วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2549) ได้มีโอกาสคุยกับนายคะเชนทร์ มะโนใจ ท่านดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดลำปาง ท่านให้ข้อมูลเบื้องต้นว่าปัจจุบันศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดลำปางมีจำนวนทั้งหมด 13 ศูนย์ กระจายอยู่ในทุกอำเภอ (จังหวัดลำปางมี 13 อำเภอ) นอกจากนี้แล้วยังมีศูนย์การเรียนรู้ชุมชนอยู่ในทุกตำบลที่มีครู กศน. อยู่
สำหรับภารกิจของ กศน. นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ
ภารกิจหลัก
1.จัดการศึกษาตลอดชีวิตให้กับประชาชน โดยในปัจจุบันทางกศน.ได้จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้กับประชาชนที่ไม่สามารถเข้ามาเรียนในโรงเรียนได้ตามปกติ เริ่มตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา
2.การฝึก/พัฒนาอาชีพ สำหรับบุคคล/กลุ่มที่มีความสนใจสามารถติดต่อมาที่ กศน. เพื่อให้ กศน.ส่งเจ้าหน้าที่ไปฝึก/อบรมอาชีพให้
3.การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต
4.การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน
5.การศึกษาตามอัธยาศัย เช่น การจัดห้องสมุดชุมชน/ห้องสมุดเคลื่อนที่ เป็นต้น
เมื่อพิจารณาตามภารกิจหลักของ กศน.แล้วจะพบว่า ในกรณีที่ กศน.จะทำงานร่วมกับเครือข่ายองค์กรออมทรัพย์ชุมชนจังหวัดลำปางน่าจะจัดอยู่ในภารกิจที่ 4 คือ เป็นการให้การศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน นอกจากนี้แล้วยังสามารถทำงานร่วมกันในส่วนของการฝึก/พัฒนาอาชีพ (ข้อ2) ก็ได้
ภารกิจตามยุทธศาสตร์ชาติ (ภารกิจเร่งด่วน)
1.ยกระดับการศึกษาประชาชนที่อยู่ในวัยแรงงาน (อายุระหว่าง 15-69 ปี)
2.นโยบายแก้ไขปัญหาความยากจน ขณะนี้ทาง กศน.จังหวัดได้ให้นโยบายกับ กศน.ในอำเภอต่างๆ ให้จัดกิจกรรมร่วมกับกลุ่ม/ชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน
(เข้าใจว่าที่กลุ่มบ้านดอนไชยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากทาง กศน. จำนวน 13,000 บาทนั้น คงเป็นในส่วนของการฝึก/พัฒนาอาชีพ ซึ่งทาง กศน.เถินคงเป็นเจ้าภาพ)
สำหรับในส่วนของการทำงานกับเครือข่ายฯ ในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น จากการพูดคุย แลกเปลี่ยนกับทาง ผอ.กศน. สามารถสรุปได้คือ
1.เวลาไม่ตรงกัน ในส่วนนี้ท่าน ผอ. บอกว่าคุยกับทางประธานฯเครือข่ายฯเป็นประจำ แต่ยังไม่มีการทำงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจาก เป็นเพียงการพูดคุย และที่สำคัญ คือ เวลาไม่ตรงกัน บางที ผอ.ว่าง ประธานฯก็ไม่ว่าง พอประธานฯว่าง ผอ. ก็ไม่ว่าง พอว่างตรงกันนัดกันบางทีประธานฯก็ไม่มาตามนัด
2.ยังไม่มีการพูดคุยอย่างชัดเจนในเรื่องการทำงานร่วมกัน ที่ผ่านมาเป็นการพูดคุยอย่างกว้างๆ
นอกจากนี้แล้วท่าน ผอ. ยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่ายฯกับหน่วยงานสนับสนุนว่า ต้องเริ่มต้นที่เครือข่ายฯ เครือข่ายฯต้องสำรวจและถามใจตัวเองก่อนว่าสถานการณ์ขณะนี้เป็นที่พอใจของเครือข่ายฯหรือไม่ ถ้าหากเครือข่ายฯบอกว่าพอใจก็คงไม่ต้องทำอะไร อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆก็ได้ แต่ถ้าเครือข่ายฯบอกว่ายังไม่พอใจ เครือข่ายฯต้องคิดต่อว่าแล้วจะทำอะไร และทำอย่างไรต่อไป รวมทั้งใครจะสามารถเข้ามาช่วยเครือข่ายฯได้ คำถามเหล่านี้เครือข่ายฯต้องตอบให้ได้ หลังจากนั้นต้องมีแผนในการทำงานว่าเครือข่ายฯต้องการอะไร จะทำอะไรเพื่อที่จะได้บรรลุเป้าหมายตามต้องการ จากนั้นจึงค่อยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถ้าไม่ทำอย่างนี้คุยกันไปเรื่อยๆงานก็ไม่เกิด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่รู้ว่าตนเองจะช่วยได้อย่างไร บางครั้งอาจปัดความรับผิดชอบไปเลย บอกว่าไม่ใช่ภารกิจของหน่วยงานของตน กล่าวโดยสรุปก็คือ ในการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรชาวบ้านกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเริ่มต้นจากตัวองค์กร ไม่ใช่เริ่มต้นจากหน่วยงานดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ไม่มีความเห็น