15 : การประกาศเพศ


 

สุตตะ  เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา เพราะอาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ

[๕๙] ดูกรอานนท์ ก็ด้วยประการดังนี้แล คำนี้ คือ เพราะอาศัย
เวทนาจึงเกิดตัณหา เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา เพราะอาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ เพราะอาศัยลาภจึงเกิดการตกลงใจ เพราะอาศัยการตกลงใจจึงเกิดการรักใคร่พึงใจ เพราะอาศัยการรักใคร่พึงใจจึงเกิดการพะวง เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดความยึดถือ เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่ เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน เพราะอาศัยการป้องกันจึงเกิดเรื่องในการป้องกันขึ้นอกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือการถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จย่อมเกิดขึ้น คำนี้เรากล่าวไว้ด้วยประการฉะนี้แล

อ่านรายละเอียดได้ในมหานิทานสูตร  พระศาสดาขยายความละเอียดกว่านี้
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=10&A=1455&w=มหานิทานสูตร


จินตะ
ยกพระสูตรนี้มาให้ดูว่า ข้าวสาลีสำเร็จได้อย่างไร?  พระสูตรนี้กล่าวเรื่องปฏิจจสมุปปาทอันลึก   ขยายลำดับแห่งตัณหาอันนำไปสู่ความสำเร็จ แล้วนำไปสู่อกุศลกรรมลามกมากมาย

การที่ข้าวสาลีสำเร็จแก่มนุษย์ต้นกัปป์ ก็เพราะว่า  จิตเขาเหล่านั้นประกอบด้วยตัณหา มีความอยากได้ในรสแห่งดิน  ซึ่งมันขัดกับสภาพปัจจุบันขณะนั้นของเขาคือง้วนดิน กะบิดิน เครือดิน ได้อัตรธานไปแล้ว ไม่กลับมาแล้ว ....... ตัณหาที่เขามี เกิดมาจากเขาประสบเวทนาในการลิ้มรสแห่งง้วนดิน กะบิดินหรือเครือดินเหล่านั้น......

ตัณหาของเขาอันไม่ขาดสาย ทำให้จิตเขาเกิดแสวงหา มีอาการเหาะขึ้นเหาะลงค้นหาอย่างนั้น  และจิตเองก็กำหนดหมายไว้แต่รสแห่งดิน พอใจรสแห่งดิน..  สุดท้าย ความปรากฏแห่งรสดิน จึงจัดสรรมาให้สำเร็จแก่เขา แต่ก็ไม่ได้ตรงทีเดียว เป็นการพบการครึ่งทาง ธรรมชาติก็จัดสรรสิ่งที่พอดีมาให้ คือข้าวสาลีอันเป็นตัวคัดรสแห่งดินขึ้นมารวมไว้ในก้อนข้าว มีโอชาคล้ายกัน แม้จะคุณภาพต่ำกว่า แต่ก็ยอมรับได้

เอาล่ะ ทีนี้ก็มากล่าวถึงเรื่องความปรากฏเพศต่อไป
เมื่อเพศปรากฏแล้ว เขาก็ค้นหาความมุ่งหมาย  สุดท้าย สัญญาเก่ามันก็โผล่ออกมาเพราะอาศัยการแสวงหาอย่างว่า คำตอบที่เหมาะสมก็ผุดขึ้นจากสัญญาเมื่อคราวเป็นมนุษย์  มนุษย์ผู้หญิงและผู้ชายคู่หนึ่ง ก็เลยลองเอาเข้าประกอบกัน  เรียกว่าร่วมสังวาสกัน

แต่ว่าปลายคุยหะสัมผัสเข้ากับร่องแห่งโยนิเท่านั้นล่ะ  ความรู้สึกประหลาดก็โลดแล่นขึ้นอีก   มนุษย์เดี๋ยวนี้ร่วมเพศกันแล้วถึงจุดไคลแมกซ์ด้วยความรู้สึกอย่างไร  ความรู้สึกนั้น เมื่อปรากฏแก่มนุษย์ต้นกัปป์ผู้มีกายประณีต ย่อมปรากฏรับรู้ได้มากกว่านั้นร้อยเท่าพันทวี  มันเกิดคล้ายปีติโลดแล่นขึ้น  รู้สึกคล้ายกับมีกำลังวังชา   เขาไม่ต้องเร่งเร้าโยกเข้าโยกออก แค่อวัยวะแตะกัน มันก็ถึงจุดสุดยอดแล้ว


