คนของหัวใจ....นี่เป็นบันทึกการทำงานวันสุดท้ายแล้วสำหรับทริปนี้แล้วนะครับ ใกล้จะได้กลับเมืองไทย แต่จะได้ใกล้คนของหัวใจหรือเปล่านั้น ....ยังหวั่นใจ
วันนี้เดินทางเลาะเลียบริมฝั่งแม่น้ำโขงจากหลวงพระบางไปทางใต้ครับ ได้ผ่านชุมชน บ้านสิง เมืองขาย บ้านอู้ ปากชี โคกมัน บ้านแซนคะลก(ชื่อแปลกดี) บ้านปากเผาะ ไปจนถึงบ้านหาดทราย ทุกชื่อบ้านนามเมืองล้วนมีความหมายและที่มาของเขาครับคุณ ยกเว้นบ้านแซนคะลกที่ผมไม่สามารถถามที่มาของนามได้
เส้นทางดินขรุขระ พารถของพวกเราเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เป็นเพราะพี่น้องแถบนี้ใช้การสัญจรทางน้ำเป็นหลัก จึงทำให้ถนนไม่ได้รับการปรับปรุง รถต้องไต่ลงข้ามลำห้วยแล้งน้ำหลายสาย แล้วปีนขึ้นเขาสูงหลายลูกสลับกันไปตลอดระยะทางจากบ้านหนึ่งไปอีกบ้านหนึ่ง
ผมเห็นการถ้อยทีถ้อยอาศัยในระหว่างที่มีรถสวนทางมา ผมเห็นรถคันหนึ่งต้องค่อยๆถอย อีกคันหนึ่งค่อยๆเดินหน้า แล้วหยุดพักเป็นระยะๆเมื่อถึงจุดที่คิดว่าจะหลีกเว้นให้อีกคันหนึ่งเคลื่อนผ่านไปได้ในเส้นทางที่คับแคบนี้
ที่บ้านหาดทราย ผมถูกเชิญให้ร่วมพาข้าวในงานแต่งดอง แปลกใจที่เห็นแต่พ่อแม่เจ้าบ่าว(คิดเอาเอง) ที่ไหนได้เป็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวเอง ก็เห็นมีวัยสูงพอสมควรประมาณสี่สิบกว่าปลายๆแล้ว นายบ้านเล่าว่าทั้งคู่อยู่กินกันมายี่สิบกว่าปีมีลูกสามคนแล้ว แต่ตอนนั้นยังจนไม่ได้จัดงานแต่งงานผูกแขน เมื่อเก็บหอมรอมริบสร้างฐานะได้แล้วจึงจัดงานฉลองสมรส เพื่อทำพิธีให้ถูกต้อง และเลี้ยงอาหารเพื่อนบ้าน
ผมรับน้ำใจจากเจ้าสาว(วัยใกล้เคียงกัน) สองจอก เขาว่างานดองต้องดื่มคู่ เอ้าสองก็สองประเพณีการฉลองแต่งงานภายหลังอยู่กินกันมานานๆแบบนี้ ผมก็พบในหมู่พี่น้องชาวดงหลวงบ้านเรานะครับ ผมเลยคิดเล่นๆ (แต่หวังจริงๆ)ไว้ว่า ถ้าเรามาจัดงานอย่างนี้ที่ดงหลวง หรือที่หลวงพระบางกัน คนคงเห็นเป็นเรื่องธรรมดา คงถามเราว่ามีคนตัวเล็กกี่คนแล้วนะคุณนะ
พญานาควัดบ้านปากเผาะ
ชูชก กับนางอมิตตาดา วัดบ้านปากเผาะ
ที่บ้านปากเผาะ ผมเห็นคนนั่งอยู่ตามใต้ถุนบ้าน หรือนั่งเป็นกลุ่มๆตามข้างทาง เลยเข้าไปกราบพระ และคุยกับผู้เฒ่าในวัด(บ้านนี้ผมต้องอาศัยวัดเพราะยังไม่สร่างเมาไปบ้านนายบ้านกลัวว่าต้องรับน้ำใจอีกหลายจอก) ถึงได้รู้ว่าเป็นวันค้ำ(อีกแล้ว) แต่เป็นวันค้ำอีกอย่างหนึ่งครับ ที่ในชุมชนมีคุณยายท่านหนึ่งลาโลกไปครับ ในระยะสามวันที่จัดพิธีส่งคุณยายเดินทางข้ามภพนี่ พี่น้องในชุมชนห้ามออกไปไร่ไปนาครับต้องอยู่ช่วยงานตลอด
เป็นระบบทางสังคมที่น่าชมเชยดีจังครับคุณ ทางบ้านเราเดี๋ยวนี้มีงานก็ไปฟังสวดกลางคืนเพียงชั่วสองสามชั่วโมง วันเผาก็กะเวลาให้ทันไปวางช่อไม้จันทน์เท่านั้น แม้แต่ที่ในชนบทเมืองมุกดาหาร เขาต้องออกกฎกันว่าในวันเผาศพหากบ้านไหนไม่ส่งตัวแทนไปร่วมงานต้องเสียค่าปรับห้าร้อยบาทแน่ะครับ เหนื่อยใจนะคุณนะ
ป้ายอนุโมทนาบุญ วัดบ้านแซนคะลก
รูปเขียนหน้าประตูสิม วัดบ้านแซนคะลก
เราแวะทานข้าวห่อกันที่บ้านแซนคะลก เพื่อนคนลาวเห็นอาหารที่ผมห่อไปมีแต่ของทอด ของย่างไม่มีพริกมาช่วยชูรส จึงเดินไปซื้อตำแตงที่ร้าน สักครู่มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาชวนไปนั่งกินข้าวที่บ้านเขา ซึ่งก็คือร้านขายส้มตำนั่นเอง พอเห็นหน้าชัดๆจำได้ว่าเป็นพ่อคนขับรถคันที่เราถอยหน้าถอยหลังหาที่หลีกสวนกันบนทางแคบเมื่อเช้านั่นเอง จำสร้อยคอทองคำสีแปลกๆขนาดเท่านิ้วชี้ที่คอเขาได้ เขาบอกว่าเป็นทองที่ซื้อรวบรวมจากคนร่อนทองในหมู่บ้านนี้ แล้วไปจ้างช่างตีสายสร้อย
เรียกว่ามิตรภาพเริ่มจากการถ้อยอาศัยบนท้องถนน จึงรับน้ำใจด้วยเหล้าขาวชนิด ป.ต.อ. (ประชาชนต้มเอง) ดองสมุนไพรทั้งพืชทั้งสัตว์ ไปอีกหนึ่งจอกเพื่อมิตรภาพ สองจอกเพื่อให้เป็นคู่ สามจอกเพื่อส่องทางกลับ ผมรีบจบแค่สามแล้วเอาตัวรอดด้วยการขอตัวไปเดินชมวัด
เทวสัตว์ในจินตนาการ ภาพพิมพ์หมึกทองวัดบ้านโคกมัน
เพื่อนข้าราชการลาวที่ร่วมทางมาด้วย ช่างเป็นคนที่มีญาติพี่น้อง มีเสี่ยวฮักเสียทุกหมู่บ้าน ผมจึงต้องรับน้ำใจอีก บ้านละจอกสองจอก แล้วรีบขอตัวไปเดินชมพุทธศิลป์ในวัดประจำชุมชน
ทศชาติในเครื่องแต่งองค์แบบลาว วัดบ้านสิง
แม้ว่าจะมีดีกรีในกระแสเลือด(นอกเหนือจากน้ำตาลที่สูงตามปกติ) แต่ผมก็เห็นความมีเสน่ห์ของศิลปะท้องถิ่น ของช่างชาวบ้าน ซึ่งแตกต่างจากฝีมือช่างหลวงในเมืองหลวงพระบางอย่างลิบลิ่ว
นั่นเป็นเพราะผมมีคุณอยู่ข้างในจิตใจ เคียงคู่ไปไหว้พระชมวัดกับผมนั่นเองครับ
สวัสดีครับคุณเป ลี่ ยน
ภูมิปัญญาชาวบ้านดูงดงาม...ไม่มีสิ่งปรุงครับ
ขอบคุณครับ
อ้ายเปลี่ยน
สวัสดีครับ
สวัสดีครับ
นายช่างใหญ่ ฝีมือช่างท้องถิ่นมีเอกลักษณ์ที่สะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่นครับ ผมว่าอีกหน่อยจะกลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญาชาวบ้านเหมือนที่ คุณ ธ วัช ชัย เคยเขียนไว้เรื่องภาพวาดวัดภูมินทร์ที่น่านครับ
เห็นภาพวาดตามวัดแล้วคิดถึง น้องออต มากๆครับ ท่านครูบาครับ