หลังจาก พรบ.การศึกษา ๒๕๒๕ ถูกประกาศใช้ ส่งผลให้ ปอเนาะ หรือ โรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลามถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามโดยที่รัฐบาลให้การสนับสนุนทางการเงินแก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามที่สอนวิชาสามัญควบคู่วิชาศาสนาอิสลาม สำหรับโรงเรียนที่สอนเฉพาะวิชาศาสนา จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ดังนั้นปอเนาะในปัจจุบันจึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. โรงเรียนปอเนาะแบบดั้งเดิม ซึ่งต่อมา ในปี พ.ศ.๒๕๔๗ กระทรวงศึกษาธิการได้ออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสถาบันศึกษาปอเนาะ พ.ศ.๒๕๔๗ ดังนั้น ปอเนาะแบบดั้งเดิมจึงถูกแปรสภาพเป็น”สถาบันศึกษาปอเนาะ” โดยระเบียบข้างต้น
2. โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม (บทความฉบับนี้จะนำเสนอเฉพาะโรงเรียนประเภทนี้)
หลังจากปอเนาะถูกแปรสภาพมาเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามปอเนาะมีสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้
- ผู้บริหารเปลี่ยนจากโต๊ะครูเป็นผู้บริหารซึ่งประกอบด้วย ผู้รับใบอนุญาต ผู้จัดการ ครูใหญ่ (ซึ่งใน พรบ. โรงเรียนเอกชนฉบับใหม่ จะถูปแปรสภาพเป็น ผู้อำนวยการ)
- มีครูผู้สอนทั้งครูภาคศาสนาและภาคสามัญ ที่ต้องทำหน้าที่การสอนอย่างเป็นระบบ กล่าวคือ ต้องมีแผนการสอน มีกิจกรรมการเรียนการสอน มีสื่อการสอน มีการวัดและประเมินผล
- มีหลักสูตรที่แน่นอนและชัดเจนขึ้นทั้งหลักสูตรศาสนาและหลักสูตรภาคสามัญ
- ระยะเวลาเรียนมีการกำหนดที่แน่นอนโดยหลักสูตร
- มีการทดสอบเพื่อวัดและประเมินผลในการผ่านชั้น และจบการศึกษา และมีวุฒิบัตรที่รับรองการจบการศึกษา
- มีปัจจัยพื้นฐาน (Infrastructure) ค่อนข้างสมบูรณ์ เช่น อาคารเรียนที่ทันสมัยขึ้น ห้องสมุด ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ ห้องปฏิบัติการทางภาษา ห้องคอมพิวเตอร์ ฯลฯ
- มีระบบการบริหารที่ค่อนข้างชัดเจนมากขึ้น เช่น มีแผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการ มีโครงการ มีการประเมินผล
- มีงบประเมินที่ได้รับการสนับสนุนจากทางรัฐบาล จากการเก็บค่าเล่าเรียนอีกบางส่วน และจากการทำธุรกิจจากการจัดการศึกษาอีกบางส่วน มีระบบบัญชีที่ตรวจสอบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
- ฯลฯ
จึงสรุปได้ว่าปอเนาะในปัจจุบันมีลักษณะที่แตกต่างจากปอเนาะในอดีตอย่างชัดเจน ปอเนาะในปัจจุบันยังพยายามที่จะรักษาเจตนารมณ์ และอัตลักษณ์ของปอเนาะในอดีตให้ดำรงต่อไป แต่ด้วยสภาพการเปลี่ยนแปลงในสังคมโลกที่ถูกขับเคลื่อนด้วยลัทธิวัตถุนิยม (Materialism) ลัทธิแบ่งแยกศาสนาออกจากวิถีการดำรงชีวิต (Secularism) ทำให้วัตถุปัจจัย เกียรติยศชื่อเสียง เข้ามามีอิทธิพลในการจัดการศึกษา จนกลายเป็นธุรกิจศึกษา โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามบางพื้นที่มีการแข่งขันกันสูง ถึงขั้นมีนโยบายประชานิยม ลดแลก แจก แถม เพียงเพื่อให้มีนักเรียนจำนวนมาก อันนำมาซึ่งค่าหัวที่ได้รับการสนับสนุนจากทางรัฐบาลเป็นจำนวนมาก การได้มาซึ่งงบประมาณจำนวนมาก ๆ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามเป็นอย่างมากหากผู้บริหารคำนึงถึงการบริหารคุณภาพตามปริมาณของงบประมาณที่ได้รับ แต่เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งเนื่องมาจากโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามส่วนมากยังละเลยต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ซึ่งสังเกตเห็นได้จากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ค่อนข้างต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนประเภทอื่น ๆ (ตามที่เคยรับรู้กัน) ปรากฏการณ์เช่นนี้ผมขอเรียกว่า “การบริหารโรงเรียนโดยใช้ค่าหัวเป็นฐาน”
ไม่มีความเห็น