ในหมู่มนุษย์เหล่านั้น  สัตว์โดยมากเห็นแล้ว รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งน่ารังเกียจที่คู่หญิงชายนั้นทำอย่างนั้น (เข้าใจว่า หญิงชายคู่นั้นคงจะชื่ออดัมกับอีวานะ....? ผมสมมติเป็นตัวละครผมไปเลยละกันว่า ชายชื่ออดัม หญิงชื่ออีวา ทำการล่วงสังวาสกัน ชื่อว่าฝืนคำสั่งพระเจ้าก็คือผิดธรรมชาติของ
พรหมอาภัสสราซึ่งมีปกติยินดีเฉพาะในกายตน)


นึกดูนะครับว่า ตอนที่อดัมนำอวัยวะเพศแตะที่อวัยวะเพศของอีวา  เขาเกิดความรู้สึกอันประหลาดนั้นขึ้น แล้วร้องขึ้นมาด้วยความรู้สึกประหลาด ลากเสียงอ่อนๆยาวๆอ้อนๆขึ้น บรื๊อ..........  ผู้ที่ได้เห็นแล้วได้ยินแล้วจะรู้สึกรังเกียจแค่ไหน?  ก็ตอนที่อดัมอีวาทดลองนำอวัยวะเข้าแตะกันนั้น  มนุษย์ตนอื่นก็ใคร่รู้ก็มุงดูกัน  แต่พออดัมอีวาร้องอู๊ว์.....ขึ้นเท่านั้นล่ะ   มนุษย์ทุกตนในบัดนั้นรับรู้ด้วยจิตได้ถึงความรู้สึกนั้นว่า มันน่ารังเกียจ ไม่สมควร เมื่อนั้น กลุ่มพรหมมุงหรือคนมุงในตอนนั้นก็ส่งเสียงโห่เหมือนกัน  เป็นการตำหนิ...  ภาษามนุษย์ต้นกัปป์ ไม่มีอะไรมากมาย  มีแต่อู๊ๆอ๊าๆ โอ๊ะๆเอ๊ะๆ   แค่เปล่งเสียง จิตเขาก็รู้ความหมายแล้ว...  ยิ่งสมัยเป็นพรหมอยู่ ไม่ต้องได้เปล่งเสียงเลย แค่นึกก็รู้ถึงกันแล้ว


เมื่ออดัมกับอีวาเสพธรรมลามก  หมู่มนุษย์นั้นโห่แล้ว เขาก็อาย...  ส่วนคนอื่นๆ เห็นแล้วมันทั้งรู้สึกรังเกียจ ทั้งรู้สึกใคร่รู้ว่าอดัมกับอีวารู้สึกอย่างไร  หากว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี ทำไมภาษาเสียงมันบ่งบอกเหมือนอดัมอีวาพอใจ  แต่ฟังจากเสียงแล้ว รู้สึกว่าเป็นความทุกข์ความไม่ราบรื่น ไม่ปลอดโปร่งไม่สบาย....  แต่นั้นมา ก็มีผู้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง  ลองทดลองกันเข้า จับกันเป็นคู่ๆ

พอเริ่มจะเอาอวัยวะแตะกัน  เพื่อนเห็น รู้สึกรังเกียจก็ร้องโห่... แรกๆยังมีความอาย ก็ไม่ทำ แต่พออยากรู้มากเข้า ก็รู้สึกว่า มนุษย์ต้นกัปป์จะหน้าด้านขึ้นมา  เขาร้องโห่ก็ไม่สนใจแล้ว ก็เอาแตะกันแล้วร้องโอ๊ว์....ให้เพื่อนรังเกียจ

หลังจากนั้น เมื่อโห่ไม่ได้ผล   พวกมนุษย์ที่รังเกียจเอง ก็เลยกอบเอาฝุ่นโปรยลงใส่กายคู่คนที่เสพเมถุนกัน  ทำให้การเสพเมถุนเป็นสิ่งน่าละอาย เป็นสิ่งน่ารังเกียจในสังคม  แต่ปริมาณของผู้ใคร่รู้ก็ไม่ได้บกพร่องลงเลย  มีแต่ทวีขึ้น    ความขัดแย้งของมติมีมาแต่ต้นกัปป์โน้นในเรื่องนี้  และก็เป็นที่ยอมรับกันว่า เมถุนธรรมเป็นของต่ำ แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ไปแล้ว

 

หมายเลขบันทึก: 159856เขียนเมื่อ 17 มกราคม 2008 21:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 28 เมษายน 2012 19:22 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท