การทำความเข้าใจกับหลักคำสอนของอิสลามจะทำให้รู้และเข้าใจในสังคมมุสลิม เป็นเกราะป้องกันความเข้าใจผิดที่จะนำมาซึ่งการเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
ในทางกฎหมายนั้น เมื่อผู้ใดมีสิทธิแล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงถึงควบคู่กันไปเสมอก็คือคำว่า "หน้าที่" ค่ะ ในบทความก่อนหน้านี้ นั้น ได้กล่าว ถึงบทบาทและสิทธิของสตรีมุสลิมไปแล้ว แต่บทความนี้ไม่จบ ยังมีส่วนที่กล่าวถึงหน้าที่สตรีมุสลิมไว้ด้วย จึงขออนุญาตนำมาเสนอต่อไป จะได้ครบถ้วน กระบวนความค่ะ
หน้าที่สตรีมุสลิมต่อสังคม
เมื่อกล่าวถึงสิทธิและอภิสิทธิ์ของสตรีในสังคมมุสลิมแล้ว ก็ต้องดูว่าพวกเธอได้รับความคาดหมาย หรือต้องมี "หน้าที่" อะไรบ้างต่อสังคม จากบทความเรื่อง "Women and Islam" ในเว็บไซต์ http://islamic-world.net/sister/articles.htm เขียนไว้ว่า สตรีมุสลิมพึงมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
- เธอควรมีความคิดดีและทำดีต่อผู้อื่น
- เธอควรซื่อสัตย์
- เธอต้องหลีกเลี่ยงการกล่าวเท็จ
- เธอต้องให้คำแนะนำที่บริสุทธิ์ใจ
- เธอพึงเป็นตัวอย่างให้แก่ผู้อื่นในการกระทำดี
- เธอต้องไม่โกง หลอกลวง หรือทรยศหักหลัง
- เธอต้องรักษาสัญญา
- เธอต้องไม่เสแสร้ง
เธอควรมีความคิดดีและทำดีต่อผู้อื่น
ผู้หญิงมุสลิมที่แท้จริงต้องมีบุคลิกสง่างาม เป็นมิตร อ่อนน้อม อ่อนโยนทั้งคำพูดและการกระทำต่อบุคคลอื่น เธอมีความรักในเพื่อนมนุษย์และเป็นที่รักในหมู่คนที่ห้อมล้อม ดังเช่นที่พระศาสดาทรงเป็นบุคคลที่ดีเลิศในการมีความคิดที่ดีต่อบุคคลอื่นตลอดเวลา
คุณสมบัติในการเป็นคนที่คิดดีและทำดีนี้ หากเป็นผู้นับถือศาสนาอื่นๆ แล้ว อาจจะได้มาเพราะการศึกษาและอบรมที่ดี แต่หากเป็นมุสลิมแล้ว การมีความเชื่อในอิสลามและปฏิบัติตามหลักคำสอนจะ
หล่อหลอมให้บุคคลนั้นเป็นผู้มีจิตใจดีและส่งผลทำให้กระทำดีต่อบุคคลอื่นเสมอมา เพราะอิสลามเป็นศาสนาเดียวที่มีบทกำหนดในการปฏิบัติแม้แต่ในเรื่องเล็กน้อยของทั้งชายและหญิง แต่สิ่งเหล่านั้นจะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สมานฉันท์ และเคารพซึ่งกันและกันในสังคม
เธอควรซื่อสัตย์
สตรีมุสลิมพึงมีความสัตย์จริงต่อบุคคลอื่น ทั้งนี้เพราะหลักคำสอนของอิสลามสนับสนุนความซื่อสัตย์และถือว่าความซื่อสัตย์คือคุณสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ มุสลิมจะต้องไม่พูดโกหก และต้องไม่กระทำการหลอกลวง สตรีมุสลิมเชื่อมั่นในความสัตย์ซื่อว่าจะนำไปสู่การกระทำดี และจะนำเธอไปสู่สวรรค์ และในทางตรงข้าม บุคคลที่คดโกงก็จะเดินทางไปสู่นรกเช่นกัน
เธอต้องหลีกเลี่ยงการกล่าวเท็จ
สตรีมุสลิมที่แท้จริงคือบุคคลที่ได้รับการกล่อมเกลาโดยคำสอนและแนวทางของอิสลามย่อมไม่กล่าวเท็จ เพราะการกล่าวเท็จคือ ฮาราม หรือการกระทำความผิด
"เช่นนั้นแหละ และผู้ใดให้เกียรติต่อข้อห้ามทั้งหลายของอัลลอฮฺ มันก็จะเป็นการดีแก่เขา ณ ที่พระเจ้าของเขา และปศุสัตว์ทั้งหลายได้เป็นที่อนุมัติแก่พวกเจ้า เว้นแต่บางสิ่งที่ถูกบอกกล่าวไว้แก่พวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงปลีกตัวให้พ้นจากความโสมม ซึ่งหมายถึงเจว็ดทั้งหลาย และจงออกห่างจากการกล่าวคำเท็จ" (อัลกุรอาน 22 : 30)
การเป็นพยานเท็จนอกจากจะเป็น "ฮาราม" แล้วยังเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมสำหรับสตรีมุสลิม การเป็นพยานเท็จทำให้เธอเสื่อมเสียเกียรติยศและการยอมรับ ทำให้เธอเป็นคนคดโกงในสายตาผู้อื่น พระคัมภีร์
อัลกุรอานเขียนไว้ชัดเจนว่า
"และบรรดาผู้ไม่เป็นพยานในการเท็จ และเมื่อพวกเขาผ่านเรื่องไร้สาระ พวกเขาผ่านไปอย่างมีเกียรติ" (อัลกุรอาน 25 : 72)
เธอต้องให้คำแนะนำที่บริสุทธิ์ใจ
สตรีมุสลิมที่แท้จริงไม่เพียงแต่จะต้องหลีกเลี่ยงคุณสมบัติที่ไม่ดีแล้ว เธอยังต้องมีความจริงใจและบริสุทธิ์ใจต่อผู้ที่เธอคบค้าสมาคม หากเธอเห็นว่าเขาเหล่านั้นกระทำผิด เธอพึงชักนำเขาไปในทางที่ดีโดยการให้คำแนะนำที่บริสุทธิ์ใจและจริงใจ การชักจูงบุคคลที่หลงผิดให้กลับมาเชื่อในอัลลอฮฺเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ของผู้นับถืออิสลามทุกคน
คำแนะนำที่บริสุทธิ์ใจนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับ salah (การปฏิบัติละหมาด) และ zakah (การบริจาคชะกาต) ตามคำสอนของท่าน Sahabi Jarir Ibn Abdullah และเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นที่มุสลิมทุกคนพึงมีในวันพิพากษาโลก
เธอพึงเป็นตัวอย่างให้แก่ผู้อื่นในการกระทำดี
สตรีมุสลิมที่มีจิตวิญญาณบริสุทธิ์เพราะหลักอิสลามคือปราศจากความเห็นแก่ตัวและมีความรักในเพื่อนมนุษย์ย่อมปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้พบเห็นและรู้จัก ความดีจะเป็นที่ประจักษ์และบุคคลที่ล้อมรอบเธอจักได้รับประโยชน์ ไม่ว่าเธอจะทำดีนั้นเพื่อตัวเองหรือเพื่อผู้อื่น เพราะเธอรู้ว่าบุคคลที่นำทางบุคคลอื่นไปในทางที่ดีจะได้รับรางวัลจากการกระทำนั้น ดังเช่นที่พระศาสดากล่าวไว้ว่า "บุคคลใดที่นำผู้อื่นในการทำดีย่อมได้รับรางวัลเช่นเดียวกับที่บุคคลนั้นได้รับ" (อัลฮาดิษ)
สตรีมุสลิมจะไม่โอ้อวดในการกระทำดีของตนเยี่ยงหญิงขายของพยายามขายสินค้า เพียงเธอผู้เดียวรู้ว่าเธอทำดีก็พอแล้วที่จะได้รับประทานรางวัลจากอัลลอฮฺ ซึ่งมีความสำคัญยิ่งกว่าชื่อเสียงใดๆ โดยวิถีทางเช่นนี้ ความดีของเธอจะแพร่หลายขจรขจายไปในชุมชน และทุกคนจะมีโอกาสที่จะทำในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงช่วยให้เขากระทำ มุสลิมที่แท้จริงย่อมนำทางบุคคลอื่นให้กระทำดีทันทีที่มีโอกาส และจักได้รับรางวัลอัลลอฮฺ เท่าเทียมกับบุคคลที่กระทำความดีนั้น
เธอต้องไม่โกง หลอกลวง หรือทรยศหักหลัง
สตรีมุสลิมที่จริงใจย่อมมีความสัตย์ซื่อเป็นคุณสมบัติพื้นฐาน เธอจะไม่โกง หลอกลวง หรือทรยศหักหลัง เพราะเธออยู่เหนือคุณสมบัติที่ไร้ค่าเหล่านั้น ความสัตย์ย่อมต้องการความคิดที่จริงใจ ตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ และยุติธรรม หากมีคุณสมบัติเหล่านี้แล้ว ในใจของเธอจะไม่เหลือที่สำหรับความคดโกงหรือหลอกลวง
การยอมรับหลักอิสลามคือความจริงโดยธรรมชาติและจะขับไล่บาปโทษของการหลอกลวง คดโกง หรือทรยศหักหลัง ดังเช่นที่ท่านศาสดากล่าวไว้ในฮาดิษว่า
"ใครก็ตามที่จับอาวุธต่อต้านเราย่อมไม่ใช่คนหนึ่งในพวกเรา และผู้ที่คดโกงเราก็ไม่ใช่พวกเราด้วย"
สังคมมุสลิมจึงมีแต่ความบริสุทธิ์ใจ ซื่อตรง จริงใจต่อกัน คำสัญญาทั้งปวงจะได้รับการปฏิบัติตาม หากมีผู้ทรยศหรือคดโกงในสังคม ย่อมถือว่าผู้นั้นคือศัตรูของสังคม
อิสลามมองการโกง หลอกลวงและทรยศหักหลังว่าเป็นอาชญากรรมที่จะต้องได้รับการพิพากษาทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ดังเช่นที่ท่านศาสดากล่าวว่าในวันพิพากษาคนทรยศทั้งหลายจะลุกขึ้นมาพร้อมถือธงบอกว่าเขาเหล่านั้นคือผู้ทรยศ และผู้ได้รับความอยุติธรรมจะร้องตะโกนและชี้ตัวเขา
"คนทรยศทุกคนจะถือธงในวันพิพากษา และจะถูกชี้หน้าว่า นี่คือผู้ทรยศและอื่นๆ"
ความละอายในวันพิพากษาจะเพิ่มทวีคูณเมื่อเขาเห็นท่านศาสดา ผู้ซึ่งเป็นความหวังและผู้ประสานประนีประนอมในวันสำคัญนั้นยืนอยู่เบื้องหน้าเขา เพราะพวกเขาได้กระทำผิดบาปมหันต์ จนไม่สมควรได้รับพระกรุณาจากอัลลอฮฺ และจากการประสานประนีประนอมจากท่านศาสดา
เธอต้องรักษาสัญญา
คุณสมบัติหนึ่งของสตรีมุสลิมคือการรักษาสัญญา ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่คู่ไปกับความสัตย์ซื่อ การรักษาสัญญาย่อมได้รับการยกย่องสรรเสริญ เป็นเครื่องหมายสูงส่งของคนดี สตรีใดมีคุณสมบัตินี้ย่อมประสบความสำเร็จในชีวิต ได้รับความรัก ความเคารพ และความชื่นชมจากบุคคลอื่น
ผลจากคุณสมบัตินี้ทำให้เธอมีศีลธรรม เป็นที่รักของบุตรชายหญิง เป็นที่ชื่นชมในหมู่เพื่อนฝูงคนที่รู้จักเธอ เป็นคุณสมบัติเบื้องต้นของมุสลิมที่มีความเชื่อในอิสลาม มีหลายบทในอัลกุรอานที่เน้นในเรื่องนี้ เช่น
"บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงรักษาบรรดาสัญญาให้ครบถ้วนเถิด สัตว์ประเภทปศุสัตว์นั้นได้ถูกอนุมัติแก่พวกเจ้าแล้ว นอกจากที่จะถูกอ่านให้พวกเจ้าฟัง โดยที่พวกเจ้ามิใช่ผู้ที่ให้สัตว์ที่ถูกล่านั้นเป็นที่อนุมัติ ขณะที่พวกเจ้าอยู่ในอิหฺรอม แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงชี้ขาดตามที่พระองค์ทรงประสงค์" (อัลกุรอาน 5 : 1)
"และพวกเจ้าอย่าเข้าใกล้ทรัพย์สินของเด็กกำพร้า เว้นแต่โดยวิธีที่ดียิ่ง จนกว่าเขาจะบรรลุนิติภาวะและจงให้ครบตามสัญญา (เพราะ) แท้จริงสัญญานั้นจะถูกสอบสวน" (อัลกุรอาน 17 : 34)
เธอต้องไม่เสแสร้ง
สตรีมุสลิมที่แท้จริงย่อมซื่อตรง เปิดเผยในคำพูดและความคิดเห็น ไม่เสแสร้ง ไม่ยกยอปอปั้น เพราะเธอรู้ว่าตามหลักอิสลามแล้ว การเสแสร้งคือ ฮาราม หรือการกระทำผิด
สรุป
หลักของอิสลามคือการให้สิทธิปกป้องคุ้มครองบุคคลในสังคมทั้งชายและหญิงให้ได้รับความยุติธรรมอย่างเหมาะสมกับเพศและสถานภาพ การปฏิบัติตามคำสอนย่อมนำไปซึ่งการเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่นในเบื้องต้น ซึ่งจะทำให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
แต่นอกเหนือจากนั้น หลักของอิสลามยังกำหนดหน้าที่ที่บุคคลพึงปฏิบัติต่อบุคคลอื่นในสังคม เป็นการตอบแทนสังคมที่ให้พวกเขาได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข หากทุกคนในสังคมปฏิบัติตามหน้าที่ที่ พึงมีต่อสังคมแล้ว จะทำให้สังคมนั้นน่าอยู่ยิ่งขึ้น กลายเป็นสังคมที่มีแต่ความสมานฉันท์
ทั้งหญิงและชายในสังคมมุสลิมต่างมีบทบาท สิทธิ และหน้าที่ อาจจะเหมือนหรือแตกต่างกันไปบ้างก็เพราะความเหมาะสมตามธรรมชาติ อิสลามมิได้บอกว่าชายเหนือหญิงหรือหญิงเหนือชาย แต่ทั้งสองเพศย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามเพศของตนเอง หากทั้งสองเพศยึดตามหลักอิสลามแล้ว ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง ตั้งแต่ในหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคม คือในครอบครัว ไปจนถึงในชุมชน หมู่บ้าน ตำบล จังหวัด ประเทศ และในโลก
เป็นความจริงที่ไม่สามารถจะโต้แย้งได้ว่า ความไม่รู้นำไปสู่ความไม่เข้าใจกัน และความไม่เข้าใจกันนั้นก็จะนำไปสู่สิ่งที่ร้ายแรงกว่านั้นคือความเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน การทำความเข้าใจกับหลักคำสอนของอิสลามจะทำให้รู้และเข้าใจในสังคมมุสลิม เป็นเกราะป้องกันความเข้าใจผิดที่จะนำมาซึ่งการเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
ในทางเดียวกัน คนมุสลิมที่ตระหนักในบทบาทหน้าที่ของตนต่อสังคมตามหลักอิสลาม ก็ย่อมจะต้องปฏิบัติตามหลักคำสอน ซึ่งนำมาซึ่งสันติสุขและสมานฉันท์ในสังคมและในโลก
ขอขอบคุณที่มาของบทความนี้ http://www.fpps.or.th (สถาบันนโยบายศึกษา )
บทความนี้เขียนโดยคุณ ยศวดี บุณยเกียรติ และคุณ วัลลภา นีละไพจิตร
ประณยา จองบุญวัฒนา
25 กุมภาพันธ์ 2551