สรุปบทความวิธีการสอนแบบบรรยายโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
การสอนโดยวิธีการบรรยายเป็นวิธีสอนโดยการพูดบอก เล่า เนื้อหาสาระที่เตรียมไว้เป็นวิธีการสอนผู้เรียนกลุ่มใหญ่และเรียนในชั้นเรียน และยังมีผลการวิจัยสนับสนุนว่า เป็นวิธีการสอนที่มีประสิทธิผลที่สุด วิธีหนึ่ง
ขั้นตอนคือ เตรียมเนื้อหาให้เรียบร้อยแล้วจึงประเมินผล
ข้อดีของการบรรยายคือ สอนผู้เรียนได้คราวละมาก ๆ พร้อมกัน
ข้อจำกัด คือ เป็นกระบวนการเรียนการสอนแบบเฉื่อยชา ผู้เรียนไม่มีส่วนร่วมจึงขาดความสนใจได้ง่าย
จากทฤษฎี Learning style วิธีการสอนแบบบรรยาย ที่ใช้กันมา ไม่สนใจความแตกต่างของบุคคลในการเรียนรู้และมีลักษณะที่ผู้เรียนเบื่อหน่ายได้ง่าย
ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ ถึงข้อจำกัดนี้ก็คือผุ้เรียนมักนั่งหลับหรือเล่นกันในห้องเรียนที่เห็นอยู่คู่กับการบรรยาย จากอดีตถึงปัจจุบัน
การแก้ไขปัญหาของวิธีการสอนแบบบรรยาย
ผู้สอนต้องเตรียมงาน 3 ส่วนหลักคือ
- เตรียมเนื้อหาสาระ รู้รอบเรื่องสาระ จำกัดเวลาสร้างประโยชน์ ใช้เวลาให้คุ้ม
- เตรียมการนำเสนอ เตรียมเอกสารบรรยาย
- เตรียมใช้เทคนิคต่าง ๆ เข้าช่วยสอน เน้นการทดสอบก่อน – หลังเรียน การใช้คำถาม การใช้สื่อประกอบ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนอภิปรายแสดงความคิดเห็น
- ขั้นตอนสุดท้ายของการสอนแบบบรรยายคือ การประเมิน การทดสอบ
การบรรยายที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นวิธีการที่ ปรับปรุงวิธีการสอนแบบบรรยายที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในทุกระดับชั้นเสมอมาให้สอดคล้อง กับจัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางโดยรักษาข้อดีและข้อจำกัดของวิธีการบรรยายในเรื่องการเตรียมเนื้อหาการบรรยายและการประเมินผล ซึ่งผู้สอนต้องเตรียมในทุกขั้นให้ดีก่อนการปฏิบัติ
นอกจากนี้ต้องให้ผู้เรียนรู้โครงสร้างรายวิชาตั้งแต่เริ่มต้นและย้ำเป็นระยะตลอดเทอมอาจจักสาระเพิ่มโดยพิจารณาความสนใจและความสามารถของเด็ก แต่สิ่งสำคัญต้องเตรียม syllabus อย่างละเอียดให้ผู้เรียนเปรียบเสมือนให้แผนที่เดินทางสู่จุดหมายการเรียนที่ตั้งไว้ติดตัวตลอดเส้นทางไม่หลงหรือเลือกทางเดินผิด
ขั้นต่อมาที่ต้องเตรียมงาน คือ เตรียมเอกสารการบรรยาย เพื่อให้ได้เอกสารสื่อการเรียนรู้ได้ผลดี จะต้องเตรียมการล่วงหน้าและระวังด้วยว่าอย่าเผลอจำหรืออ่านเนื้อหาสาระเหล่านั้นเหมือนละครอ่านบทเอกสารนี้ควรทดลองเสนอในหลายรูปแบบเช่นโครงสร้างเนื้อหา Outline แผนผังต้นไม้ Tree Diagram หรือสรุปจุดสำคัญ Major point เพื่อช่วยให้เข้าใจสาระสำคัญได้ดีหากจำเป็นต้องแต่งเติมให้ชัดแจ้งก็ควรทำในส่วนของสูตรหรือหลักที่ต้องการอ้างถึงก็ต้องแยกแบ่งออกจากเนื้อหาออกมาต่างหาก รวมทั้งตัวอย่างประกอบก็ควรแยกไว้เช่นกัน อย่าลืมว่าเราใช้เอกสารเพื่อประกอบการบรรยายจึงต้องสอดคล้องกับการบรรยาย
หลักการ คือ เมื่อบรรยายให้ฟังชัดคำสั้น ศัพท์ง่าย ประโยคตรง ชี้จุดและสรุปย้ำเนื้อหา เอกสารก็ควรเสริมส่วนที่อาจขาดไปหรือเข้าใจยากนั่นเอง
การซ้อมบรรยายเป็นสิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ เพื่อประเมินดูว่าเตรียมเนื้อหาไว้เหมาะหรือไม่ อาจลองดูสัก 1-2 ครั้ง เพราะอาจมีปัญหา เช่น เนื้อหานั้นมากเกินเวลาที่มีหรือจัดลำดับเรื่องไม่สอดคล้องกันจริงประเด็นสุดท้ายหลังเตรียมเนื้อหาดีแล้ว คือ จะต้องจัดโครงสร้างการบรรยายตามเนื้อหาที่มี โดยตัดสินใจว่าเราจะต้องบรรยายให้ยากหรือง่ายเพียงไร เขียนกำหนดแก่น (Theme ) ของเนื้อหาและเหตุผลก่อนจะจัดกระบวนการบรรยายให้ผู้เรียนเข้าใจว่า เหตุทำให้เกิดผลอย่างไรโดยต้องกำหนดโครงสร้างการบรรยายให้เข้าใจเนื้อหาที่สำคัญที่สุดให้ง่าย ๆ และจัดแบ่งการบรรยายเป็นช่วงละ 10-15 นาที
ทั้งนี้ ตามหลักจิตวิทยาช่วงความสนใจของผู้เรียนจะอยู่ระหว่าง 10-20 นาที ในขณะที่คาบเรียนทั่วไปถูกกำหนด ไว้ 50 นาทีดังนั้นหากจัดการเวลาให้ได้ดี การบรรยายจะไม่กลายเป็นการร่ายยาวและผู้เรียนจะยังสนใจอยู่ได้ทั้งคาบ
การจัดโครงสร้างต้องไม่ละเลยข้อสำคัญ ช่วงท้ายของการบรรยายคือ ต้องจัดให้ผู้บรรยายมีเวลาตอบคำถามผู้ฟังเพื่อแก้ไขข้อข้องใจในเนื้อหาจนกระจ่างหรือแนะแนวทางค้นคว้าหาคำตอบด้วยตนเองต่อไปอีกนอกจากนี้ต้องเวลาเพื่อสรุปเนื้อหา เชื่อมโยงจากต้นเรื่องที่เริ่มบรรยาย มาสู่ตอนจบด้วย
เมื่อมีทั้งเนื้อหาโครงสร้างการบรรยายพร้อมก็มาเตรียมการนำเสนอ ในขั้นนี้สิ่งสำคัญคือตัวผู้บรรยาย จะต้องพร้อมเสนอเพื่อให้ผู้เรียนสนองตอบ ผู้เรียนย่อมจะสนใจผู้บรรยายที่มีชื่อเสียง เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ หรือครูผู้สอนที่มีคุณวุฒิและบุคลิกภาพน่าสนใจ สะท้อนถึงความรู้ความสามารถน่าเชื่อถือ
ไม่มีความเห็น