Nan & Ball Chongbunwatana
นายและนาง คมกฤชและประณยา จองบุญวัฒนา

2. บันทึกฉบับปฐมฤกษ์: ก่อนออกเดินทาง -ต่อค่ะ -


อาชีพแม่บ้านไม่เคยอยู่ในความคิดคำนึงตลอดระยะเวลา 30 กว่าปีที่เติบโตมา

ในที่สุด คืนก่อนเดินทางก็มาถึง ปวดเฮด (หัว) สุดๆ  เพราะคืนก่อนหน้านั้น เราต้องเรียกคนงานชายที่บ้าน 4-5 คน มาช่วยกันย้ายของจากคอนโด ที่เรามาเช่าอยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานบอล เพื่อกลับไปบ้าน ที่ท่าพระ ไม่ได้นอนเลยทั้งคืน

วันรุ่งขึ้น เราไปเลือกตั้งล่วงหน้า หลังจากเสร็จแล้วจึงแวะไปซื้อของใช้ที่จำเป็นที่ยังขาดอยู่ และกลับไปจัดข้าวของที่บ้านที่ท่าพระประมาณเกือบสามทุ่มของคืนก่อนเดินทาง พี่เลี้ยงและคนงานหญิงมาช่วยจัดข้าวของที่บ้าน 2-3 คน บ้านที่ไม่ได้อยู่ประจำก็ไม่ค่อยสะอาด จึงต้องให้คนงานทำความสะอาดกันยกใหญ่    ก่อนที่จะได้มาช่วยจัดของก็เวลาล่วงไปถึงเกือบเที่ยงคืน ช่วยหยิบช่วยจับได้สักพัก ก็บอกให้คนงานไปพักได้เพราะก็ดึกมากแล้ว คงยังมีแต่น้องๆ ของสามีที่ยังรอช่วยแพ็คของอยู่  ยังดีที่ ที่บ้านเรามีอุปกรณ์การแพ็คของแบบมืออาชีพ เนื่องจาก ที่บ้านเป็นโรงงาน บางครั้งต้องส่งของไปให้ลูกค้าในต่างประเทศ ก็ต้องแพ็คกันให้ดี แน่นหนา เพื่อให้ไปถึงปลายทางโดยที่สินค้าไม่เสียหาย  เราก็ได้นำเตารีด    ไอน้ำแบบที่ไม่ต้องใช้ Iron Board (แท่นรองรีด) เป็นเครื่องสตีม ซึ่งรูปทรงค่อนข้างยาว เครื่องฟอกอากาศ ซึ่งใหญ่มากและหนักราว 20 กว่ากิโล มาด้วย ส่วนเครื่องกรองน้ำระบบ   รีเวิร์ส ออสโมซิส นั้นได้ซื้อต่อจากเพื่อนข้าราชการที่อยู่ที่นั่นและกำลังจะย้ายไปประจำการต่อที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จึงลดภาระในการขนของลงไปได้บ้าง

ส่วนอาหารนั้น ตามที่ได้รับการแนะนำจากผู้ที่อยู่ที่นี่อยู่แล้วนั้น บอกว่าให้นำอาหารที่ปรุงสำเร็จแล้ว ไปแช่ช่องแข็ง แล้วค่อยไปอุ่นเตาไมโครเวฟก่อนทานเอาที่นั่น ก็จะสะดวกที่สุด ให้เอาไปให้มากที่พอจะทานได้เป็นหลายเดือน เนื่องจากคนที่อยู่ที่นั่นก็ทำแบบนี้กันทุกคน เพราะร้านอาหารที่บังกลาเทศไม่ค่อยได้มาตรฐานเรื่องความสะอาด เราไม่สามารถที่จะไปนั่งทานร้านไหนๆ ก็ได้ เหมือนในเมืองไทย หากจะทานนอกบ้าน ควรเป็นร้านในโรงแรมระดับดี และร้านที่ได้รับการรับรองว่ามีความปลอดภัยตามมาตรฐานความสะอาดของอาหารเท่านั้น ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรงแบบเฉียบพลัน อาหารเป็นพิษ และโรคบิด โรคอหิวาต์ ต่างๆ นาๆ แต่เราก็ไม่ได้เตรียมอะไรไปมากนักเพราะปกติแณณไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการทานอาหาร เท่าใดนัก สังเกตได้จากรูปร่างที่อ้วนพี

ตอนก่อนไปเรียนที่ประเทศอังกฤษนั้น ใครๆ ก็บอกให้เตรียมอาหารไทยไปเยอะๆ แณณก็หอบไป แต่พอไปอยู่ที่นั่นจริงๆแล้ว อาหารการกินไม่ได้ลำบากเลย ที่ตลาดโซโห ในลอนดอน (และตามเมืองอื่นๆ ก็เช่นกัน ) มีหลายร้านที่นำเข้าวัตถุดิบจากไทย หาได้ทุกอย่าง จริงอยู่ราคาอาจจะแพงกว่าเมืองไทย แต่เราก็ไม่ได้ซื้อมาทำทานกันทุกวัน เนื่องจากอาหารท้องถิ่นของอังกฤษที่ใครๆ ว่าแย่มากๆ นั้น แณณและบอลก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด รูปร่างจึงอ้วนพีขึ้นมากในระหว่างช่วงที่กำลังเรียนต่ออยู่ที่ประเทศอังกฤษ (แต่กลับมาอ้วนสุดๆ ก็ตอนที่กลับมาอยู่เมืองไทยนี่หล่ะค่ะ) และเวลาที่เราได้ไปท่องเที่ยวตามประเทศต่างๆ เราก็ชอบกันมากที่จะทดลองอาหารที่เป็นอาหารประจำชาติของประเทศที่เราไป 

ด้วยนิสัยดังกล่าว จึงแอบคิดเข้าข้างตัวเองไปว่าน่าจะโอเค (ประมาณว่าให้กำลังใจตัวเองหน่ะค่ะ) เราคงไม่ต้องหอบอาหารไปมาก สมัยอยู่ที่อังกฤษ  อาหารแขก พวก Kebab ไก่ หรือ ไก่ Tandoori  และพวกแกงเผ็ด ต่างๆ เราก็ไปทานกันบ่อย เพราะราคาไม่แพงและสะดวกรวดเร็วเหมือน ฟาสต์ฟู๊ดเมืองไทย  ( ตอนนั้นเรายังนิยมบริโภคไก่กันอยู่ค่ะ เพราะไม่ค่อยได้ทานเนื้อ) ดังนั้น คงไม่ต้องเตรียมอะไรไปมาก แค่ มาม่าเอาไว้กันหิว (ตาย) ก็น่าจะพอ เราไม่ได้นำอาหารที่ปรุงสำเร็จไปแช่แข็งอย่างที่พวกรุ่นพี่ที่อยู่ก่อนแนะนำ แต่ด้วยความที่เราสองคนชอบทานหมู อาหารที่เอาไปส่วนใหญ่เป็นพวกไส้กรอกหมู หมูแฮม  หมูยอ กุนเชียง  แล้วก็ในปริมาณที่ไม่มากเท่าใดนัก กะว่าพอทานแค่ช่วงที่จำเป็นคือ สองอาทิตย์แรก ก็น่าจะพอแล้ว หลังจากสองอาทิตย์ไปแล้วนั้น แณณก็เชื่อมั่นมากกว่า เราจะสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและจะสามารถทำความคุ้นเคยกับบ้านใหม่ของเรา ในเมืองใหม่ ประเทศใหม่ ได้เร็วปานจรวดสายฟ้าแลบ อย่างไรเสีย ก็คงจะต้องมีหมูขายบ้างแหละน่า  J

 เอ .... ไม่รู้ว่าเราสองคนจะเก่งจริงอย่างที่โม้ไว้หรือเปล่านะคะ  อ่านมาจนถึงตอนนี้แล้ว ท่านผู้อ่านพอจะทราบคำตอบของตัวท่านเองบ้างหรือยังเอ่ย ว่าถ้าหากเป็นท่านแล้วหล่ะก็ ท่านจะตัดสินใจอย่างไร ท่านจะเลือกเดินทางไหนดี ระหว่าง

ข้อ 1. อยู่เมืองไทยต่อไปก่อน รอให้ได้ ซี 7 และทำงานไปอีกสักสองสามปี พอสามีได้ย้ายไปประเทศพัฒนาแล้ว ค่อยขออนุญาตลาติดตาม (ซึ่งก็จะสามารถมีลูกในระหว่างนั้นได้ หรือแณณอาจจะไปเรียนอะไรเพิ่มเติมก็ได้ ซึ่งอยู่ภายใต้ระเบียบของราชการซึ่งอนุญาตให้ข้าราชการลาติดตามได้คราวละ 2 ปี และสามารถลาติดต่อกันได้อีก คราวหนึ่งคืออีก 2 ปี รวมระยะเวลาทั้งสิ้นต้องไมเกิน 4 ปี หากเกินกว่านั้นก็ให้ลาออกจากราชการ และในระหว่างลานั้น ไม่ให้มีการจ่ายเงินเดือน และจะไม่ได้รับการพิจารณาความดีความชอบและผลงานแต่อย่างใด   หรือว่า 

ข้อ 2. ลาติดตามสามีเลยเหมือนอย่างแณณ (ซึ่งการทำงานในช่วงเดือน ต.ค.- ธ.ค. ที่ผ่านมาของแณณ จะไม่ได้รับการพิจารณาให้เลื่อนขั้นเงินเดือน เพราะไม่ครบกำหนด 4 เดือนตามระเบียบของการพิจารณาขั้นเงินเดือนของทางราชการ) โดยยังไม่ทราบว่าเมื่อระบบราชการมีการปรับเลิกระบบซี แล้วนั้น ตัวแณณ จะโดนไปจับวางไว้ตรงไหน ในส่วนราชการที่ตัวเองสังกัดอยู่ เรียกได้ว่าไม่ทราบอนาคตทางอาชีพของตนเองเลยหล่ะค่ะ  และก็มี dilemma (หมายถึง สถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจเลือกระหว่างสองสิ่งที่มีความสำคัญมากต่อตัวผู้ตัดสินใจเท่าๆ กัน)  

อีกประเด็นหนึ่งคือ แล้วอีก 3 ปี ให้หลังที่สามีจะไปออกประจำการในประเทศพัฒนาแล้วนั้น แณณจะลาติดตามต่อหรือไม่ หากลา ก็จะลาได้อีกคราวหนึ่งคือลาได้เพียง 2 ปี ตามระเบียบราชการ แล้วปีสุดท้ายก็ต้องกลับมาทำงานโดยให้สามีอยู่ต่อไปคนเดียว หรืออาจจะเป็นว่า ปีแรกอาจจะไม่ตามไป เว้นไว้ 1 ปี เป็นช่วงฟันหลอตรงกลาง เพราะอย่างไรเสียแณณก็ไม่สามารถลาติดตามได้ทั้ง 5 ปี เพราะจะเกินระยะเวลาที่ระเบียบราชการอนุญาตไว้ ไม่เช่นนั้นก็จะต้องลาออกจากราชการไปเลย L  กลายเป็นแม่บ้านขนานแท้ ซึ่งที่จริงแล้ว ตัวแณณเองรวมทั้งคนรอบข้าง เช่น คุณพ่อ คนรักเก่า และผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ  ก็คาดหวังอยากเห็นแณณเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในฐานะ Career woman คนหนึ่งในวงการราชการไทย อาชีพแม่บ้าน ไม่เคยอยู่ในความคิดคำนึงและความปรารถนาของแณณมาก่อนตลอดระยะเวลา 30 กว่าปีที่เติบโตมา

นอกจากนี้ยังมีคำถามกวนใจจิปาถะอีกมากมายคือ ตามประสาคนเคยทำงานมาตลอดตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรีและปกติเป็นคนค่อนข้างที่จะไฮเปอร์ ชอบทำอะไรหลายๆ อย่าง ชอบที่จะฝึกให้ตัวเองมีสามารถหลากหลาย ชอบที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ แณณจะไม่เบื่อหรือนี่ ที่จะต้องไปอยู่เป็นแม่บ้านเฉยๆ  ในเมืองที่ดูจะไม่มีมหาวิทยาลัยที่สอนวิชาที่เราต้องการเรียนเพิ่มเติม และสถาบันอะไรอย่างอื่นให้ไปเรียนวิชาความรู้เพิ่มเติมได้เลย 

ครั้นคิดจะมีลูกก็คงจะมีไม่ได้เนื่องจากบอลได้ข้อมูลมาว่าที่บังกลาเทศ ไม่มีโรงพยาบาลและหมอเพียงพอกับจำนวนคนไข้ (ที่นี่มีประชากรเยอะมาก) และโรงพยาบาลที่นี่ก็ไม่ทันสมัยเท่าเมืองไทย บางท่านอาจจะเคยทราบแล้วว่าชาวบังกลาเทศ เป็นลูกค้ารายใหญ่ของโรงพยาบาลดังๆ ในเมืองไทยแถว ถนนเพชรบุรี สุขุมวิท  และคนที่นี่ขอวีซ่าไปเมืองไทยเพื่อไปรักษาพยาบาลในเมืองไทยกันวันละเกินร้อยคนค่ะ อย่างต่ำสุดนะคะ ดังนั้นทั้งแณณและสามีเห็นพ้องกันว่า หากจะมีลูกก็คงไม่สะดวกที่จะตั้งครรภ์ที่ประเทศนี้ เนื่องจากที่สามีได้ทราบข้อมูลมานั้น ความเป็นอยู่ค่อนข้างจะลำบาก และอันตราย  โรงพยาบาล หมอ ก็มีไม่เพียงพอ หากมีลูกแล้วเราดูแลได้ไม่ดี ก็อย่าเพิ่งมีเสียดีกว่า ลำบากทั้งเราและลูกเราด้วย และบอลเองก็ยังไม่พร้อม (แม้เจ้าตัวจะอยากมีลูกแล้วก็ตาม) ที่จะดูแลลูกและภรรยาในประเทศที่ตัวเองก็ยังไม่ทราบว่าจะ suffer มากน้อยเพียงใด ดังนั้นเรื่องการมีลูกในช่วงสองปีที่อยู่ที่นี่ ก็เป็นอันพับเก็บเข้ากระเป๋าไปเลยค่ะ 

แต่ผู้หญิงนี่มีลูกตอนอายุมากก็ไม่ค่อยดีใช่ไหมคะ หากรออีก 2  ปี นี่ สภาพร่างกายแณณก็อาจจะไม่พร้อมเหมือนตอนนี้แล้วก็เป็นได้ค่ะ เพราะปีนี้ก็อายุ 32 เข้าไปแล้วค่ะ นี่แหละค่ะอะไรเหล่านี้ที่เป็นสิ่งที่ต้องคิด ต้องทบทวน คนเราหากจะดำเนินชีวิตให้ราบรื่นและประสบความสำเร็จ  ก็ต้องมีการวางแผนชีวิตกันไว้ล่วงหน้าใช่ไหมคะ แล้วอย่างนี้ทำอย่างไรดีหล่ะคะ ที่เคยคิด เคยวาดฝันกันไว้ ทั้งเรื่องงานที่อยากทำ เรื่องเรียน เรื่องมีลูก มีอันต้องอันตรธานไปแล้ว แล้วครอบครัวเราจะเป็นอย่างไร ต่อไป เราจะตัดใจไม่มีลูกกันเลยดีไหม  ไว้เดี๋ยวแณณค่อยๆ มาเล่าให้ฟังต่อวันหน้าก็แล้วกันนะคะ

แต่สำหรับตัวแณณเองนั้น ณ วันนี้ วันที่แณณได้มาอยู่ที่เมืองธากาแล้ว จากการประเมินผลการตัดสินใจลาติดตามสามีครั้งนี้ของแณณ แณณก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่า รู้สึกอย่างไร เสียใจหรือดีใจ รู้สึกดีหรือรู้สึกแย่

ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับทุกการตัดสินใจของตนเองนะคะ ......

ด้วยความปรารถนาดี .......แณณ ประณยา จองบุญวัฒนา    



ความเห็น (3)

น้องแณณจ๊ะ

แหม เล่าได้ละเอียดจริงๆ

เป็นประเด็นที่สำคัญ เฉพาะตัวและค่อนข้างละเอียดอ่อน

แต่ก็ถือว่าแณณได้เลือกไปแล้ว.....

ตอบในฐานะผู้ชายคงฟังไม่ค่อยขึ้น เอาเป็นว่า ลองดูความเห็นผู้อ่านท่านอื่นก่อนนะ

แต่ ถ้าจะให้พูด ณ ตอนนี้

 

ในฐานะนักรบ สนามรบไหนก็ใช้ได้ทั้งนั้น..

ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีค่ะ

  • ครูอ้อยค่ะ  ยินดีต้อนรับ  ครูอ้อยอ่านบันทึกของน้องแล้ว น่ารักจังค่ะ..ถือวิสาสะเป็นพี่เลยค่ะ...
  • เรื่องการเขียน ต่อๆไป เราปรับได้นะคะ  อย่ากังวล
  • ที่นี่เป็นสังคมแห่งความสุข  ไม่ต้องกังวลใจค่ะ 
  • ให้จริงใจ ก็ได้รับจริงใจ นะคะ

ว้าว ครูอ้อยคะ หนูดีใจมากเลยค่ะ ที่มาคนมาทักทายหนูแล้ว ขอบคุณ  นะคะ ที่ยินดีรับหนูเป็นน้องนะคะ 

ที่นี่เป็นสังคมแห่งความสุขจริงๆ ค่ะ เวลาที่ได้อ่านการโต้ตอบของแต่ละท่านในบล็อกต่างๆ แล้ว  หนูรู้สึกได้ถึงความปรารถนาดีที่มีต่อกัน ผ่านทางโลกอินเตอร์เน็ตแห่งนี้ หนูชอบจังเลยค่ะ ที่อยู่ท่ามกลางผู้คนแบบนี้ ใจดี มีเมตตา เป็นมิตร แล้วก็หวังดีต่อกันทุกคน  ทำให้เราก็อยากเป็นคนดี เป็นคนที่มอบสิ่งดีดีให้กับผู้อื่นบ้าง

ที่นี่เป็นสังคมที่ดีสังคมหนึ่ง หากคนไทยที่อาจจะมีความเห็นแตกแยกกัน แต่สามารถรู้สึกดีต่อกันได้แบบคนใน GotoKnow แห่งนี้ บ้านเราคงจะมีความสุขมากๆ เลยนะคะ  ยินดีมากที่ได้รู้จักกับคุณครูพี่อ้อยนะคะ :)

แณณค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท