31 : การซ้อนเหลื่อมของเวลา


 

บันทึกเกี่ยวกับการซ้อนเหลื่อมของกาลเวลา  ผมก๊อปมานะครับ

สุตตะ
การซ้อนเหลื่อมของเวลา


http://61.19.198.4/~electronic/Mystery/3.htm

การซ้อนเหลื่อมของเวลา ปัจจุบันกับอดีต

ชาวเมืองนอร์ฟอร์ค (Norfolk) แก่ๆ คนหนึ่งชื่อ สไควเรล (Mr. Squirel) แกจะมีอาชีพทำมาหากินอะไรนั้น ตามข่าวไม่ได้แจ้ง รู้แต่ว่างานอดิเรกของแก คือ การสะสมเหรียญเก่า และก็คล้ายๆ กับนักสะสมคนอื่นๆที่เก็บเหรียญเก่าไว้ในแฟ้มหรือซองพลาสติกที่ทำไว้สำหรับ
เรื่องนี้โดยเฉพาะ ทำนองเดียวกับแฟ้ทสำหรับนักสะสมแสตมป์


วันหนึ่งนายสไควเรล คนนี้เดินทางไปที่ เกรท ยาร์มัธ (Great Yarmouth) เพื่อหาซื้อแฟ้มหรือซองพลาสติกสะสมเหรียญ ซึ่งแกได้ยินมาว่ามีอยู่ร้านหนึ่งซึ่งขายสินค้าพวกนี้โดยเฉพาะ วันนั้นเป็นวันที่ 9 สิงหาคม ปี 2516 แกก็มาที่ร้านดังกล่าวนี้ ซึ่งไม่เคยมามาก่อนแต่ก็หาไม่ยากนัก เพราะเพื่อฝูงสาธยายตำแหน่งแห่งหนให้รู้จนชัดแจ้งแล้ว สิ่งที่สะดุดตาอันแรกที่มาถึงร้อนนี้ก็คือ หน้าร้านที่เป็นลานกว้างโรยด้วยก้อนกรวดขาวสะอาด เมื่อนายสไควเรลก้าวเข้าไปในร้าน แกรู้สึกว่าการตกแต่งร้านจะดูโบราณไปหน่อย แต่ก็ดูสง่างามน่าทึ่งไม่ว่าจะเป็นตู้โชว์หรือกรอบรูปข้างฝา รวมทั้งที่วางไม่เท้าทางประตูทางเข้า ซึ่งคนสมันก่อนนิยมการถือไม่เท้าหรูๆ เมื่อหญิงสาวคนขายโผล่ออกมา แกก็ยิ่งแปลกใจใหญ่ เพราะผมเผ้าตลอดจนการแต่งเนื้อแต่งตัวดูเหมือนจะแกะออกมาจากแค็ตตาล็อค
ในยุคของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดแต่แกก็ไม่คิดอะไร เพราะแฟชั่นของสาวสมัยนี้แกเองก็แก่แล้วตามไม่ทัน ในระหว่างที่ถามหาสิ่งที่ต้องการ เฒ่าสไควเรลรู้สึกผิดสังเกตอย่างหนึ่งคือ ภายนอกร้านรู้สึกเงียบเชียบ ไม่มีเสียงรถราแล่นผ่านเหมือนกับมีการปิดกั้นการจราจร ทั้งๆ ที่ถนนหน้าร้านเป็นย่านจอแจแห่งหนึ่ง ในวันนั้นแกซื้อซองสะสมเหรียญเก่าถูกใจไปได้ใบหนึ่งสัปดาห์ต่อมาพ่อเฒ่า
สไควเรลแกชอบอกชอบใจย้อนไปซื้อใหม่อีก คราวนี้แกต้องแปลกใจมากๆ เมื่อไปถึงร้าน ไม่ใช่เพราะร้านย้ายหนีไปแล้ว แต่เป็นเพราะหน้าร้านนั้นเปลี่ยนไปอย่างผิดหูผิดตา ลานกว้างที่โดรยด้วยกรวดสีขาวหายไปกลายเป็นทางเท้าริมถนนธรรมดา ทีแรกแกก็นึกว่าแกแล้วเลยทำให้จำร้านผิด เมื่อทบทวนและทบทวนอีกก็มั่นใจว่าร้านนี้แน่ๆ เมื่อสไควเรลก้าวเข้าไปในร้าน คิ้วของแกก็ยิ่งขมวดหนักขึ้นเพราะร้านนี้กลายเป็นร้านขายนาฬิกาไปเสียแล้ว ไม่มีวี่แววของร้านเดิมให้แก่พบเห็นเลย สิ่งที่แกได้มาก็คือ ซองใส่เหรียญซึ่งยืนยันได้ว่า ซื้อมาจากร้านตรงนั้นเมื่ออาทิตย์ก่อน เมื่อนำซองใส่เหรียญนี้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบดู ก็ได้รับคำตอบว่าลักษณะของซองเป็นของที่นิยมใช้กันในทศวรรษของปี
2463 ปัจจุบันไม่มีขายในท้องตลาดแล้วหรือวันนั้น นายสไควเรลตกอยู่ภายในสภาวะ การซ้อนเหลื่อมของเวลาถูกพาย้อนกลับไปราว 50 ปี

อีกรายหนึ่งเกิดขึ้นกับ นางเทอเรลล์ คลาร์ก (Mrs.Turrel Clarke) ชาวเมืองไพร์ฟอร์ด (Pyford) ประเทศอังกฤษ ในเย็นวันหนึ่งผู้หญิงคนนี้ได้เข้าร่วมร้องเพลงสวดในโบสถ์ไพรฟอร์ดซึ่งเป็น
โบสถ์ประจำตำบล ในขณะที่เพลงสวดประสานเสียงดำเนินไปอย่างน่าฟังนั้น นางคลาร์กก็รู้สึกเหมือนมีการผิดปกติเกิดขึ้นกับเธอ เธอรู้สึกเวียนศรีษะเล็กน้อย ภาพที่อยู่ข้างหน้าเปลี่ยนแปลงไป สภาพของโบสถ์รู้สึกผิดไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นพื้นหิน แท่นบูชาหรือรูปทรงของหน้าต่าง ข้อสำคัญเธอเห็นพระกลุ่มหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีน้ำตาลนั่งร้องเพลงสวดด้วย
ท่าทางที่สุขุมเยือกเย็น นางคลาร์กมีความรู้สึกเหมือนตกอย
ู่ในภวังค์และเมื่อเธอขยับตัว สภาพแวดล้อมทั้งหมดก็กลับสู่สภาพเดิม


นางคลาร์กแปลกใจกับภาพที่ได้เห็นในเย็นวันนั้นมาก เธอมั่นใจว่าสภาพของบริเวณที่เธอนั่งอยู่นั้นได้เปลี่ยนแปลงไป พระที่เธอเห็นมานั่งร่วมสวดอยู่ด้วยก็ดูแปลกตาเธอรู้ว่าพระในโบสถ์นี้ใส่ชุดคลุม
สีดำ แต่เมื่อได้มีการศึกษาอย่างละเอียด พบว่าในปี พ.ศ.
1836 เคยมีพระจากวิหารเวสท์มินสเตอร์ (Westminster) มาใช้โบสถ์นี้ในการประกอบพิธีกรรมอยู่ครั้งหนึ่ง และพระจากวิหารเวสต์มินสเตอร์เหล่านั้นใส่ชุดคลุมสีน้ำตาล

เป็นไปได้หรือ ที่เวลาของเธอเกิด ลื่นไถลพลัดเข้าไปอยู่ในศตวรรษที่ 13 อย่างจัง

อีกราย รายนี้เวลาเกิดการซ้อนเหลื่อมเข้าไปอีก รายนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2516 นางแอน เมย์ (Ann May) และสามีซึ่งเป็นครูชาวเมืองนอร์วิช (Norwich) ได้ไปเที่ยวชมสุสานโบราณ คลาวา แคนส์ (Clava Caims) ในเมืองอินเวอร์เนส (Inverness) ซึ่งเป็นหนึ่งในสามของสุสานศิลปโบราณที่มีอายุเก่าแก่สร้างขึ้นตั้งแต่สัมฤทธิ์ ราว 1800-1500 ก่อนคริสตกาล เช้าวันที่ครูแอนไปที่นั่น เป็นเช้าวันที่อากาศแจ่มใสมาก สายลมเบาบาง เสียงนกร้องแผ่วๆ ถ้าเป็นฉากหนังก็คงโรแมนติกดี เธอเดินเที่ยวไปรอบๆ อย่างสบายใจ ในที่สุดเธอก็เดินมานั่งพักที่แท่งหินใหญ่ หลับตาลงในขณะที่สายลมแผ่วเบามาปะทะใบหน้า และเมื่อเธอเอนหลังลงสัมผัสกับแท่งหิน เธอรู้สึกวาบหวิวขึ้นมาอย่างผิดปกติ ทันทีที่หลังของเธอแตะแท่งหิน เหมือนกับ สวิตซ์ของการเหลื่อมซ้อนแห่งเวลาถูกเปิด เมื่อเธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภาพที่เธอเห็นก็คือ กลุ่มของผู้ชาย รูปร่างสูงใหญ่ ผมดำยาวสวมเสื้อผ้ารุงรังดูเหมือนจะทำด้วยหนังสัตว์ กลุ่มผู้ชายกำยำเหล่านั้นกำลังช่วยกันลากแท่งหินที่มีลักษณะเช่นเดียวกับแท่งหิน
ที่ปรากฏในสุสานแห่งนี้เพียงชั่วครู่เดียว ภาพเหล่านั้นก็เลือนหายไป เธอกลับคืนมาสู่ศตวรรษที่
20 อีกครั้งหนึ่ง

ภาพที่ครูแอนเห็นนี้ มันเป็นเสี้ยวหนึ่งของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกว่า 2,000 ปีล่วงมาแล้ว เธออธิบายได้อย่างถูกต้องโดยที่ไม่เคยศึกษาเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่ที่เธอเห็นเช่นนี้ก็เพราะปรากฏการณ์ลึกลับที่เวลาปัจจุบันไปซ้อนเหลื่อม
เข้ากับเวลาในอดีตกระนั้นหรือ
?

สำหรับตัวโจน ฟอร์แมน ผู้เขียนสารคดีเรื่องนี้ก็เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการซ้อนเหลื่อมกันของเวลา
เช่นกัน เมื่อครั้งที่ไปเที่ยวคฤหาสน์แฮดแดน (
Hadden Hall) ที่เดอร์บีเชียร์ (Derbyshire) มันเป็นวันหยุดที่เธอเองไม่ได้ตั้งใจที่ะไปเพื่อจุดประสงค
์ในงานที่กำลังค้นคว้าอยู่ แต่ตั้งใจที่จะไปชมคฤหาสน์มานานแล้ว


ในขณะที่ฟอร์แมนยืนอยู่ที่ลานกว้างหน้าคฤหาสน์ พิสมัยเล็งแลถึงความงามแห่งโบราณวัตถุ จากลานหญ้าหน้าคฤหาสน์มีบันไดหินกว้างใหญ่ทอดขึ้นไปจนจรดลานหิน
หน้าประตูทางเข้า เมื่อเธอขยับตัวไปยืนอยู่ ณ. จุดหนึ่งของลานสนามหญ้า และขณะนั้นเองเธอก็สังเกตเห็นมีเด็กอยู่
4 คน กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่บนลานหินนั้น เป็นเด็กผู้ชายเล็กๆ 2 คน และเด็กผู้หญิงอายุราว 9 ขวบคนหนึ่ง ส่วนเด็กผู้หญิงคนโตอีกคนหันหลังให้ แต่ที่สังเกตเห็นได้อย่างเด่นชัดว่าเธอมีผมสีบรอนด์ ไหล่กว้าง สวมหมวกทรงดัทช์ อยู่ในชุดไหมยาวสีเทา เขียว เธอหัวเราะอย่างร่าเริงและหันหน้าแวบหนึ่งมาทางลานหญ้า เพียงแวบเดียวเท่านั้น แต่ฟอร์แมนก็จำได้อย่างติดตาว่า เด็กสาวคนนี้มีใบหน้าเรียบๆ จมูกเชิด คางสี่เหลี่ยม ฟอร์แมนเดินเข้าไปข้างหน้าด้วยความสนใจ แต่ทันทีที่เธอขยับตัว สิ่งที่เธอเห็นในลักษณะที่ค่อนข้างงุนงงเมื่อนาทีที่แล้วก็เลือนหายไป แต่ภาพเหล่านั้นเธอยังจดจำได้โดยเฉพาะเสียงหัวเราะอย่างร่าเริงของเด็กพวกนั้น

เมื่อฟอร์แมนเดินเข้าไปเที่ยวในคฤหาสน์ เธอพยายามมองหาภาพวาดเก่าๆ ที่แขวนอยู่ตามฝาผนัง ด้วยความเชื่อมั่นว่าเด็กหญิงที่เธอเห็นนั้นจะต้องเป็นคนในคฤหาสน์นี้ ภาพวาดที่ยังถูกรักษาไว้อย่างดีถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ และนั่นไงฟอร์แมนรู้สึกขนลุกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ภาพของเด็กผู้หญิงผมสีบรอนด์สวมใส่ชุดผ้าไหมสีเทาเขียวพร้อมทั้งหมก
ทรงดัทช์บนศรีษะ โดยเฉพาะใบหน้าที่มีคางกว้างจมูกเชิด ฟอร์แมนจำได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนว่าเป็นคนเดียวกันกับคนั้เธอเห็นวิ่งเล่นอยู่
ที่หน้าคฤหาสน์เมื่อสักครู่ที่ผ่านมานี้เอง และเมื่อสอบถามจากผู้ดูแลก็ได้รับคำตอบว่า เด็กหญิงในภาพนี้ก็คือ คุณผู้หญิงเกรซ แมนเนอร์ (
Lady Grace Manner) แห่งคฤหาสน์แฮดดอน มีชีวิตอยู่เมื่อ 200 กว่าปีที่แล้ว ! เช่นเดียวกับครูแอน เมย์ ในขณะที่เอนหลังลงแตะแท่งหินในสุสานคลาวาแคนส์ ฟอร์แมนขยับเท้าไปยืนอยู่ ณ. จุดหนึ่งของสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์แฮดดอน ทั้งคู่ถูกเงื่อนไขของธรรมชาติอันลึกลับตกเข้าไปอยู่ในสภาวะที่เวลาทั้ง
ปัจจุบันและอดีตเลื่อนมาซ้อนกันอยู่


การซ้อนเหลื่อมกันของเวลาปัจจุบันกับอนาคต

เมื่อเวลาเกิดการซ้อนเลื่อมกันได้มันอาจจะซ้อนเข้าไปสู่อดีตหรือล่วงหน้า
เข้าไปสู่อนาคต มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั้ง
2 กรณี อนาคตที่ล่วงหน้ามาปรากฏขึ้นในปัจจุบันนั้นอาจเกิดขึ้นได้ 2 ทาง คือ เป็นภาพที่อยู่ในความฝัน หรือไม่ก็เดินไปดีๆ แล้วก็เห็นกันเจ๋งๆ เลยจนบางทีคิดว่าเป็นภาพลวงตา ภาพที่อยู่ในอนาคตแล้วมาซ้อนกันอยู่กับปัจจุบัน บางครั้งอาจจะไม่รู้สึกผิดสังเกต เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นแต่เมื่อเราไปพบเห็นเข้าสักวันหนึ่งข้างหน้า เราอาจจะรู้สึกประหลาดใจที่พอจะนึกออกว่า คลับคล้ายคลับคลาว่าเราเคยเห็นมาก่อน ท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะเคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่ไม่แน่ใจว่าเห็นมากับตาหรือในความฝัน

สถานีโทรทัศน์ BBC ของประเทศอังกฤษเคยเสนอรายการการซ้อนเหลื่อมของเวลาปัจจุบันกับอนาคต ซึ่งปรากฏว่ามีผู้เขียนเล่าประสบการณ์ไปยังสถานีเป็นจำนวนมาก เด็กนักเรียนขั้นมัธยมคนหนึ่งเคยฝันว่าได้หยิบเสื้อผ้าที่เธอเองไม่เคยมีอยู่
ออกมาจากกระเป๋าเดินทางเข้ามาจัดแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าที่เป็นลักษณะของ
ตู้เสื้อผ้ารวมสำหรับใช้กับหลายๆ คน ความฝันนั้นเกิดขึ้นเมื่อ
3 ปีก่อน จนเธอเองลืมไปแล้วแต่เมื่อเธอถูกส่งมาเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมกินอยู่ประจำ ในวันที่คุณพ่อเธอซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ รวมทั้งกระเป๋าเดินทางให้ เธอก็ยังไม่เอะใจอะไร ต่อเมื่อเย็นวันที่เธอถูกส่งเข้ามาอยู่ในหอพักในโรงเรียน และจัดเสื้อผ้าในตู้ เธอจึงมีความรู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เธอกำลังทำอยู่นั้นมันช่างตรงกับที่เธอเคยเห็น
ในความฝันเมื่อ
3 ปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่หยิบออกมาจากกระเป๋าเดินทาง หรือตู้เสื้อผ้ารวมทั้งอยู่ในหอพัก มันเตือนความจำของเธอจากความฝันได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน ที่แสดงว่าส่วนหนึ่งของภาพในอนาคตเธอได้เห็นมันมาก่อนแล้ว อย่างนั้นหรือ ?

สุภาพสตรีอีกรายหนึ่งขึ้นรถไฟใต้ดินจากสต๊อกเวล (Stoclwell) ในกรุงลอนดอนเพื่อที่จะไปทำงาน เช้าตรู่ของวันนั้นเธอฝันว่าขณะที่กำลังจะก้าวลงบันไดไปสู่สถานีรถไฟใต้ดิน เธอก็ต้องตกใจเมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งล้มลงข้างๆ เธอ แล้วก็ชักเหง็กๆ ทำตาปะหลับปะเหลือกใส่เธอ ความฝันในเช้าตรู่วันนั้นทำให้ความฝันของเธออารมย์บ่จอยเหมือนกัน แต่เมื่อเวลา 7.25 น. ที่ถนนผ่านสถานีรถไฟสต๊อกเวล ได้เกิดอุบัติเหตุรถเก๋งชนผู้ชายคนหนึ่งอย่างแรงร่างของชายคนนั้นกระเด็นคว้าง
เขาแหมะอยู่ข้างสุภาพสตรีท่านนี้ซึ่งกำลังจะก้าวลงบันไดใต้ดิน และก็ชักปะแหง็บๆ เลียนแบบภาพที่เธอเห็นในความฝันตอนเช้ามืดไม่มีผิดเพี้ยน


เรื่องที่น่าสนใจมากอีกเรื่องหนึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2517 มีสุภาพสตรี 2 ท่านเป็นชาวเมืองเบอร์มิ่งแฮม ชื่อ อาร์.เฮซ. ฮอดก์สคิน (R.H. Hodgskin) และเทสซา จี. (Tessa G.) ทั้งสองคนนี้ได้มาเที่ยวลอนดอนและแวะไปที่หอศิลปกรรมของลอนดอนเพื่อชม
ศิลปวัตถุโบราณ ขณะที่ทั้งสองสาวเพลิดเพลินจำเริญใจอยู่กับการชม
ศิลปวัตถุอย่างในห้องใต้ดิน ก็เกิดความรู้สึกอึดอัดบรรยากาศชักไม่ค่อย
น่ารื่นรมย์ จึงชวนกันกลับขึ้นมาชั้นบน ในขณะที่ก้าวบันไดขึ้นมาถึงกึ่งกลาง เทสซารู้สึกหน้ามืดขึ้นมาชั่ววูบหนึ่ง แต่ก็เพียงวูบเดียวเท่านั้น แต่พอเธอจะขยับขา เทสวซาก็ต้องชะงักอยู่กับที่เพราะเธอรู้สึกว่า
ได้ยินเสียงทั้งผู้ใหญ่และเด็กร้องครวญครางอยู่ข้างล่าง เสียงนั้นชัดเจนมากจนจับคำพูดได้ มันเป็นเสียงของคนบาดเจ็บ เสียงร้องขอความช่วยเหลือ เทสซาหันไปกระซิบถามเรื่องนี้กับเพื่อสาว แต่เพื่อนของเธอขมวดคิ้ว สั่นหัวพร้อมทั้งบอกว่าได้ยินแต่เสียงนักท่องเที่ยวกระซิบกันเบาๆ เป็นกลุ่มๆ อยู่ที่ห้องเก็บโบราณวัตถุข้างล่างซึ่งเมื่อเทสซามองลงไปมันก็มีลักษณะ
แบบเดียวกับที่เพื่อนเธอบอก
3 เดือนต่อมาผู้ก่อการร้ายได้ลอบวางระเบิดในห้องใต้ดินของหอศิลปกรรม
แห่งลอนดอนแห่งนี้ เมื่อวันที่
17 กรกฎาคม 2517 มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต รวม 33 คน ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็ก หมายความว่าเทสซาในขณะที่ก้าวขึ้น
ไปถึงจุดๆ หนึ่งตรงบันไดทางขึ้น ปัจจุบันของเธอได้เข้าไปซ้อนกับอนาคต ทำให้เธอได้ทราบถึงวินาศภัยที่เกิดขึ้นก่อนคนอื่นๆ แต่ในขณะนั้น เธอคิดแต่เพียงว่าอาจจะเป็นเสียงหลอกหลอนจากอดีตนานนับเป็นร้อยปี
ของหอศิลปกรรมแห่งนี้เท่านั้น


สำหรับรายนี้ อนาคตที่เข้ามาซ้อนเหลื่อมกับปัจจุบันอาจจะมาแต่ เสียงเท่านั้น ในขณะที่เหตุการณ์อื่นๆ อาจจะมาแต่ ภาพแต่บางครั้งมันก็มาทั้งภาพและเสียงครบเครื่อง คนบางคนที่มีอำนาจจิตประหลาดก็อาจจะมีโอกาสที่จะมองเห็นภาพอนาคต
ได้อย่างชัดเจนและบ่อยครั้ง


มาร์กาเร็ต เบเกอร์ (Margaret Baker) หมอดูผู้ทำพิธีทางศาสนาคนหนึ่ง เมื่อครั้งที่จะจัดให้มีนิทรรศการเกี่ยวกับบ้านที่โอลิมเปีย (Olympia) ในกรุงลอนดอน เธอได้พบเห็นข่าวพาดหัวตัวเบ้อเริ่มในหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการลอบ
วางระเบิดในงานนิทรรศกาลที่โอลิมเปีย มีผู้บาดเจ็บและได้รับอันตรายเป็นจำนวนมาก แต่ข่าวพาดหัวนั้นเธอเห็นก่อนที่จะมีนิทรรศกาลนั้นถึง
3 เดือน มาร์กาเร็ตพบข่าวนี้ถึง 2 ครั้ง และเมื่อวันที่มีการเปิดงานนิทรรศการนี้ มาร์กาเร็ตมีความรู้สึกถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นในงาน เธอได้เตือนคนที่รู้จักไม่ให้ไปเที่ยวงานนี้ และก่อนวันที่จะเกิดโศกนาฏกรรม มาร์กาเร็ตเห็นระเบิดถูกซุกซ่อนไว้ในถังขยะ นับเป็นการเห็นล่วงหน้าครั้งที่ 3 ของเธอที่เกี่ยวข้องกับอนาคตในเรื่องนี้ และแล้วในวันที่ 27 มีนาคม 2519 ก็ได้เกิดระเบิดขึ้นในงานนิทรรศการบ้านที่โอลิมเปีย จากการก่อวินาศกรรมของคนร้าย ข่าวจากวิทยุและโทรทัศน์ที่ออกอากาศ มันช่างตรงกับที่มาร์กาเร็ตรู้มาแล้ว เพราะอนาคตของโศกนาฏกรรมครั้งนี้เดินทางมาให้เธอเห็นก่อนแล้ว จากการซ้อนเหลื่อมของเวลา

เวลาความลึกลับที่ยังรอการค้นพบ

การซ้อนเหลื่อมแห่งเวลาทั้งอดีตและอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่เป็นความแปลกประหลาดที่ยากจะอธิบาย คนส่วนใหญ่จึงยกให้มันเป็นปรากฏการณ์ที่เหนือธรรมชาติ อย่างไรก็ตามกฏเกณฑ์ที่อยู่เหนือธรรมชาตินั้นไม่มี อะไรที่เกิดขึ้นได้ภายใต้เอกภพนี้ก็ต้องอยู่ภายใต้เหตุแห่งธรรมชาติทั้งนั้น แต่เรายังอธิบายไม่ได้หรือยังอธิบายได้ไม่ชัดเจนก็อาจจะเป็นเพราะว่าความรู้
เรายังก้าวไปไม่ถึง มีใครบ้างที่จะอธิบายถึงการเกิดสุริยุปราคาได้
ก่อนที่โลกจะเรียนรู้ถึงระบบการโคจรของดวงดาวในจักรวาล ใช่สิ. เมื่อโลกมืดลงเพราะเกิดสุริยุปราคาเมื่อหลายพันปีก่อนมันจึงเป็นเหตุการ์
ืที่เกิดขึ้นอันเนื่องมากจากสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติไม่มีคำอธิบาย


การซ้อนเหลื่อมแห่งเวลาจะอธิบายได้ ถ้ากฏเกณฑ์ของเวลาแห่งจักรวาลจะรู้สึกซึ้งมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามในขณะที่เรากำลังแกะและคลำทางเพื่อค้นคว้าเรื่องการ
ซ้อนเหลื่อมแห่งเวลา ข้อสังเกตหลายประการก็ได้ถูกรวบรวมขึ้นมาบ้างแล้ว


การซ้อนเหลื่อมแห่งเวลาจะเกิดขึ้นเมื่อมีจุดกระตุ้น
การซ้อนเหลื่อมนั้นจะเกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาสั่นๆ
มีความรู้สึกผิดปกติเกิดขึ้นในขณะที่เวลากำลังจะซ้อนกัน
ความรู้สึกบอกได้ว่ากำลังอยู่ในเหตุการณ์ที่แตกต่างกันใน 2 เวลา
เสียงจากเหตุการณ์ปัจจุบันนั้นจะหายไป
ใครจะยืนยันได้ว่า เวลาเป็นสิ่งที่ต่อเนื่อง เหตุการณ์จะต้องเกิดจากอดีต

ปัจจุบันสู่อนาคต อย่างเดียวเท่านั้นหรือ ? อย่าลืมว่าความรู้สึกเช่นนี้ถูกฝังแน่นอยู่ในจิตใจของเรา เพราะเราคุ้นเคยกับการนับเวลา ตามปฏิทินและการนับเวลาเช่นนี้เป็นเรื่องที่ สมมติขึ้น เป็นเครื่องมือวัดอย่างหนึ่งที่มนุษย์ฉลาดประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อวัด เวลาที่เนื้อแท้ๆ ของมันนั้น คือ เวลาแห่งจักรวาลซึ่งอาจจะมีเครื่องมือวัดระบบอื่นๆ ที่แตกต่างกันไปมาใช้วัดได้ ไม่ผิดไม่ใช่หรือ ?

