข่ายตัดต่อพันธุกรรมนี่นา อืมม์ มีนัยยะแฝงเยอะนิคะบันทึกนี้ พูดถึงแกะก็อยากกินแล็มช้อป ไม่ชอบกินแพะ นอกจากเอาไปทำแกงจิ้มกินกับนาน แต่อะไรก็ได้ยกเว้นนั่งกินพิซซ่ากับเบียร์บนเก้าอี้นวม ดูรายการช้อปปิ้งสั่งสินค้าทางทีวีจนหลับไป ไม่อยากกลายเป็น couch potato ค่ะ
ปล. ฝากแสดงความยินดีกับคุณพ่อคุณแม่ล่วงหน้าด้วยนะคะ ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรอย่างที่คนโบราณเขาอวยพรจริงๆ ไม่ง่ายนะคะ 50 ปีทีเดียว
คุณซูซานไม่ยอมนอน แล้วยังมาพูดเรื่องอาหารดึกๆ อีก
นัย [ไน, ไนยะ] น. ข้อสำคัญ เช่น นัยแห่งเรื่องนี้; ความ, ความหมาย, เช่น หลายนัย; แนว, ทาง, เช่น ตีความได้หลายนัย; แง่ เช่น อีกนัยหนึ่ง. (ป. นย). นัยว่า [ไน-] ว. มีเค้าว่า.
สรุปว่าเรื่องนี้มีหลายมุมจริงๆ เพราะเป็นแง่คิดครับ
สวัสดีค่ะคุณ Conductor
อมยิ้มกับอันนี้ค่ะ
สำหรับผู้ที่กำลังเครียดกับทางเลือก (ซึ่งผมโทรไปคุยแล้ว) อยากย้ำว่าท่านเลือกไม่เครียดก็ได้ครับ (ท่านบอกผมว่าไม่เครียดแต่เสียงท่านเครียดนะครับ)
การปฏิเสธเป็นสิ่งที่เรียกว่า antistress แต่ทำไมการปฏิเสธจึงก่อเกิดความเครียดตามมา.. ก็เพราะในการตัดสินใจที่จะปฏิเสธไม่ได้ประกอบไปแค่่เหตุและผลเท่านั้นน่ะสิคะ...ยังมีความรู้สึก มีความสัมพันธ์ มีความต้องการ มีความปรารถนา ฯลฯ ที่เป็นประเด็นซ่อนอยู่มากมาย เจ้าประเด็นแอบแฝงเหล่านี้แหละค่ะที่เป็นตัวการทำให้เราเครียดเวลาที่ต้องเลือกทางหนึ่งและปฏิเสธทางอื่นๆไป
เมื่อเราทราบว่าสิ่งที่ทำให้เราตึงและกำลังจะเริ่มเครียดนั้นคือประเด็นแฝงเหล่านี้ สิ่งที่ควรจัดการจึงเป็นประเด็นแฝงค่ะไม่ใช่การตัดสินใจที่เลือกแล้ว
เมื่อเราจัดการกับประเด็นแฝงต่างๆได้ในระดับหนึ่งแล้ว เราถึึงจะ้ทราบว่า..การปฏิเสธทำำให้เราเกิดความกล้าที่จะเผชิญหน้าและจัดการกับความขัดแย้งอย่างเปิดเผยได้อย่างไรและทำให้เราเติบโตจากภายในได้อย่างไรเนาะคะ ^ ^
ยืนอยู่บนความเป็นจริง น่าจะเครียดน้อยกว่าครับ (อาจมีไม่ชอบบ้าง อาจมีเสียใจบ้างเป็นธรรมดา)
แต่ปัญหาใหญ่คือไม่รู้ว่าอะไรคือความจริง