รำลึกพระคุณครู


ย้อนกลับไปในช่วงต้นปี ๒๕๓๓ ผมจำได้ว่าเป็นวันหยุดเรียนวันแรกหลังจากหยุดในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ผ่านมาหมาดๆ  วันนั้นเป็นวันครูครับ ผมจึงช่วยแม่ถือปิ่นโตนำอาหารไปถวายแก่หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งท่านเป็นพระสุปฏิปันโนที่คนในบ้านของผมศรัทธาและนับถือท่านเป็นครูบาอาจารย์ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๒๙ 

%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%a7%e0%b8%87%e0%b8%9b%e0%b8%b9%e0%b9%88

ทั้งๆที่ ผมสัมผัสถึงความมีเมตตา ผ่านรอยยิ้มและคำพูดของท่านที่ทักทาย พูดจากับลูกศิษย์คนอื่นๆซึ่งเป็นผู้ใหญ่มา 3 ปีเศษ แต่ยังมีอีกห้วงหนึ่งของความรู้สึกที่ผมรับรู้ว่าท่านเป็นพระที่ค่อนข้างดุจึงไม่ค่อยกล้าเข้าไปใกล้ชิดท่าน แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังอยากเข้าไปใกล้ๆท่าน ก็ไม่รู้ว่าทำไม สงสัยว่าผมคงจะคิดตามประสาเด็กๆว่า ถ้าอยู่ใกล้คนดี แล้วเราจะดีตามท่านมั๊ง ? แล้ววันหนึ่งจังหวะเหมาะก็มาถึงครับ วันนั้นค่อนข้างปลอดคน ผมพยายามรวบรวมความกล้าแล้วค่อยๆเดินย่องเข้าไป กะว่าจะไปนั่งสมาธิใกล้ๆท่าน ซึ่งขณะนั้นผมเข้าใจว่าท่านกำลังจำวัดอยู่ พอผมนั่งลง ท่านก็ลืมตาขึ้นมอง แล้วบอกว่า...... "เอ้า...ไปทำงาน"

เราทราบกันดีว่า ไปทำงานในความหมายของท่าน ก็คือ ไปทำสมาธิครับ

งานของท่าน ก็หมายถึง งานภายในนั่นเอง


หลังจากที่หลวงปู่ฉันเพลในวันครูปีนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ให้พร จากนั้นลูกศิษย์ก็ช่วยกันลำเลียงอาหารมาวางเรียงต่อๆกันที่ด้านหน้ากุฏิของท่าน เป็นแถวยาวแล้วพวกเราก็นั่งลงกับพื้นกระดานต่างระดับข้างหน้ากุฏิของท่าน โดยนั่งหันหน้าเข้าหากัน แล้วทานกันด้วยความสำรวม ไม่ค่อยมีใครพูดกันเสียงดัง เพราะท่านเคยพูดว่า "กินข้าว คุยกัน ระวังผีจะเข้าปาก"

บางคนอิ่มท้อง ทานเสร็จก็กราบลาท่านกลับบ้าน บางคนต้องการอิ่มบุญด้วยก็ไปนั่งสมาธิกันต่อแล้วจึงกลับบ้าน

ด้วยความเป็นเด็ก ผมไม่ได้สังเกตและไม่รู้มาก่อนเลยว่าวันนั้นหลวงปู่อาพาธ เพราะวันนั้นผมยังคงได้รับพรเต็มบทเหมือนกับทุกๆครั้งที่ผมไปกราบท่าน ผมนึกไม่ถึงเลยว่าวันนั้นจะเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้กราบหลวงปู่เป็นวันสุดท้ายก่อนที่ท่านจะมรณภาพในเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น (๑๗ มกราคม ๒๕๓๓)

ทราบภายหลังว่าในช่วงบ่ายของวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๓๓ หลังจากที่ผมกับแม่กลับจากวัดแล้ว ขณะที่หลวงปู่กำลังเอนกายพักผ่อนอยู่นั้น ได้มีนายทหารอากาศผู้หนึ่งมากราบนมัสการท่านซึ่งเป็นการมาครั้งแรก หลวงปู่ได้ลุกขึ้นนั่งต้อนรับด้วยใบหน้าที่สดใส ราศีเปล่งปลั่งเป็นพิเศษ กระทั่งบรรดาศิษย์ ณ ที่นั้นเห็นผิดสังเกต

หลวงปู่แสดงอาการยินดีเหมือนรอคอยบุคคลผู้นี้มานาน ท่านว่า "ต่อไปนี้ข้าจะได้หายเจ็บหายไข้เสียที"  ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าท่านกำลังจะโปรดลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่าน หลวงปู่ได้แนะนำการปฏิบัติพร้อมทั้งให้นายทหารผู้นั้นนั่งปฏิบัติต่อหน้าท่าน ซึ่งเขาก็สามารถปฏิบัติได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ท่านย้ำในตอนท้ายว่า ข้าขอฝากให้แกไปปฏิบัติต่อ

ท่านมักสอนลูกศิษย์ว่า

           เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว ให้รีบพากันปฏิบัติ

            คนฉลาดน่ะ เขาไม่เคยมีเวลาว่าง

            “คนดี ไม่ตีใคร

หมั่นทำเข้าไว้...ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต ...ของดีอยู่ที่ตัวเรา ของไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเรา

ตราบใดก็ตามที่แกยังไม่เห็นความดีในตัว ก็ไม่นับว่าแกรู้จักข้า แต่ถ้าเมื่อใดที่เริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้ว เมื่อนั้น ข้าว่าแกรู้จักข้าดีขึ้นแล้ว. และท่านยังให้กำลังใจในการปฏิบัติว่า

แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก ข้าอยู่ใกล้ ๆ แกจำไว้

แม้ว่าหลวงปู่จะมรณภาพจากไปนานเกือบ 20 ปีแล้ว แต่ผมรู้สึกเหมือนว่าหลวงปู่ยังอยู่ใกล้ๆ และเฝ้ามองอยู่ในทุกๆการกระทำ


 

๑๖ มกราคม ๒๕๕๑

๒๒.๓๐ น.

หมายเลขบันทึก: 159711เขียนเมื่อ 17 มกราคม 2008 08:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 22:22 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)
สวัสดีค่ะ คุณข้ามสีทันดร งานภายในใจ ต้องฝึกอยู่เสมอค่ะ เหมือน อ. วรภัทร์ บอกว่า สร้างกูฎิภายในใจค่ะ

การทำความดี เขาเปรียบเทียบว่าทำยาก

นั้นเป็นบทพิสูจน์ถึงความมานะอุตสาหะ

ไม่แปลกใจเลยที่คนปัจจุบันหันมาเอาความสะดวกสบาย

ไม่ค่อยปฏิบัติธรรม ทั้ง  ๆที่ทำได้อยู่ที่บ้าน

ทำดีทุกวัน อย่ารอพรุ่งนี้เดี๋ยวจะสาย

ขอบคุณค่ะ ที่ช่วยเตือนสติ

เพราะสติ(สตางค์) ไม่ค่อยอยู่กับตัว

สวัสดีค่ะน้องกบ

พี่เข้ามาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วจำไม่ได้แต่เข้ามาอ่านเงียบๆเพื่อซึมซับสิ่งที่หลวงปู่ดู่ท่านทิ้งไว้ให้คิด

เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว ให้รีบพากันปฏิบัติ

            คนฉลาดน่ะ เขาไม่เคยมีเวลาว่าง

            “คนดี ไม่ตีใคร

หมั่นทำเข้าไว้...ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต ...ของดีอยู่ที่ตัวเรา ของไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเรา

ตราบใดก็ตามที่แกยังไม่เห็นความดีในตัว ก็ไม่นับว่าแกรู้จักข้า แต่ถ้าเมื่อใดที่เริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้ว เมื่อนั้น ข้าว่าแกรู้จักข้าดีขึ้นแล้ว. และท่านยังให้กำลังใจในการปฏิบัติว่า

แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก ข้าอยู่ใกล้ ๆ แกจำไว้

..............................................................

สาธุค่ะ 

สวัสดีค่ะน้องกบ

อ่านแล้วได้บทเรียนจากหลวงปู่ ผ่านการถ่ายทอดในบันทึกของน้อง

ดีจังเลยค่ะ เหมือนมีพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาสอนสั่ง เตือนสติเราตลอด

ขอบคุณนะคะ 

สวัสดีครับคุณกบ

             ขอบคุณที่เขียนบันทึกดี ๆ ครับ  บางครั้งผมห่างหายไปจากการฝึกอยู่บ้างเหมือนกัน

             แต่หนังสือของหลวงปู่ก็อยู่ใกล้ ๆ หัวนอนครับ ผมหยิบมาอ่านอยู่เสมอ ถึงแม้จะอ่านจบไปแล้วแต่ก็อ่านเพื่อฝึกตัวเองครับ

 P berger0123

"งานภายในใจ ต้องฝึกอยู่เสมอค่ะ เหมือน อ. วรภัทร์ บอกว่า สร้างกุฎิภายในใจค่ะ"
 
ขอบคุณครับที่ช่วยเพิ่มเติม

หลวงปู่ท่านก็เคยบอกว่า "ทำใจของพวกแกให้เป็นพระซิ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ถ้าเชื่อจริง ทำจริง ต้องได้ พระเครื่องก็ไม่ต้องมาเสก ไม่ต้องห้อย เพราะพระอยู่กับตัวแกแล้ว"

แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก ข้าอยู่ใกล้ ๆ แกจำไว้

ประโยคนี้ของท่าน ทำให้ไม่มีคนกล้า ออกนอกทางเลยนะคะ แม้แต่คิดก็ไม่เคย

ขอขอบพระคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมและร่วมแสดงความคิดเห็น

คิดถึงทุกท่านเสมอครับ

 

  •   เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว ให้รีบพากันปฏิบัติ
  • ใช่เลยค่ะน้องกบโดนใจมากๆเรามัวแต่หลงระเริงอะไรกันอยู่หรือ

อ่านจบแล้ว อิ่มใจไปกับเมตตาอันสูงยิ่งของหลวงปู่ เป็นข้อธรรมสั้นๆ ที่จับใจอย่างยิ่ง และเห็นในความเป็นผู้หลุดพ้นจากเวทนาของหลวงปู่ ขอบพระคุณที่เขียนบันทึกดีๆให้ได้ติดตามค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท