หลังจากใช้ชีวิตกับเกษตรธรรมชาติมากว่า10ปี ตั้งแต่ยังเรียนวิศวกรรมไฟฟ้าปี2 เมื่อปี2525 ผมเริ่มเข้าสู่แวดวงงานพัฒนาชุมชนด้านวิชาการในฝ่ายประชาสังคมของศูนย์บริการวิชาการมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เมื่อปี2541 ผมจับงานด้านองค์กรการเงินชุมชนจากการประสานความร่วมมือของสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน นับถึงวันนี้ก็เกือบ10ปีแล้ว
ช่วงหลังนี้ เริ่มขยายการเรียนรู้จากตัวขบวนองค์กรการเงินชุมชนมาเป็นระบบสวัสดิการชุมชนที่มีองค์กรการเงินชุมชนเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญ ซึ่งผูกติดกับแนวคิดสวัสดิการสังคมของรัฐ ทำให้ต้องทำความเข้าใจกับความหมายของคำว่า “สวัสดิการ” มากขึ้น
ผมพบว่าคำนี้เป็นวาทกรรมหรือการช่วงชิงพื้นที่ของกลุ่มคนในสังคม เริ่มจากการนิยามของรัฐที่แสดงไว้ในกฎหมายส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมพ.ศ.2546 แก้ไข 2550 ซึ่งให้นิยาม สวัสดิการสังคม หมายถึง “ระบบการจัดบริการทางสังคม ซึ่งเกี่ยวกับการป้องกัน การแก้ไขปัญหา การพัฒนา และการส่งเสริมความมั่นคงทางสังคม เพื่อตอบสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐานของประชาชน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้อย่างทั่วถึง เหมาะสม เป็นธรรม และเป็นไปตามมาตรฐาน ทั้งทางด้านการศึกษา สุขภาพอนามัย ที่อยู่อาศัย การทำงานและการมีรายได้ นันทนาการ กระบวนการยุติธรรม และบริการทางสังคมทั่วไปโดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิที่ประชาชนจะต้องได้รับ และการมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการสังคมทุกระดับ”
มองในแง่รัฐ ในฐานะองค์การที่ต้องรับผิดชอบดูแลคนของรัฐก็ต้อง-โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิที่ประชาชนจะต้องได้รับ และการมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการสังคมทุกระดับ
ในกลุ่มนักวิชาการที่จับงานด้านนี้อย่างต่อเนื่องคือรศ.ดร.ณรงค์ เพชรประเสริฐและคณะให้คำจำกัดความสวัสดิการสังคมว่า “การกินอยู่แต่พอดี มีสุขและมีสิทธิ” ความหมายโดยรวมจึงสอดคล้องต้องกัน แต่เป็นนิยามจากมุมของประชาชนที่เน้น “มีสิทธิ”
ความหมายที่ 3 เป็นความหมายของพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุตต์ ปยุตโต) จากคำว่าสวัสดี คือ “ความผาสุก สามัคคี และความมั่นคง” ซึ่งเป็นคำกลางๆ โดยผมนำมาขยายความเป็นสวัสดิการทางวัตถุ จิตใจและสังคม
สวัสดิการทางวัตถุ คือ พื้นฐานความต้องการเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยทางร่างกาย ประกอบด้วยปัจจัย ๔ คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค
สวัสดิการทางจิตใจและสังคม คือ พื้นฐานความต้องการเพื่อพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์และสังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน ประกอบด้วย กิจกรรมเรียนรู้เพื่อการเติบโตทางอารมณ์และจิตวิญญาณโดยการทำทาน รักษาศีล และปฏิบัติสมาธิภาวนาเพื่อให้เกิดปัญญาที่สอดคล้องกับช่วงวัยของชีวิตตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บและตาย รวมทั้งการเสริมสร้างความเป็นชุมชนและสังคมที่มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
อ.ป๋วย อึ้งภากรณ์อ้างคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า “เราตถาคตไม่เห็นความสวัสดีอื่นใดของสัตว์ทั้งหลาย นอกจากปัญญา เรื่องตรัสรู้ ความเพียร ความสำเร็จอินทรีย์ และความเสียสละ ”ความหมายทั้งหลายทั้งปวงที่นำสู่ปฏิบัติการทางสังคมถือเป็น วาทกรรม คือการช่วงชิงพื้นที่ในการสร้างความหมาย ซึ่งผมก็อยากจะมีพื้นที่กับเขาด้วย จึงได้เสนอวาทกรรม ดังกล่าวที่หยิบยืมผู้รู้มาปะติดปะต่อกัน
สวัสดีค่ะ(พระ)อาจารย์ภีม
ขอเข้ามา "ช่วงชิง" พื้นที่ในการสร้างความหมายด้วยคนนะคะ (จริง ๆ แล้วโดยหลักการก็คิดเห็นสอดคล้องกับอาจารย์ภีมนั่นแหละค่ะ อาจมีแตกต่างบ้างในรายละเอียดและวิธีการขับเคลื่อน)
ตัวเองเป็นคนชอบศึกษาเรื่อง "ภาษา" เพราะคิดว่าตราบเท่าที่มนุษย์ยังไม่สามารถสื่อผ่าน "จิต" กันได้ ก็คงยังจำเป็นต้องใช้ภาษาเป็น "สื่อกลาง" ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ภาษาจึงเป็น "ราก" ของทุกเรื่อง ซึ่งหากผู้คนในสังคมทุกระดับเข้าใจร่วมกันและให้ "ความหมาย" ร่วมแล้วได้ชัดเจนแล้ว ย่อมนำสู่ทิศทางการขับเคลื่อนสังคมนั้น ๆ สู่ "เป้าหมาย" เดียวกัน และย่อมทำให้การปฏิบัติการทางสังคมบรรลุผลคือบรรลุถึงเป้าหมายได้ค่ะ
สวัสดิการตามรากศัพท์บาลีที่ได้ค้นคว้ามานั้น คำว่า "สวัสดิ หรือ สวัสดี " มาจากคำว่า "โสตถิ" ซึ่งเป็นคำผสมมาจาก 2 คำคือ สุ แปลว่า "ดี" และ อตฺถิ แปลว่า "มีอยู่ ย่อมมี จะมี" แปลรวมความได้ความหมายว่า "ความมีสิ่งดี ๆ / จะมีแต่สิ่งดี ๆ ในชีวิต"
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้จากการกราบถามพระอาจารย์ ท่านเมตตาอธิบายขยายความว่า เวลาที่เรารับพรพระ จะมีประโยคที่ว่า "สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต....ฯ " สทา แปลว่า "ในกาลทุกเมื่อ" โสตฺถิ แปลว่า "ความสวัสดีทั้งหลาย" ภวนฺตุ แปลว่า "จงมี" และสำหรับคำว่า เต แปลว่า "แก่ท่าน"
ดังนั้น พระจึงให้พรพวกเราว่า "ขอความสวัสดีทั้งหลายจงมีแก่ท่านในกาลทุกเมื่อ เทอญ"
สวัสดิการ จึงหมายความถึง "ความมีสิ่งดี ๆ (ในชีวิต)" นั่นเอง
โจทย์ก็คือ แล้วเราให้ความหมายของคำว่า "ดี" อย่างไร???
ผู้คนในสังคม "เข้าใจ" และ "เข้าถึง" คำว่า "ดี " นี้อย่างไร???
ตัวเองคิดว่าสื่งที่ท่านอาจารย์ป๋วยกล่าวอ้างคือ คำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “เราตถาคตไม่เห็นความสวัสดีอื่นใดของสัตว์ทั้งหลาย นอกจากปัญญา เรื่องตรัสรู้ ความเพียร ความสำเร็จอินทรีย์ และความเสียสละ ” เป็นสิ่งจริงแท้ ซึ่งก็มีคำถามตามมาคือ แล้วเราจะสร้างขบวนการทางสังคมเพื่อขับเคลื่อนเรื่องของ "ปัญญา ตรัสรู้ ความเพียร ความสำเร็จอินทรีย์ และความเสียสละ" กันได้อย่างไร???
ถือว่าเป็นคำถามที่ "ชวนคิดชวนคุย" ตามประสาคนขับเคลื่อนงานทางสังคมด้วยกันนะคะ
ไม่แน่ใจว่า ณ ปัจจุบัน "สวัสดิการ" เป็นวาทกรรมหรือไม่ แต่การให้ความหมายเป็นไปตามสิ่งที่ผู้ให้ความหมาย "อยากเห็น อยากให้เป็น"
ในความเป็นจริง ในหลายสังคม มนุษย์แสวงหาสิ่งที่ตัวเองเห็นว่า "ดี" กับตนเอง ที่เผื่อแผ่หน่อยก็จะมองหาสิ่งที่ "คิดว่าดี" กับสังคมและคนอื่น ส่วนคนอื่นๆจะ "เห็นดี" "เห็นความสำคัญ" ด้วยหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อาจารย์ป๋วยมีความฝัน สิ่งที่อาจารย์ป๋วยเขียนไว้บรรทัดสุดท้ายซึ่งอ้างถึงคำสอน (ปรารภ?) ของพระพุทธเจ้านั้น มักไม่ค่อยมีคนกล่าวถึงและจะถูกตัดทิ้งไปในการอ้างอิงด้วย แม้แต่ตัวบทความอาจารย์ป๋วยที่นักเศรษฐศาสตร์พยายามหยิบจับมาพูดถึง แท้จริงแล้วก็ยังได้รับความสนใจน้อยมากจากผู้กำหนดนโยบาย.. จนเร็วๆนี้ที่เริ่มมี "กระแส" ด้านนี้เพิ่มขึ้น
โดยส่วนตัวนั้น มองเห็นนัยยะของสวัสดิการตั้งแต่เริ่มทำเรื่อง "ระบบแลกเปลี่ยนชุมชน" ที่ผู้คนช่วยเหลือกันโดยไม่ต้องผ่านเงินตรา
การนำแนวคิดเรื่องสวัสดิการ (อย่างที่ควรจะเป็นตามความฝันของหลายๆท่าน) ไปสู่การปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องที่ใหญ่มากเพราะแทบจะหมายถึงการปรับเปลี่ยนวิธีคิดและโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมด้วยซ้ำ
นักพัฒนาอาจทำได้เพียงสร้าง "กิจกรรมและกระบวนการ" ภายใต้วิธีคิดและโครงสร้างใหญ่ที่ครอบอยู่ แต่หากสร้างวาทกรรมได้จริง ก็คงจะแย่งชิงพื้นที่ทางความคิดได้ไม่มากก็น้อย