“อย่างไรจึงเรียกว่าบัณฑิตปริญญาโท-เอก”
โดย.......ธานินทร บุญยะกาพิมพ์
เมื่อคราวไปร่วมประชุมนานาชาติที่เมืองทองธานีระหว่าง 2-5 กุมภาพันธ์ 2551 ได้สนทนากับนักวิชาการมากมายทั้งคนไทยและนานาชาติ เกิดความอิ่มเอมใจมากมายเพราะองค์ความรู้ที่ได้รับนั้นหลากหลายเกินกว่าจะบรรยายได้ เป็นความรู้ทั้งชนิดประจักษ์ และชนิดซ่อนเร้นที่ภาษาประกิดเขาเรียกว่า Explicit Knowledge และTacit Knowledge ทั้งความรู้ที่เป็นเชิงวิชาการและความรู้ที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเรา ๆ ท่าน ๆ หลังจากกลับมาก็ได้ร่วมมือร่วมใจกับทีมงานในการจัดการความรู้ที่สำคัญ ๆ โดยจัดทำเป็นสารคดี (แบบที่เราคิดว่าน่าจะเป็นนะครับ) เพื่อใช้ในการเผยแพร่ต่อไป และได้ใช้งานในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2551 ในงานเวทีวิชาการของวิทยาลัยเทคนิคพิจิตรไปแล้วครับ โดยทีมงานที่ร่วมแรงร่วมใจกัน มี 4 คน คือ ท่านผู้อำนวยการประธานวิทย์ ยูวะเวส ครูสังเวย แก้วอ่วม ครูสมศักดิ์ หมอแสง และตัวผู้เขียนเอง
อย่างที่ว่ามาตอนต้น ความรู้ที่ได้รับในช่วงเวลานั้นมีมากมายจนรู้สึกอิ่มเอมใจ และรู้สึกขอบคุณวิทยาลัยเทคนิคพิจิตรที่อนุญาตให้พวกเราไปร่วมการประชุมนานาชาติในครั้งนี้ซึ่งหากท่านสนใจก็ขอแผ่นซีดีจากทีมงานได้เลยนะครับ
นอกเหนือจากความรู้ที่ได้แล้ว ผู้เขียนยังได้ข้อคิด หรืออาจจะเรียกว่าข้อสงสัยบางอย่างกลับมาด้วย เป็นข้อสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาในหลักสูตรที่สูงกว่าปริญญาตรี หรือที่เรา ๆ ท่าน ๆ เรียกกันว่า ปริญญาโท ปริญญาเอก ซึ่งมีการจัดการศึกษาหลักสูตรนี้แพร่หลาย ทั้งในภาคปกติ และภาคพิเศษ(หรือบางครั้งอาจเรียกได้ว่า “พิเศษมาก ๆ”)
แล้ว..............................เกี่ยวอะไรกับบทความที่ผมนำเสนอในครั้งนี้ครับ
ข้อสงสัยของผม คือ ลักษณะต่อไปนี้เป็นสิ่งที่น่าจะบ่งบอกความเป็นบัณฑิตปริญญาโท บัณฑิตปริญญาเอกได้หรือไม่ ใครทราบตอบที....
1. มีเงินจ่ายค่าลงทะเบียนหลักสูตรละ นับแสนบาท
2. มีความสามารถสูงในการจดจำความรู้ที่อาจารย์บรรยายในห้องแล้วนำมาใช้ทันที
3. มีความเป็นตัวของตัวเองสูง เชื่อมั่นในตนเองสูง ใครไม่จบโท-เอกห้ามเถียง (เพราะความรู้ที่ท่องจำและจดจำมานั้นสอนกันในปริญญาโท-เอกเท่านั้น)
4. มีความสามารถใช้ภาษาที่คนอื่นไม่เข้าใจ ใช้ภาษาวิชาการที่ท่องจำมาจากห้องเรียน ใช้ภาษาไทยปนอังกฤษจากที่ท่องจำและจดจำมาจากการบรรยายของอาจารย์ในห้องเรียน
5. มีบุคลิกของนักวิชาการสูง (ใช่หรือไม่ยังไม่แน่ใจ) เช่น เดินอกผาย ไหล่ผึ่ง คอแข็ง หน้าเชิด นั่งนิ่งไม่ไหวติง (เพราะกลัวผู้อื่นจะถาม) เถียงคอเป็นเอ็นในสิ่งที่ท่องจำและจดจำมาจากห้องเรียน
6. มีความสามารถในการเลือกทำงานเฉพาะที่คิดเองว่าเหมาะสมกับศักดิ์ศรีของบัณฑิตปริญญาโทและความรู้ที่ท่องจำและจดจำมาจากห้องเรียน
7. มีความรู้เฉพาะที่ท่องจำและจดจำมาจากห้องเรียน โดยไม่มีเวลาที่จะแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ได้อีกเลย
8. มีความสามารถสูงในการนำเสนอสังคมว่าตนเองจบปริญญาโท-เอก(เพื่อให้สังคมยอมรับ)
9. มีความสามารถโดดเด่นในการบอกกับผู้ที่มาขอความรู้ว่า “ไม่มีเวลา” “ ไม่ว่าง” “ งานยุ่ง” “คุณต้องรู้จักค้นคว้าด้วยตัวเอง เพราะตอนที่ผมเรียนผมก็ค้นคว้าเอง” (ความจริงคือไม่รู้แต่ไม่กล้าบอกกลัวเสียฟอร์ม)
10. มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมกับความเป็นบัณฑิตปริญญาโท-เอก (คิดเอาเองมั๊ง) โดยไม่สนใจอัฐในกระเป๋า ไม่สนใจสภาพภูมิประเทศ ไม่สนใจสภาพภูมิอากาศ
สวัสดีค่ะ อาจารย์
ขอบคุณมากครับที่แวะมาเยี่ยมเยือนกันครับ
ทุกอย่างที่อาจารย์กล่าวมา โจว่า
เป็นได้กับทุกคน ที่คิดว่าตัวเอง
(ต้อง)สูงกว่าคนอื่น........
บางคนจบ ป.เอกที่โจรู้จัก เค้า
ติดดินมากค่ะ ลุยทุกงาน กันเอง
อยุ่ที่ตัวคนมากกว่าค่ะ แต่มุม
ของอาจารย์ ก็น่าคิดน่ะค่ะ
ขอบคุณมากครับคุณโจที่กรุณามาเยี่ยมเยือนกันและให้ข้อเสนอแนะที่ผมสงสัยครับ ตอนนนี้ผมคงพอสรุปคร่าวๆ ได้ว่า"ทุกอย่างมีทั้งดีและไม่ดีปนเปกันไป" ท่านใดจะร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ก็ขอเชิญนะครับ อย่าได้ถือว่าเป็นเรื่องseriousอะไรนะครับ ขอจงใช้กระดานนี้เป็นเครื่องประเทืองปัญญานะครับ
ขอสอบถามเรื่องของการจบปริญญาเอกค่ะ เงื่อนไขการตีพิมพ์ผลงานวิจัยลงวารสารวิชาการนานาชาติ คนที่จะจบปริญญาเอกต้องผ่านเงื่อนไขนี้ทุกคนหรือเปล่า ถ้าทำไม่ได้ก็ถือว่าไม่จบปริญญาเอกใช่หรือไม่ อยากทราบเพื่อเป็นความรู้ค่ะ
ท่านใดทราบช่วยตอบคุณดวงพรด้วยนะครับ ผมจะได้ทราบด้วยครับ