บันทึกฉบับที่ 7


เทคโนโลยีสมัยใหม่

เทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ว่าเทคโนโลยีสื่อมวลชน เทคโนโลยีโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้การจัดการศึกษาบรรลุอุดมการณ์การศึกษาตลอดชีวิตสำหรับทุกคนได้อย่างไรบ้างโดยเฉพาะการจัดการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ต้องมีการวางแผยในการที่จะใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นอย่างคุ้มค่า ที่จัดหามา

โดยคำนึงถึงหลักการดังนี้

1.       เทคโนโลยีเหล่านั้นจะช่วยอะไรเรา

2.       เทคโนโลยีนำมาใช้งานเพื่อใคร

3.       เทคโนโลยีที่นำมาจะใช้เพื่อทำอะไร

เทคโนโลยีแต่ละอย่างมีข้อจำกัด ซึ่งบางครั้งการจะใช้ในเรื่องของการเรียนการสอนต้องใช้เทคโนโลยี ในลักษณะที่มีการผสมผสานกันในหลายๆอย่าง ซึ่งการเลือกใช้เทคโนโลยีในแต่ละชนิดก็แล้วแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เทคโนโลยีอาจเป็นทางแก้ปัญหาต่างๆได้แต่ก็เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้นไม่ใช่เป้าหมายในการจัดการเรียนการสอน เนื้อหาในหลักสูตรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าหากปรับใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และเนื้อหาได้ และมีการวางแผนและเตรียมการในเรื่องการใช้ให้ถูกต้องแก่หลักสูตร และกลุ่มเป้าหมาย ผู้เรียน นักศึกษา ก็สามารถติดตามข่าวสารได้ตลอดเวลา อย่าให้เทคโนโลยีที่เรานำมาใช้เป็นเพียงเครื่องประดับห้องชิ้นหนึ่ง และเราจะเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีสติ   โรงเรียนบ้านห้วยปริก ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีการศึกษา 2549          โดยได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง  ชุมชน โดยได้ดำเนินโครงการในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา โดยสรุปดังนี้

1. โครงการพัฒนาเครือข่าย (LAN) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาเครือข่าย Intetnet จากห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ 1-2 เชื่อมต่อกับห้องสมุดอิเลคทรอนิกส์ ห้องปฎิบัติการทุกห้อง ห้องเรียนระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1- ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทุกห้องเรียน ห้องสมุดของเล่น ห้องศูนย์วิชาการ ห้องธุรการ ห้องผู้อำนวยการ และห้องประชุม ทำให้นักเรียน  ครู ผู้บริหาร ผู้ปกครอง สามารถใช้  Intetnet ในการศึกษาสืบค้นข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ การติดตามข้อมูลข่าวสารทางราชการ และเอกสารทางวิชาการต่างๆได้โดยสะดวก รวดเร็ว

2. โครงการพัฒนาะบบสารสนเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำข้อมูลสารสนเทศให้เอื้อต่อการบริหารจัดการศึกษา มีความถูกต้อง ทันสมัย เป็นปัจจุบัน สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการดำเนินงาน 4 แผนงาน คืองานวิชการ การบริหารงานบุคคล งานบริหารทั่วไป งานบริหารงบประมาณ

3. โครงการคอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนรู้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาหลักสูตรคอมพิวเตอร์และการจัดการเรียนรู้ด้านคอมพิวเตอร์ตามหลักสูตรสถานศึกษาให้แก่นักเรียนช่วงชั้น ที่ 1- 2 ตามหลักสูตรสถานศึกษา และการจักกิจกรรมเสริมศักยภาพด้าน Intetnet และ CAI  เพิ่มสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมงทุกระดับชั้นเรียน โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณด้านเครื่องคอมพิวเตอร์ สื่อวัสดุ ตลอดจนการจ้างครูผู้เชี่ยวชาญจากผู้ปกครองนักเรียน และชุมชน ตลอดปีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง

4. โครงการพัฒนาด้านICT 1โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดอบรมพัฒนาบุคลากรครูให้สามารถใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการจัดการศึกษาได้ทุกคน โดยการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ อาทิ การใช้คอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน การใช้ Internet การผลิตสื่อ CAI E-Book การใช้กล้องดิจิตอลเพื่อการจัดการเรียนการสอน และการศึกษาดูงานด้าน ICT สถานศึกษาต้นแบบ การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของสถานศึกษาดังกล่าว ทำให้โรงเรียนบ้านห้วยปริก สามารถพัฒนาการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียน ครู ผู้บริหาร สามารถใช้ข้อมูลสารสนเทศและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้และการปฏิบัติงานตามภารกิจของสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้ ด้านผู้เรียน 1. ผู้เรียนทุกระดับชั้น คิดเป็นร้อยละ 100 สามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการแสวงหาความรู้ และการเรียนรู้ตามหลักสูตรสถานศึกษาได้ในระดับดีน่าพอใจ 2. สถานศึกษามีระบบเครือข่ายและเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพและมีความพร้อมในการจัดการเรียนรู้และบริหารการศึกษาเป็นอย่างดี ด้านผู้ปกครองและชุมชน 1. ผู้ปกครอง ชุมชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารของโรงเรียนและมีส่วนร่วมในการสนับสนุนทรัพยากรด้านสื่อเทคโนโลยีให้กับสถานศึกษาอย่างต่อเนื่องทุกด้าน 2. ผู้ปกครอง ชุมชน ให้การยอมรับและเชื่อมั่นในด้านคุณภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนอนุบาลสมุทรสงครามเป็นอย่างดี เป็นที่ยอมรับว่าการศึกษานอกโรงเรียนคือ กลไกที่สำคัญที่จะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างความรู้ความสามารถของประชากร และพื้นฐาน ความรู้ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตการทำงาน และการพัฒนาสังคมทั้งปัจจุบันและอนาคต
           
เมื่อสังคมไทยได้เคลื่อนจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมที่มีความสามารถผสมผสานระหว่างสังคมเกษตรกรรม สังคมอุตสาหกรรม สังคมข่าวสารข้อมูล และสังคมองค์ความรู้ การศึกษานอกโรงเรียนจึงหยุดนิ่งไม่ได้ แต่จำเป็นต้องประเมินระบบและบริการที่จัดอยู่ว่าเหมาะสม และเพียงพอที่จะพัฒนาศักยภาพของประชาชนสำหรับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปเพียงใด
           
ด้วยเหตุที่คำว่า "สังคมองค์ความรู้"
เป็นคำใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีการใช้อย่างกว้างขวาง นักคิดและนักเขียนหลายคน จึงได้ให้ความหมาย สังคมองค์ความรู้ว่า จะเป็นสังคมที่มีระบบเศรษฐกิจที่ใช้พลังความคิดมากกว่ากำลังกาย และจะใช้เทคโนโลยีในการผลิตมากกว่าแรงงานราคาถูก หรือวัตถุดิบจะมีกระบวนการสร้าง จัดระบบ ถ่ายทอด และใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้เพื่อส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างกว้างขวาง ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในสังคมองค์ความรู้ส่วนใหญ่ จึงเป็นผู้ที่มีการศึกษาและมีความชำนาญ ทั้งยังมีวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญแก่การเรียนรู้ และการมุ่งผลสัมฤทธิ์ พร้อมที่จะทุ่มเทเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในสังคมโลก ทั้งนี้องค์ความรู้ที่จำเป็นมิได้จำกัดเฉพาะองค์ความรู้ ที่ประมวลในเอกสารและตำราเหล่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงประสบการณ์และปรีชาญาณที่สั่งสมในภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วย
            ในสังคมองค์ความรู้ ประชากรจึงจำเป็นต้องมีพื้นฐานความรู้ความสามารถที่ต่างไปจากสังคมดั่งเดิมหลายประการ ในรายงานของ ธนาคารโลกในเรื่องนี้ ได้ระบุความรู้ความสามารถที่สำคัญไว้ ดังนี้
            มีเครื่องมือในการเรียนรู้ที่จะช่วยในการแสวงหาความรู้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประยุกต์ใช้ และสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ในอดีตงาน การศึกษานอกโรงเรียน จะช่วยแก้ปัญหาการไม่รู้หนังสือ และการชดเชยโอกาสสำหรับผู้ที่ไม่จบการศึกษาภาคบังคับ แต่ในปัจจุบันระดับการรู้ หนังสือได้พัฒนาจนมีความยากและซับซ้อนมากขึ้น ดังสะท้อนให้เห็นในเครื่องมือประเมินการรู้หนังสือของประชากรระดับนานาชาติ ที่จำแนก การรู้หนังสือเป็น 3 ประเภท กล่าวคือ การรู้หนังสือทั่วไป การรู้หนังสือวิชาการ และความสามารถที่จะแปลความจากสัญลักษณ์และข้อมูลทาง คณิตศาสตร์ จากการประเมินพบว่าแม้แต่ในประเทศที่พัฒนา เช่น สหรัฐอเมริกา ประชากรที่จบระดับมัธยมศึกษาถึงร้อยละ 59 มีระดับการรู้ หนังสือที่จำเป็นสำหรับสังคมในอนาคตเพียงระดับ 3 เท่านั้น การประเมินและพัฒนาระดับการรู้หนังสือสำหรับสังคมองค์ความรู้ของประชากร จึงเป็นภารกิจที่สำคัญประการหนึ่งของงานการศึกษานอกโรงเรียนในปัจจุบัน
นอกจากระดับความรู้หนังสือที่ต้องมีความซับซ้อนแล้ว การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ความสามารถในการสื่อสาร และความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ยังถือว่าเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ที่จำเป็นที่ ผู้เรียนจะต้องสามารถเลือกใช้อย่างผสมผสานและเกื้อหนุนกันในสังคมปัจจุบัน
           
ความสามารถในการจัดการการเรียนรู้ ไปจนถึงการจัดการชีวิตและการจัดการกิจการ ถือว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญในสังคมองค์ความรู้ เช่นกัน เพราะในสังคมดังกล่าวจะเต็มไปด้วยข่าวสารข้อมูลและทางเลือก มีทั้งโอกาสและข้อจำกัด หากประชากรไม่มีความภูมิใจหรือความมั่นใจ ในตนเอง ไม่สามารถจำแนกแยกแยะ ตั้งเป้าหมาย เลือกทางเลือกที่เหมาะสม วางแผน ผลักดัน การนำแผนสู่การปฏิบัติ และการจัดการกับ อุปสรรคปัญหา ย่อมไม่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตการศึกษานอกโรงเรียนจะสามารถช่วยพัฒนาความสามารถในการจัดการด้วยการสอดแทรกในการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้มีบทบาทใน การกำหนดเป้าหมาย และแผนการเรียนรู้ของตนเองอย่างจริงจัง โดยผู้สอนปรับเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ส่งเสริมสนับสนุน พัฒนาความมั่นใจและ ทักษะชีวิต เสริมความเข้มแข็ง ในการบริหารจัดการกิจการและกลุ่มพัฒนาอาชีพ

ท้ายที่สุด สมาชิกในสังคมองค์ความรู้ ยังจำเป็นต้องมีความสามารถในการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความหลากหลาย รวมไปถึงความ สามารถในการสื่อสาร สร้างแนวร่วมการมีทักษะชีวิตและระงับความขัดแย้ง และด้วยเหตุนี้การศึกษานอกโรงเรียนจึงเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างผู้เรียนจากต่างวัฒนธรรมและประสบการณ์ได้พบปะร่วมทำงาน ทำให้เกิดการรับฟังและเรียนรู้จากมุมมองที่หลากหลายซึ่งจะนำไปสู่การ เรียนรู้ และสร้างสรรค์ร่วมกัน และความเข้าใจในวัฒนธรรมที่แตกต่างกันได้ในที่สุด
ในการพัฒนาพื้นฐานความรู้ความสามารถดังกล่าวข้างต้นจึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาระบบการศึกษาตลอดชีวิตที่ผสมผสานระหว่างการ ศึกษาในระบบโรงเรียน นอกระบบโรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัย ระบบดังกล่าวจะต้องส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องในครอบครัวใน โรงเรียน ในสถานที่ทำงาน ในชีวิตประจำวัน ให้ความสำคัญแก่การวิจัย การพัฒนานวัตกรรม และระบบจัดการความรู้ สนับสนุนแหล่งเรียนรู้ ในรูปแบบต่าง ๆ ที่สามารถให้บริการอย่างกว้างขวางและทั่วถึงมีระบบการเรียนรู้หลายรูปแบบ แต่เชื่อมโยงทุกระบบทุกรูปแบบด้วยระบบเทียบ โอนความรู้และประสบการณ์ที่ยืดหยุ่น ที่สำคัญจะต้องเสริมความเข้มแข็งให้แก่ผู้เรียนในการจัดการการเรียนรู้ของตน
           
ในปัจจุบัน เป็นที่น่าชื่นชมที่กรมการศึกษานอกโรงเรียนได้พยายามพัฒนาบริการให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นด้วยวิธีที่ เป็นนวัตกรรม ในขณะเดียวกันจำเป็นต้องพิจารณาถึงแนวโน้มการพัฒนาของสังคมในอนาคตควบคู่ไปกับการสนองความต้องการเฉพาะกลุ่มมีการ ปรับเปลี่ยนบทบาทจากผู้จัด ผู้ปฏิบัติ เป็นผู้ส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษา แหล่งประกอบการ และชุมชนให้ได้เป็นกลไกในการจัดบริการการ ศึกษานอกโรงเรียน นอกเหนือจากการสอนให้ประชาชนมีพื้นฐาน ความรู้ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแล้วยังควรจัดให้มีการวาง ระบบที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการเรียนการสอนที่สำคัญที่สุด คือ การผลักดันให้ทุกคน ทุกหน่วยงานตระหนักว่าต้องเป็นทั้งผู้เรียน ที่จะได้รับประโยชน์และเป็นเจ้าภาพในการจัดการศึกษานอกโรงเรียน เมื่อนั้นงานการศึกษานอกโรงเรียนจะเป็นกลไกสำคัญสำหรับสังคมองค์ความรู้ อย่างแท้จริง
               ไม่ควรมีรูปแบบแน่นอน ไม่ควรมีกรอบกำหนด เป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มีอิสระและมีความหลากหลาย ต้องมีแหล่ง ให้เรียนรู้มากมาย เช่นตำรา หนังสือทั้งของไทยและต่างประเทศ ห้องสมุดในชุมชน อินเตอร์เน็ต วิดีโอ พิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะ สถาบันต่างๆ เป็นต้น โดยไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ในรั้วโรงเรียน เพราะโรงเรียนเป็นแค่สังคมเล็กๆ การใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนจึงมีความหมาย เพียงแค่การเรียนเพื่อให้ได้ปริญญา แต่การเรียนรู้จากสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นการสร้างคุณค่าทางภูมิปัญญา ที่มิอาจตีมุลค่าเป็นตัวเงิน ออกมาได้ แต่เป็นคุณค่าแท้จริงของชีวิต

หนังสืออ้างอิง

The World Bank, Lifelong Learning in the Global Knowledge Economy
Gamball Paul & Blackwell Paul, Knowledge Management,
Davenport Thomas, The Knowledge Economy and Thailand

คำสำคัญ (Tags): #บริหารการศึกษา
หมายเลขบันทึก: 167960เขียนเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2008 15:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 22:54 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท