แก้ปัญหา “โลกร้อน”


แก้ปัญหา “โลกร้อน”


          เรากำลังพูดกันเรื่อง “โลกร้อน” (Global Heating) นะครับ   ไม่ใช่ “โลกอุ่น” (Global Warming)   โลกของเรากำลังร้อนด้วย “เพลิงแห่งความเกลียดชัง”   จาก “ระบาดวิทยาแห่งความเกลียดชัง” (Epidemiology of Hatred) หรือกล่าวได้ว่า “โรคแห่งความเกลียดชัง” กำลังระบาดไปทั่วพิภพ


          อย่างกรณีระเบิดรถไฟใต้ดินของลอนดอน   เวลานี้รู้แล้วว่า “เกลือเป็นหนอน” คือเป็นฝีมือของคนอังกฤษเอง   ไม่ใช่มาจากคนนอกเล็ดลอดเข้ามาก่อวินาศกรรม


          นี่เป็นเรื่องน่าตกใจสุด ๆ   เพราะว่า “โรคแห่งความเกลียดชัง” ไม่ได้ระบาดมาจากภายนอก   แต่บ่มเพาะขึ้นในเกาะอังกฤษเองคือที่เมืองลีดส์


          อะไรเล่าคือเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง   อะไรเล่าที่เป็นปุ๋ย   เป็นฮอร์โมนเร่งการเติบโตของเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง


          ตั้งสติตรวจสอบกันให้ดี


          นิตยสาร  ดิอีโคโนมิสต์  ฉบับวันที่ 16 – 22 ก.ค.48   ลงหน้าปกเป็นรูปคน   ที่ตามตัวมีคำว่า Hate เต็มไปหมด   และในเล่มมีเรื่อง “The enemy within”   วิเคราะห์ปัญหาก่อการร้ายเชื่อมโยงกับคนมุสลิมภายในประเทศไว้อย่างละเอียดและลึกซึ้ง

 

                                      


          เป็นการรายงานและวิเคราะห์ที่มีคุณภาพสูงเกี่ยวกับมุสลิมหัวรุนแรงในยุโรปและในอังกฤษ
          แต่ผมว่าเป็นการมองเพียงครึ่งเดียวของปัญหา   คือปัญหาที่ต้นเหตุอยู่ที่คนอื่น   ไม่ได้มองอีกครึ่งหนึ่ง   คือรากเหง้าของปัญหาที่มาจากตนเอง   คือสังคมวัตถุนิยมบริโภคนิยมตลาดนิยมสุดขั้ว   ร่วมกับลัทธิจ้าวโลก   ถือว่าอุดมการณ์ของตนเท่านั้นที่ถูกต้อง   คนอื่นคิดแตกต่างประพฤติแตกต่างถือเป็นศัตรู   ต้องเข้าไปจัดการเพื่อผลประโยชน์ของชาติตน


          ผมมองว่าปุ๋ยที่เร่งการเติบโตของเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังคือ   การมองโลกด้านเดียวของโลกตะวันตก   นำโดยสหรัฐอเมริกา   อังกฤษ   และพันธมิตร   เป็นการมองด้านเดียวเพื่อผลประโยชน์ของตน   ผสมกับลัทธิวัตถุนิยมสุดขั้ว   ลัทธิแข่งขัน   เอาชนะ   เอาเปรียบ   ที่มากับลัทธิทุนนิยม   วัตถุนิยม   ผลักดันให้เกิด “ผู้แพ้” ในสังคม   เกิดความรู้สึกว่าตนได้รับความอยุติธรรม   ถูกกระทำอย่างไร้เมตตา   ซึ่งเป็นตัวบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์   จนเกิดโรคแห่งความเกลียดชัง


          เมล็ดพันธุ์สร้างขึ้นโดยลัทธิแข่งขัน   เอาเปรียบ   ใครดีใครได้แบบสุดโต่ง


          ปุ๋ยและฮอร์โมนเร่ง   คือลัทธิจ้าวโลก   ที่ตอกย้ำผลประโยชน์ของประเทศและสังคมของผู้เป็นจ้าวโลกแบบสุดโต่ง


          อ่านในดิ อีโคโนมิสต์   จะเห็นว่าโรคแห่งความเกลียดชังนี้   อาศัยพลังของทุนนิยมวัตถุนิยมนั่นเองเป็นตัวแพร่เชื้อ   คืออินเทอร์เนต   และเป็นการแพร่เชื้อในลักษณะที่แปลกประหลาด   คือคนที่กำลังบ่มเพาะโรคเป็นผู้แสวงหาแหล่งเชื้อหรือครูฝึกวิธีก่อความไม่สงบเอง


          ผมมองว่าจะแก้ให้ได้ผลต้องแก้ที่สมุฏฐานของโรค   คือแก้ที่โลกทุนนิยม   วัตถุนิยม นั่นเอง   โดยลดความ “สุดขั้ว” ลงไป


                                                                                      วิจารณ์  พานิช
                                                                                         17 ก.ค.48

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 1668เขียนเมื่อ 27 กรกฎาคม 2005 08:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 13:54 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ผมมองปัญหา คล้ายกับ อาจารย์ครับ

ผมเห็นว่า สงครามจริงๆ เป็นเรื่องสงครามวัฒนธรรม ที่อเมริกา
ได้ผลักวัฒนธรรมของตนทั้งชุด คือ ประชาธิปไตย-ทุนนิยมเสรี-
การโฆษณา-บริโภคนิยม-วัตถุนิยมสุดขั้ว  ไปในประเทศต่างๆ
ทั้งหลาย  ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็เพื่อประโยชน์ของตัวเองในสองด้านคือ
ประโยชน์ทางวัตถุ - จะได้ดึงทรัพยากรจากทุกๆ ประเทศมาใช้
ประโยชน์ทางอุดมการณ์ - จะได้เป็นผู้นำในกลุ่มที่เชื่อเหมือนตน

สงครามนี้ ได้ทำต่อเนื่องมายาวนาน ตั้งแต่สมัยสู้กับคอมมิวนิสต์
จนปัจจุบันคอมมิวนิสต์แพ้ไปแล้ว ก็มารบกับกลุ่มประเทศอิสลาม
(ที่คุมทรัพยากรน้ำมันอยู่) ความพยายามเอาวัฒนธรรมของตน
(ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย) เข้าไปติดตั้งในประเทศเหล่านั้น เพื่อ
ประโยชน์ของตนเอง  ย่อมทำให้เกิดการต่อต้านขึ้นแน่นอน
เพราะทำให้ประเทศเหล่านั้นสูญเสียอัตลักษณ์เดิม  ความดีงาม
เดิมๆ หายไป มีความเสื่อมเสียแบบใหม่ๆ ปรากฎให้เห็น เกิดเป็น
ความเกลียดชัง  ซึ่งก็ย่อมมุ่งเป้าไปยังอเมริกาเป็นหลัก

ทางแก้ ทางออกจากปัญหา ผมยังไม่เห็นชัดๆ เลยครับ
เพราะธรรมชาติของลัทธิอะไรก็ตาม ย่อมมีแต่จะขยายตัวไป
เรื่อยๆ  ยิ่งขยายแล้วได้ประโยชน์ ก็จะยิ่งขยายวงกว้างยิ่งขึ้น
ในลักษณะ reinforce loop  ทุนนิยมเองมีอัตราขยายใน loop
นี้สูงกว่าลัทธิอื่นๆ มาก (จึงเติบโตแล้วอยู่รอดมาได้)
คงต้องรอให้เกิดวิกฤตหนักกว่านี้  จึงจะมีกลไกมาช่วย balance
ให้ทุนนิยม ดำเนินไปอย่างสมดุลขึ้น ยั่งยืนขึ้น ตามรูปแบบการ
เติบโตแบบ limit to growth

กลไก balance ที่ผมเห็น (เชื่อว่าจะมีขึ้นมาใหม่อีกมาก) ได้แก่

  • แนวคิดอนุรักษ์ธรรมชาติ  โดยตีความออกมาเป็นมูลค่า
    อย่างสนธิสัญญา เกียวโต ที่จำกัดปริมาณ CO2
  • แนวคิด CSR (Corporate Social Responsibility) ที่จะช่วยให้
    บริษัทที่เป็นพลเมืองดี ไม่เบียดเบียนสังคมและสิ่งแวดล้อม
    ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน และตลาดหุ้นมากกว่า
  • โครงสร้างชุมชนออนไลน์ และโลกที่โปร่งใสขึ้น จะทำหน้าที่
    เผยแพร่พฤติกรรมที่ไม่ดี ของบริษัททั้งหลายให้รู้กันอย่างเร็ว
    บริษัทจะต้องพยายามรักษาภาพลักษณ์ยิ่งขึ้น ไม่งั้นลูกค้าจะ
    เกลียด  คนดีๆ จะไม่มาทำงานด้วย
  • Knowledge Based Economy ทำให้บริษัทต้องพึ่งพาคนมากยิ่งขึ้น
    เป็นปัจจัยเสริมกับข้อที่แล้ว  คือบริษัทจะเปิดให้ลูกค้าเข้ามามี
    บทบาทมากขึ้น เช่น ช่วย marketing ปากต่อปาก  ช่วยทำ product design
    และดึงคนเก่งๆ (Knowledge Worker) มาทำงานด้วย จุดนี้ทำให้
    บริษัทต้องพึ่งคน พึ่งชุมชน พึ่งสังคมมากขึ้น ไม่สามารถเห็นแก่ตัว
    เพียงอย่างเดียวได้อีก
ผมคาดว่ายังไง คงมีกระบวนการอีกหลายอันเกิดขึ้นมาคอย break
กระแสวัตถุนิยมบริโภคนิยมสุดขั้ว  ถ้าเราอยากให้โลกกลับมาดีงามอีกครั้ง
ก็น่าจะช่วยให้กระบวนการเหล่านี้ มีพลังยิ่งขึ้น  ซึ่ง KM ก็อาจะช่วยในเรื่อง
เหล่านี้ได้เช่นกัน
นายฤทธิเดช แก้วพิทักษ์

เพื่อนผมเคยส่งข้อความที่เพื่อนเขาส่งมาให้อีกที เป็นเรื่องที่คล้ายกับแบบนี้แหละ คือ พูดถึงเรื่องการเข้ามาเปิดศูนย์สินค้าใหญ่ๆของห้างต่างชาติที่เราๆท่านๆรู้จักและเป็นลูกค้ากันอยู่นั่นแหละครับ โดยเล่าเรื่องที่ ดร.นิติภูมิ นวรัตน ได้เคยพูดไว้ เกี่ยวกับการแยกดินแดนของประเทศไทย แถวจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดร.นิติภูมิได้พูดไว้น่าสนใจเรื่องการสนับสนุนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนมากเกินไป และการเปิดการค้าเสรีโดยเฉพาะสินค้าเกษตร ว่าสุดท้ายเราจะสูญเสียทุกอย่างให้กับต่างชาติ และรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้ เพราะเมื่อจะดำเนินการด้านทหารเมื่อไร ประเทศพี่ใหญ่ต้องยื่นมือเข้ามาคอยเข้าข้างต่างชาติอีกเหมือนเคย เพราะเขาก็เป็นส่วนหนึ่งที่เข้ามาหาผลประโยชน์ในบ้านเรา อ่านดูและพิจารณาแล้วน่ากลัวมากครับ สุดท้ายประเทศไทยอาจจะเป็นอย่างประเทศ Argentina ก็ได้ เพราะประเทศ argentina มีห้างต่างชาติเข้าไปดำเนินการมากกว่า 400 ห้างทั่วประเทศ แต่ผู้ส่งข้อความมาเขามี idea ที่ค่อนข้างน่าสนใจ คือ เขาเริ่มสอนลูกให้เขาให้เห็นในอันตรายเหล่านี้ด้วยการค่อยๆเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ลดการกิน KFC ลง แล้วหันไปซื้อไก่ทอดบ้านเราที่ผมก็เห็นด้วยว่าอร่อยและถูกปากกว่า หรือ การซื้อของที่ร้านโชว์ห่วยเพื่อสนับสนุนคนไทยให้อยู่ได้ ถึงแม้จะแพงกว่า เปรียบเทียบกับการซื้อของจากห้างต่างชาติที่สุดท้ายเม็ดเงินกว่า 80 เปอร์เซ็นส่งกลับประเทศเขาเอง หรือ การให้ลูกหันมากินขนมไทยๆแทนการกินขนมกรอบๆต่างที่ไม่แน่ใจว่าผ่านการปรับเป็น GMO มาหรือเปล่า ซึ่งลูกเขาก็ทำได้และเต็มใจที่จะทำด้วย ผมเห็นว่าเป็นการกระทำที่น่าสนับสนุนให้ทุกคนควรจะทำตามอย่างยิ่ง และจากข้อความเหล่านี้แหละครับ ที่ผมเคยเขียนไปแล้วว่าผมถือว่าเป็น KM ที่น่าสนใจมากถ้าทุกองค์กรคอยให้สติและเตือนกันอย่างนี้ผมเชื่อว่าคนไทยและเมืองไทยเราดีกว่านี้แน่นอนครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท