20:10 ผมตัดสินใจกลับรถออกมาจากเส้นทางเดิมเมื่อถึงทางแยกแล้วค่อยสอบถามเส้นทางไปอ่างห้วยไผ่อีกที บ่นกับสหายโน๊ตว่าเราทำไมไม่ตัดสินใจสอบถามข้อมูลจากร้านค้าตรงทางแยกก่อนจะเข้ามาที่นี่
...............................................................................................................................
17 พฤศจิกายน 2550 เวลา 20 : 15 น. จากการจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ ของพี่บางทรายแห่งโครงการฟื้นฟูพื้นที่ดงหลวง ทำให้ผมและสหายสนิทได้มานั่งอยู่ท่ามกลางทหารป่าแห่งกองทัพปลดแอกของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในอดีตไม่ใช่เพียงเรื่องราวเล่าขานซึ่งเต็มไปด้วยข้อกังขาสงสัยอีกต่อไป เพราะผมได้รับรู้จากเหล่านักรบ นักปฏิวัติ หรือแม้แต่คนที่ไม่ใช่นักอะไรในความหมายของการต่อสู้ครั้งนั้น หากแต่ได้ร่วมกับกองกำลังและกลุ่มผู้คนในการปฏิบัติการด้วยเหตุผลอื่น
....................................................................................................................................
เรานั่งล้อมวงอยู่บนอาคารประชุมที่หลังคาสูง เปิดโล่ง มีผนังด้านหน้าเวทีเท่านั้น ลมหนาวพัดมาเป็นระยะ เหล่าสหายทหารป่านั่งเป็นกลุ่มและบางส่วนก็ปะปนอยู่กับพวกเรา พวกเขามากันหลายคนประมาณ 10 คนเป็นอย่างน้อย ผมตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อรู้สึกและสัมผัสกับเหล่าทหารกล้าที่รอดชีวิตจากความขัดแย้งและสงครามของเหล่าพี่น้องไทยด้วยกันเอง ประกอบกับเรื่องราวที่เล่าขานแยกส่วน ทำให้รู้สึกเกรงกับการเข้าไปรับรู้เรื่องราวที่อาจเป็นความลับของสหายหรือของพรรคที่อาจดำเนินการทางการเมืองอยู่
แต่ห้วงหนึ่งผมอาจคิดมากและสับสนในท่าทีของตัวผมเองกับเรื่องราวที่เรียนรู้อย่างไร้หลักการ ปัจจุบันเราคือผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย และการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งความเท่าเทียมทางการพัฒนาของประเทศไทยเราก็ก้าวไปไกลมากแล้ว เรื่องราวในอดีตคงเป็นแค่บทเรียนที่ทำให้เรารักและเห็นใจกันมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยความเคารพในความเป็นมนุษย์ หลักการ เหตุผล อุดมการณ์ ความกล้าหาญ และการต่อสู้ ผมฟังและบันทึกเรื่องราวของสหายอย่างอ่อนน้อมและนับถือในความเป็นทหารป่าอันเป็นศักดิ์ศรีและความภาคภูมิในชีวิตของสหาย
......................................................................................
ผู้นำการประชุม : กล่าวต้อนรับอดีตทหารป่า สหายปฏิวัติ ทุกท่านและกล่าวถึงเหตุผลของการเชิญทุกท่านมาในการประชุม ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และศึกษาเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.ดงหลวง และเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศไทยหน้าสำคัญแม้ไม่ได้ถูกบันทึกไว้อย่างเป็นทางการ
สหายคนที่ 1 : ไม่ชัดเจนนักว่าทุกท่านอยากทราบเรื่องราวจุดใดเหตุการณ์ช่วงใด เพราะเหตุการณ์มีมากมายอยากจะเล่าให้ฟังทั้งหมดซึ่งคงใช้เวลามากมาย
ผู้ร่วมประชุมคนที่ 1: อยากให้เล่าถึงความเป็นมาของเหตุการณ์ในภาพรวมของประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นก่อนจะเข้าสู่เรื่องราวที่ดงหลวง
ผม : มีเรื่องราวที่ลำดับได้หลัก ๆ ส่วนหนึ่งคือ เรื่องราวในเมือง และเรื่องราวในป่า มีลำดับเหตุการณ์ส่วนหนึ่งที่เริ่มจากในเมืองแล้วมาสู่ป่า และภายหลังมีเรื่องราวจากป่าสู่เมือง
ผู้นำการประชุม : อยากให้ท่านสหายเล่าถึงประสบการณ์ในชีวิตที่ช่วงหนึ่งได้ร่วมปฏิบัติ
หน้าที่ในฐานะทหารป่า และหรือหน้าที่อื่น ๆ เรื่องราวที่จดจำได้ ประทับใจ หรือเรื่องที่อยากจะให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ “ทำไมพ่อถึงเข้าป่า”
สหายคนที่ 1 : เมื่อปี 2505 – 2507 มีการเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในพื้นที่แถบ อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ รอยต่อ อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร โดยมีการชักชวนผู้คนโดยเฉพาะเยาวชน อายุ 21 – 22 ปี เข้าศึกษาหลักการคอมมิวนิสต์ เราเรียก ฝ่ายเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรงข้ามกับเราว่า ศัตรู ในขณะเดียวกันฝ่ายรัฐก็ตั้งหน่วยงานขึ้น ในพื้นที่เช่นกันเรียกว่าหน่วยพัฒนา.....หน่วยนี้แท้จริงเคลื่อนไหวจับกุม ปราบปราม และฆ่าผู้คนระดับแกนนำ หรือแนวร่วมหลักการคอมมิวนิสต์ มีการเคลื่อนไหวต่อสู้โต้ตอบกัน ทางฝ่ายรัฐเข่นฆ่าแกนนำอย่างเหี้ยมโหดจนเมื่อ 7 ส.ค. 2508 เป็นวันเสียงปืนแตก พรรคคอมมิวนิสต์ดำเนินนโยบายสู้รบโดยกองทัพประชาชนเต็มรูปแบบ ยิ่งมีความรุนแรงในการตอบโต้ กันของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายรัฐมีการปิดล้อมหมู่บ้าน เข้ากวาดล้างทำลายหมู่บ้าน มีการฆ่าเด็ก ข่มขืนผู้หญิง ยิ่งเกิดความรุนแรง ก็ยิ่งเกิดความขัดแย้งต่อต้านฝ่ายรัฐมากยิ่งขึ้น ขณะนั้นทหารป่าต่อสู้กับฝ่ายรัฐด้วยความยากลำบากมากมีการปะทะกันตลอดในช่วงเวลานั้น
สหายคนที่ 2 : พรรคเราขณะนั้นมีความเข้มแข็งมีกำลังใจที่ดี เรียกว่าเป็นแก้ววิเศษ 3 ประการ คือ หลักการ แนวรบ และกองทัพ ที่เวียดนามเปิดโรงเรียนวิชาทหาร มีคนไทยไปเรียนและกลับมาปฏิบัติงานในกองทัพของพรรค ผมได้ไปเรียนจบมาและมาทำหน้าที่ฝึกทหารป่าในเขตงานที่รับผิดชอบ
กองทัพเรามีหน้าที่ คือ ทำมวลชน ทำการผลิต และสู้รบ กองทัพมีวินัย 10 ข้อ 1. ไม่ลักของมวลชน 2. เคารพมวลชน 3. ยืมของต้องคืน 4. ไม่ลวนลามผู้หญิง 5. ไม่ดื่มสุรา 6. สินสงครามมอบส่วนรวม 7. ไม่ทารุณเชลย 8………….
ตามมาฟังเรื่องเล่าค่ะน้องมิตร
เกิดไม่ทันวีรกรรมของเหล่าสหาย
แต่ติดตามเรื่องเล่าของคนรุ่นเก่าเหมือนกัน
เอหรือว่าโลกหมุนกลับสู่ยุคเก่า
เพราะบ้านเราตอนนี้ก็พูดกันยาก
ต่างคนต่างความเชื่อ ต่างเอาชนะกันทุกวิธี
เพื่อคำว่าเสียงข้างมากเท่านั้น
อยากให้มีความสามัคคีปรองดองกัน
เพราะกลุ่มผู้ไม่หวังดีหวังแบ่งแยกเริ่มจุดชนวนหนักขึ้นทุกวัน
เมื่อไหร่หนอความสงบสุขจะหวนคืนด้ามขวานของเรา
สวัสดีค่ะน้องหมอที่คิดถึง
เล่าได้ดีมากเลย หายง่วงนอนเลยค่ะ เก็บมาได้หมดเลย แบบนี้ ย่อความเรียงความ ได้เต็มแน่เลยค่ะ
รออ่านอีกนะคะ
เล่าดีค่ะ สนุก แม้ว่า เหตุการณ์จะจบไปแล้ว และคิดว่า ไม่น่าเกิดขึ้นอีกค่ะ
สวัสดีครับพี่อ๊อด
ครับพี่ โลกมันหมุนรอบตัวเองและก็รอบดวงอาทิตย์เท่านั้น มันก็น่าจะมีอะไรหลายอย่างวนกลับมาบ้างล่ะครับ "ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย" ไงครับ
ที่พวกเราคุยกันไม่รู้เรื่องผมว่ามันหลาย ๆ สาเหตุครับ อย่างนึงก็คือเราเรียนรู้ไม่เท่ากัน แล้วเราก็รับรู้มาต่างกันด้วย
เรื่องราวของผู้คนระดับนำในประเทศเราก็ซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายได้อีก แล้วก็มีการทำความซับซ้อนมาถึงชาวบ้านอีกด้วย
นับวันก็ยิ่งคุยกันด้วยความเข้าใจแบบใหม่
ยิ่งดินแดนด้ามขวานก็ยิ่งลึกลับมากเข้าไปอีก น่าสนใจนะครับ ปัญหาคลาสสิคระหว่างรัฐ กับชาวบ้าน ก็ยังถูกเล่าซ้ำไปมา ทำไมเราไม่มีบทเรียนที่เป็นสิ่งบอกเล่าให้ตระเตรียมและจัดการกับปัญหาเหล่านี้
เราอาจห่วงเรื่องความมั่นคงในความหมายเดิม ๆ คือการปกปิดตัดตอน ละเลยการทำความเข้าใจและการมีส่วนร่วม
ประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้ช่วยสร้างความรู้ในทางการจัดการปัญหา
ผมว่าในทางการจัดการศึกษามีบางเรื่องที่มีเงื่อนงำเหมือนกันนะครับ ตำราเรียนภาษาไทยเป็นความแยบยลของนโยบายความมั่นคง
หรือว่าทางการศึกษาจะมีทฤษฎีล้างสมองซึมซาบอยู่ในเวลานั้นหรือเปล่าครับ
สวัสดีครับคุณครู.....พี่อ้อย
ขอบคุณครับที่เข้ามาชมผมเป็นประจำ ดีใจครับ ผมพยายามเก็บเรื่องราวและบทสรุปในวันนั้นซึ่งก็ได้มาตามที่ใจหวัง
ผมได้คะแนนเต็มเลยหรือครับนี่ ขอบคุณอีกครั้งครับคุณครู
คิดถึงเช่นกันครับ
สวัสดีครับคุณพี่ sasinanda
ขอบคุณที่ชมครับ เหตุการณ์นั้นจบไปแล้ว แต่ก็มีเหตุการณ์ใหม่อยู่เสมอนะครับ เรื่องการต่อสู้แม้ว่าไม่ใช่รูปแบบสงครามแบบเดิม
แต่เรื่องสิทธิ ในการจัดการทรัพยากรท้องถิ่น สิทธิเรื่องการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของรัฐในการก่อสร้าง ลงทุน ซึ่งกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ ก็ยังมีเหตุการณ์ให้การต่อสู้กลับมาลงเอยที่ความขัดแย้ง ความรุนแรง และการสูญเสีย อยู่เสมอ
ผมเคยคิดว่าเหตุการณ์อย่าง ตุลาวิปโยคคงไม่มีวันเกิด แต่พฤษภาทมิฬ ก็ทำให้เห็นว่าเรายังไม่ได้ก้าวไปไกล
ขออนุญาตวกมาเรื่องปฏิวัติล่าสุดหน่อยครับ สำหรับเรื่องนี้ต้องให้ความหมายที่ต่างออกไปจากการปฏิวัติในประวัติศาสตร์เมืองไทย
เหตุการณ์เก่า ๆ เกิดขึ้นอีก แต่ไม่ได้มีรูปแบบเดิม ๆ ซึ่งผมคิดว่าเป็นการพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้จากเหตุการณ์ดอกไม้ปลายปืนครั้งนี้
แต่กับเหตุการณ์ที่ภาคใต้ผมว่าก็ไม่ต่างจากในอดีตนะครับ แม้เงื่อนไขจะแตกต่างกัน แต่ก็ยังดำรงเรื่องความขัดแย้ง หรืออาจเป็นสงครามตัวแทนคล้าย ๆ กัน
เล่าซะเครียดเลยครับ แต่ในทางที่ดีขึ้นผมว่าเมืองไทยเราต้องดีขึ้นครับแม้จะช้าเพียงใดก็ตาม
ขอบคุณนะครับที่เข้ามาเยี่ยมบันทึกของผมเสมอ ๆ ครับ
มาช่วยต่อเติมวินัย 10 ข้อ ของ พคท. แต่ถึงตอนนั้นก็เริ่มง่วงสลืมสลือแล้วนะ
มีเพิ่มเติมที่น้องยังขาดอีกดังนี้ครับ
ส่วนข้อสุดท้ายสหายผู้เล่าให้ฟังบอกว่าจำไม่ได้เหมือนกัน..อิอิ
สวัสดีครับพี่สะมะนึกะ
ขอบคุณครับผมที่เข้ามาช่วยเติมข้อมูลให้ผม วันนั้นไม่ง่วงเท่าไหร่ครับแต่ คุยกับสหายอีกคนที่นั่งใกล้ ๆ กัน ทำเอาฟังเรื่องเล่าในเวทีได้ไม่ต่อเนื่องเท่าใดนัก
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับน้ำใจไมตรีของพี่ ๆ ทั้งสองคน ที่เข้ามาให้กำลังใจผมเสมอครับ