1. หลักการและเหตุผล
ประเทศไทยนับว่าโชคดีที่มีองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน ”แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพียง” พระองค์ท่านพระราชทานแนวคิดนี้ครั้งแรกแก่นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่
18 กรกฎาคม 2517 โดยมีข้อความที่สำคัญอย่างยิ่งตอนหนึ่งว่า การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำ
ตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือความพอมีพอกินพอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน
โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควร
ละปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป
หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติ
การสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลใน
เรื่องต่างๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด …
และในช่วงที่ประเทศไทยประสบภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งล่าสุดเมื่อปี 2540 พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยและทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขบทความเรื่อง “ปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เชิญ
ผู้ทรงคุณวุฒิในทางเศรษฐกิจและสาขาอื่นๆ มาร่วมกันประมวลและกลั่นกรองพระราชดำรัส
เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งประราชทานไว้ในวโรกาสต่างๆ รวมทั้งพระราชดำรัสอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
และทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำไปเผยแพร่ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของทุกฝ่าย
และประชาชนโดยทั่วไป เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2542 โดยมีใจความว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ
ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไป
ในทางสายกลางโดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกภิวัตน์ ความพอเพียง
หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัว
ที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้จะ
ต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ใน
การวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกัน จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของ
คนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนึกในคุณธรรม
ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร
มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่าง
รวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
(อ้างจาก สินธุ์ สโรบล “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น” การเรียนรู้สู่สมดุล
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับงานวิจัยท้องถิ่น สกว. สำนักงานภาค, 2549: 2-4)
กรอบแนวคิดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงชี้แนะ
แนวทางการดำรงอยู่ และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็นโดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคม
ไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัยและวิกฤต เพื่อความมั่นคง
และความยั่งยืนของการพัฒนา (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
2549 หน้า 12 อ้างในเรื่องเดียวกัน หน้า 5)
มหาตมาคานธีเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นเป็นที่รู้จักของโลกในความเป็นผู้นำแห่งสันติวิธีหรือที่รู้จักกันใน
ชื่อว่า “สัตยาเคราะห์" (Satyagraha) คานธีเป็นผู้ที่อยู่เหนือขอบเขตของกาลเวลาและสถานที่
ด้วยความตั้งใจของท่านที่ต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศอินเดียโดยรวมเติบโตไปพร้อมกับคุณค่า
ของวัฒนธรรมและการที่ผู้คนไม่เห็นแก่ตัว ไม่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ในด้านวัตถุเป็นหลัก แต่ท่าน
กลับสนับสนุนการทำให้ชีวิตมนุษย์ดีขึ้น ท่านมีความคิดปฏิวัติในเรื่องการพึ่งพาตนเองโดยไม่พึ่ง
“ผู้อื่น” โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ (ชาวชนบท) ไม่ถูกทอดทิ้ง ประเทศสามารถเจริญ
เติบโตได้ด้วยตนเองโดยปราศจากการควบคุมทั้งทางด้านวัตถุ (ความโลภ ความเห็นแก่ตัว) และ
ทางด้านจิตใจ
ทั้งสองแนวคิดนี้ต่างมีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างยิ่ง แนวคิดของท่านมหาตมา คานธีต้องการยก
ระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศให้ดีขึ้นซึ่งสอดคล้องกับ
โครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการพัฒนาชนบท ซึ่งมีประมาณ
4,000 โครงการทั่วทุกภาคของประเทศ
แม้ว่าในปีพุทธศักราช 2550 ซึ่งเป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษาของพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว ไปแล้ว แต่ในปีพุทธศักราช 2551 จะครบ 100 ปีของเมล็ดพันธุ์การแสวงหาสันติภาพด้วย
สันติวิธีสัตยาเคราะห์ (Satyagraha) และการถึงแก่อสัญกรรมครบ 60 ปีของท่านมหาตมาคานธี
สถาบันฯ และสถานเอกอัครราชทูตอินเดีย ประจำประเทศไทยประสงค์ที่จะจัดสัมมนาเรื่องนี้ขึ้นเพื่อ
เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และยกย่องท่านมหาตมา คานธีบิดาของประเทศอินเดีย
และผู้นำของโลกท่านหนึ่งที่มีแนวความคิดที่คล้ายคลึงกันดังกล่าวซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นสากล
แม้จะต่างกรรม ต่างวาระ และต่างสถานที่ก็ตาม หากได้สร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับประชาชนชาวไทย
ได้เข้าใจปรัชญานี้อย่างถ่องแท้และนำ ไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลดีทั้งต่อตนเอง สังคม ประเทศชาติ
และภูมิภาคต่อไป
กำหนดการ
8.30-9.00 น. ลงทะเบียน
9.00-9.10 น. พิธีเปิด โดย อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล
9.10-9.20 น. คำกล่าว ของ ฯพณฯ เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย Ms. Latha Reddy
9.20-9.30 น. พิธีเปิดนิทรรศการ
โดย ฯพณฯ เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย Ms. Latha Reddy และ
อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล
9.30-10.00 น. ปาถกถา เรื่อง “แนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง"
โดย รองศาสตราจารย์ ดร.เสรี พงศ์พิศ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมวิสาหกิจ
ชุมชน และประธานมูลนิธิหมู่บ้านผู้อำนวยการโครงการมหาวิทยาลัยชีวิต
10.00-10.30 น. “แนวคิดการพึ่งพาตนเองของมหาตมา คานธี”
โดย นายนารยัน เดซาย ลูกชายเลขานุการมหาตมา คานธี จากประเทศอินเดีย
10.30-10.45 น. พัก รับประทานของว่าง
10.45-12.00 น. เสวนาร่วมกับวิทยากรทั้งสองท่าน
ผู้ร่วมเสวนา ภิกษุณีฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ ศาสตราจารย์ ดร.ศรีสุรางค์ พูนทรัพย์
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จิรพัฒน์ ประพันธวิทยา รองศาสตราจารย์ ดร.จุฑาทิพย์
อุมะวิชนี และรองศาสตราจารย์ ดร.อมรชีพ โลจัน
12.00-13.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน
13.00-15.00 น. ชมภาพยนต์ เกี่ยวกับ “Gandhi” จากสถานทูตอินเดีย(ยังไม่เคยฉายที่ใดมาก่อน)
ในงาน เชิญชมและเลือกซื้อหนังสือ และสินค้าได้
กรุณาสำรองที่นั่งได้ที่คุณวาสนา ส้วยเกร็ด โทรสาร 02-800-2332 โทร. 02-800-2308-14 ต่อ 3209
ภายในวันที่ 31 มกราคม 2551
สวัสดีครับ
เป็นหัวข้อที่สนใจมากครับ
อีกทั้งผู้เป็นวิทยากรก็เป็นผู้ที่มีความรู้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็น ดร.เสรี หลวงพี่ฉัตรสุมาลย์(ผมเป็นลูกศิษย์หลวงย่าครับ)
ขอความกรุณาสรุปผลมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ
ขอบคุณครับ
เรียน คุณพลเดช ที่เคารพ
กว่าจะเรียนเชิญวิทยากรทั้งจากอินเดียและไทยได้ใช้เวลานานมากค่ะ จนเตรียมงานเกือบไม่ทัน แต่เมื่อท่านทั้งสองกรุณารับเชิญทำให้ทีมงานที่จัดทั้งไทยและอินเดียมีกำลังใจเร่งรีบประชาสัมพันธ์กันเต็มที่เลยค่ะ จะพยายามสรุปมาฝากค่ะ
ด้วยความเคารพ
โสภนา