ในภาวะปกติ เวลาจะต่อเนื่องกันไปตามระบบการวัดของมนุษย์ แต่เมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ธรรมชาติของเวลาที่แท้จริงก็จะแสดงออก เวลาจะเกิดการเหลื่อมซ้อนกัน ข้อที่น่าสังเกตว่า เมื่อเวลาเกิดเหลื่อมซ้อนกันนั้น เป็นปรากฏการณ์ที่ผิดปกติ ก็เนื่องมาจากผู้พบเห็นเหตุการณ์จะเกิดอาการผิดปกติขึ้นในร่างกาย เช่น เวียนหัว ทำนองเดียวกับบุคคลที่มีประสาทพิเศษบางคนที่จะเกิดอาการผิดปกติขึ้นก่อน
หน้าที่จะเกิดแผ่นดินไหวซึ่งเป็นความผิดปกติของธรรมชาติ เช่นเดียวกันถ้าจะเทียบกับความรู้สึกของคนบางคนที่เกิดผิดปกติขึ้นมาก่อนหน้าที่
เวลาธรรมชาติอย่างหนึ่งกำลังจะผันผวนด้วยการที่มันกำลังจะซ้อนเหลื่อมกัน

ทำไมการซ้อนเหลื่อมกันของเวลาจะเกิดขึ้นต้องมีสิ่งมากระตุ้น ? เช่น ในกรณีครูแอน เอนหลังลงไปแตะแท่งหิน มองดูเหมือนกับเป็น สวิตซ์ธรรมชาติถ้าเราจะคิดว่าการซ้อนเหลื่อมแห่งเวลาจะเกิดขึ้นต้องมีพลังงาน เป็นไปได้ไหมที่สิ่งกระตุ้น (เช่นแท่งหิน) เป็นเสมือนหนึ่งตัวจ่ายพลังงานที่ทำให้เหตุการณ์เกิดขึ้น

สิ่องที่น่าขบคิดต่อไปก็คือว่า ถ้าอดีต ปัจจุบัน และอนาคต พร้อมอยู่แล้วที่จะปรากฏออกมา ถ้าเช่นนั้น ข่าวสารของเหตุการณ์เหล่านี้ควรจะมีอยู่แล้ว มันปรากฏอยู่ในรูปใดรูปหนึ่ง และ ณ.ที่ใดที่หนึ่งสมมุติฐานที่อาจจะยังอยู่เหนือความนึกคิดอยู่ สมมติฐานหนึ่งที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้มีการส่ง คลื่นลึกลับออกมาตลอดเวลา คลื่นนี้จะบรรจุข่าวสารเกี่ยวกับตัวมันเอง (เช่น สีสัน รูปลักษณ์ สภาวะ ฯลฯ) คลื่นลึกลับเหล่านี้มีการรับและ ดูดกลืนจากวัตถุอื่นและเมื่อวัตถุอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม และเมื่อ สวิตช์ถูกเปิดขึ้น ข่าวสารเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดออกมาช่วงหนึ่งเข้าสู่เครื่องรับซึ่งเป็นสมองคนก็ทำให้ปรากฏภาพขึ้น อย่างเช่นในกรณีของแท่งหินที่สุสานคลาวาแคนส์ ที่ดูดซึมข่าวสารของอดีตไว้แล้วถ่ายทอดมาสู่ครูแอน เมย์

ปัญหากอยู่ที่ คลื่นลึกลับที่สามารถเก็บภาพและเสียงเอาไว้ได้นี้ คืออะไร ? ไม่รู้ครับ (เว้ากันซื่อๆ) แต่มันเป็นความจริงทางฟิสิกส์ที่ยอมรับกันข้อหนึ่งว่า มวลสารทุกอย่างมีการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาตลอดเวลา คลื่นแสงที่ทำให้เรารับรู้ความสดสวยของโลก (หรืออาจจะเป็นความขยะแขยง) คลื่นวิทยุ รังสีอุลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ ตลอดจนรัวสีแกมม่า ชื่อต่างๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นเหล่านี้ที่เคยเป็นคลื่นลึกลับมาก่อนได้ถูกทยอยค้นพบในช่วงศตวรรษที่
ผ่านมา แล้วใครล่ะจะกล้าพนันว่า ในช่วงศตวรรษต่อไป
คลื่นลึกลับที่ส่งภาพอดีตและอนาคตจากสรรพสิ่งในโลกออกมาจากตัวมันเองจะไม่เป็น
คลื่นรายต่อไปที่ถูกค้นพบ ใช่แล้ว รางวัลโนเบลในเรื่องนี้กำลังรออยู่


สาขาสำคัญหนึ่งของวิชาฟิสิกส์ที่เรียกว่า ควนตัม เมคคานิคส์ (Quantum machanics) มีส่วนสนับสนุนในเรื่องความไม่แน่นอนของเวลา โดยดูจากความไม่แน่นอนของอิเล็กตรอนในอะตอม เราไม่สามารถบอกถึงตำแหน่งแห่งหนของอะตามที่แน่นอนได้ (ตามหลัก Uncertain Law ) มันอาจจะวิ่งไปข้างหน้าหรือวอ่งย้อนหลังในเวลาเดียวกันได้ มันทำตัวเหมือนกับไม่ขึ้นอยู่กับเวลา อนาคตหรืออดีต อาจจะอยู่ ณ. ที่ปัจจุบันก็ได้ ความลึกลับของเวลาในโลกอิเล็กตรอนอาจจะไขความลึกลับของเวลา
แห่งจักรวาล
แน่นอน ในวันหนึ่งข้างหน้า

เป็นความจริงที่ยอมรับกันแล้วว่าสมองของคนเรานั้นมีการส่งคลื่นออกไป
ตลอดเวลา ด้วยลักษณะของความถี่ที่แตกต่างกัน และเมื่อมันทำตัวมันเป็น
เครื่องส่งได้ มันก็น่าจะเป็นเครื่องรับได้ ด้วยภาพของเหตุการณ์ในอดีต หรือในอนาคตที่มาปรากฏในปัจจุบัน ไม่ว่าจะมาในรูปของการเห็นหรือจากความฝันซึ่งเราเรียกมันว่าเป็นการ
ซ้อนเหลื่อมของเวลานั้น อาจจะเป็นการรับ
คลื่นลึกลับที่เข้าสู่สมองในขณะที่สมองนั้นอยู่ในสภาวะที่เกิด ปรับ” (Tune) ได้ตรงกับคลื่นนั้นพอดี

ถ้าเราสามารถรับรู้เหตุการณ์ในอนาคตซึ่งโดยสามัญสำนึกเราคิดว่า มันยังไม่น่าเกิดขึ้น เพราะผลของอนาคตจะต้องต่อเนื่องจากเหตุแห่งปัจจุบัน ถ้าเป็นเช่นนั้นแสดงว่าข่าวสารในอนาคตได้ถูกกำหนดไว้แล้ว รอให้เราไปพบโดยที่เราจะปล่อยมันไม่ได้เลย อย่างนั้นหรือ ? คำตอบก็คือ ใช่อาจจะเป็นอย่างนั้น เหตุการณ์ทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้แล้ว หรือ ถ้าจะพูดลึกลงไปก็คือ มันได้ เกิดขึ้นแล้ว ถ้าเช่นนั้นท่านอาจจะเถียงได้ว่ามัน เกิดเกิดขึ้นได้อย่างไรในเมื่อมัน คือ เรื่องของอนาคต คำถามที่น่าคิดสำหรับท่านก็คือ ท่านแน่ใจแล้วหรือว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เดี๋ยวนี้ท่านเรียกว่า ปัจจุบันคือ ปลายสุดของเหตุการณ์ซึ่งต่อเนื่องมาจากอดีต ปลายสุดหมายถึงว่า เหตุการณ์ในอนาคตยังไม่มี

ท่านแน่ใจอย่างนั้นไม่ได้ เพราะนั่นคือ ความรู้สึกของเวลาที่ถูกวัดด้วยระบบของปฏิทิน สมมติว่ามีการเทียบกับการวัดอีกระบบหนึ่ง คนที่อยู่ในระบบนั้นจะมองเห็นว่า ปัจจุบันที่เรากำลังดำเนินอยู่นั้นมันคือ อดีต เมื่อมองจากระบบของเขานั่นเอง ถ้าอดีต ปัจจุบันและอนาคตเป็นสิ่งที่ได้ถูกวางไว้แล้ว เกิดขึ้นแล้ว ปรัชญาของคนโบราณเกี่ยวกับเรื่องของชะตาชีวิตที่กล่าวว่า วิถีชีวิตของคนทุกคนได้ถูกำหนดไว้แล้ว สิ่งที่มันจะเกดมันก็ต้องเกิดก็นับได้ว่าเป็นแนวความคิดที่น่าสนใจ เรื่องที่เราคิดว่าไร้สาระ อาจจะตรงกับหลักความจริงที่ลึกซึ้งลงไปกว่านั้น สำหรับการค้นพบในวันข้างหน้า และเมื่อนั้นเราอาจจะต้องยกหัวแม่โป้งให้แล้วบอกว่า คนโบราณนี้คิดไกลจริงๆ

การซ้อนเหลื่อมกันแห่งเวลาอาจจะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่นเดียวกับการเกิดแผ่นดินไหว สุริยุปราคา หรือภูเขาไฟระเบิด เพียงแต่เรายังไม่มีกฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดมาอธิบายได้เท่านั้น ถ้าท่านเพียงไปยืนพิงป้ายรถประจำทาง แล้วเกิดเวียนศรีษะขึ้นมามันอาจจะไม่ใช่แผ่นดินไหว แต่อาจจะเป็นปรากฏการณ์ของการซ้อนเหลื่อมกันของเวลาซึ่งกำลังเกิดขึ้น
อยู่กับท่านก็ได้


มิติพิศวง

หมายเลขบันทึก: 159884เขียนเมื่อ 17 มกราคม 2008 22:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 22:22 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท