ในบรรดากษัตริย์ของพม่านั้น จันสิตตา(หรือ พระเจ้าจันสิต หรือ พระเจ้าครรชิต นับเป็นวีรกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งที่โดดเด่น
สารัตถะจากตำราเรียนพม่า
จันสิตตา
:
วีรกษัตริย์แห่งสมานฉันท์และสันติสุข
ในบรรดากษัตริย์ของพม่านั้น
จันสิตตา(dyoN00Nlkt) หรือ พระเจ้าจันสิต หรือ
พระเจ้าครรชิต(dyoN00N,'NtWdut)
นับเป็นวีรกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งที่โดดเด่นในหน้าประวัติศาสตร์แห่งชาติของพม่า
ภาพลักษณ์ความเป็นยอดคนของจันสิตตาเริ่มปรากฏในสมัยพระเจ้าอโนรธาในบทบาทยอดนักรบที่เก่งกล้าแห่งพุกาม(x68"l^icgdk'Nt)
พอในสมัยเจ้าซอลูทรงเป็นขุนพลแห่งสัจจะ
และในสมัยของพระองค์เองก็ได้รับการยกย่องให้เป็นนักปกครองที่ชาญฉลาด
ด้วยทรงสามารถสร้างเอกภาพและความมั่นคงขึ้นภายในชาติจนนำมาซึ่งความสงบสันติของอาณาจักรพุกาม
และถ้าหากจะเปรียบกับพระเจ้าอโนรธาซึ่งคือผู้สร้างอาณาจักรพุกามด้วยความสามัคคีของชนในชาตินั้น
พระเจ้าจันสิตตาก็คือผู้ธำรงอาณาจักรพุกามมิให้ต้องล่มสลายจากภัยคุกคาม
ส่วนในทางการปกครอง มองกันว่าอโนรธาอาศัยความเด็ดขาดจัดการกับปัญหา
ฝ่ายจันสิตตานั้นอาศัยการประนีประนอม
นอกจากนี้พม่ายังยกย่องจันสิตตาว่าเป็นผู้สร้างเอกภาพให้กับอาณาจักรพุกามได้อย่างแท้จริง
และช่วยให้พุกามดำรงความเป็นอาณาจักรไว้ได้อีกนาน
ในแบบเรียนอ่านประวัติศาสตร์เมียนมาชั้น ๓ (หน้า ๗)
กล่าวถึงจันสิตตาว่าเป็นยอดขุนพลผู้หนึ่งของพระเจ้าอโนรธา
และเป็นนักรบที่เคยสร้างวีรกรรมด้วยการเอาชนะทัพมอญ
อีกทั้งมีความชำนาญในการบังคับม้า มีจิตใจกล้าหาญ และมีฝีมือเป็นเลิศ
จันสิตตาเคยร่วมรบกับยอดขุนพลขับไล่กองทัพของพวกขอมที่ยกมาตีถึงเมืองพะโค
นอกจากพม่าจะถือว่าจันสิตตาเป็นกำลังสำคัญในการช่วยพระเจ้าอโนรธาสร้างอาณาจักรพุกามให้เป็นปึกแผ่นมาแต่แรก
พระองค์ยังได้รับการยกย่องในความเก่งกล้าดังเผยให้เห็นในสงครามปราบทัพมอญของงะระมันกาน
ซึ่งเป็นกบฏที่เกิดขึ้นเนื่องเพราะการมีผู้นำที่อ่อนแออย่างเจ้าซอลู
ดังแบบเรียนอ่านประวัติศาสตร์เมียนมา ชั้น ๕ (หน้า ๙) กล่าวไว้ดังนี้
…
“จันสิตตารับราชการเป็นขุนพลในสมัยเจ้าซอลู(g0k]^t)ผู้เป็นโอรสของพระเจ้าอโนรธา
และด้วยเหตุที่เจ้าซอลูด้อยความสามารถ
จึงได้เกิดกบฏงะระมันกาน('i,oNdoNt)ขึ้นมา
งะระมันกานรู้ถึงความสามารถในการรบของจันสิตตาจึงมิกล้าเผชิญศึกด้วยปกติวิธี
ดังนั้นจึงได้ยกทัพในราตรีอับแสงมายังเกาะปยีต่อตาซึ่งเต็มไปด้วยบ่อดินตม
เจ้าซอลูมิฟังคำทัดทานของจันสิตตา
จึงออกรบจนเสียท่าต่อกลศึกและถูกจับตัวไปได้….”
จันสิตตายังได้รับการยกย่องว่าเป็นขุนพลแห่งสัจจะและซื่อสัตย์เป็นยอด
ดังเมื่อแม้พระองค์จะได้รับความไว้วางใจจากเหล่าขุนนางให้ขึ้นครองราชย์แทนเจ้าซอลูก็ตาม
แต่พระองค์กลับกล้าเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเจ้าซอลูซึ่งตกเป็นตัวประกันในทัพมอญ
และจนเมื่อไม่มีเจ้าซอลูและปราบมอญได้สำเร็จแล้วจันสิตตาจึงยอมขึ้นครองบัลลังก์
ในแบบเรียนอ่านประวัติศาสตร์เมียนมาชั้น ๕ (หน้า ๙)
กล่าวถึงน้ำพระทัยของจันสิตตาที่มีต่อเจ้าซอลูไว้ว่า …
“พอทัพแตกจันสิตตาจึงต้องหลบหนี
เมื่อถึงพุกามเหล่าขุนนางต่างทูลเชิญให้จันสิตตาขึ้นครองบัลลังก์ด้วยเห็นว่ามิมีเจ้าซอลูแล้ว
แต่จันสิตตานั้นเป็นผู้ถือในสัจจะต่อผู้เป็นนายจึงมิอาจรับข้อเสนอของเหล่าขุนนางได้
จันสิตตากลับเล็ดลอดเข้าไปในทัพของงะระมันกานเพื่อหมายลักตัวเจ้าซอลูกลับมา
ฝ่ายเจ้าซอลูนั้นกลับมิวางพระทัยในตัวจันสิตตาจึงได้ส่งเสียงร้อง
ดังนั้นจันสิตตาจึงทิ้งเจ้าซอลูไว้แล้วหนีเอาตัวรอดออกมาได้
งะระมันกานจึงสังหารเจ้าซอลูแล้วยกทัพสู่พุกามเพื่อหมายตั้งตนเป็นกษัตริย์”
ต่อมาจันสิตตาได้ผนึกกำลังพลเพื่อกำจัดมอญงะระมันกานจนสำเร็จ
ในแบบเรียนอ่านประวัติศาสตร์เมียนมา ชั้น ๕ (หน้า ๑๐)
ได้สะท้อนบารมีและความสามารถของจันสิตตาและเหล่านักรบไว้ว่า …
“จันสิตตาได้จัดเตรียมกำลังอยู่ก่อน ณ เขตเจ้าก์แซ
เมื่อมาถึงเมืองทีลาย เจ้าบ้านทีลายได้ยกธิดาให้และถวายตนเป็นทาส
พระองค์จึงได้พระนามว่าเจ้าทีลาย(5ut]Ab'Nia'N)มาแต่บัดนั้น
หลังจากนั้นพระองค์จึงรวบรวมกำลังพลเข้าโจมตีทัพของงะระมันกาน
งะระมันกานพลาดท่าเสียทัพก็ด้วยเพราะพระปรีชาสามารถของจันสิตตาและด้วยความกล้าหาญของเหล่านักรบ….”
พม่ายังยกย่องพระเจ้าจันสิตตาในความชาญฉลาดในการประนีประนอม
พระองค์ทรงยกย่องคนมอญและยอมรับวัฒนธรรมมอญให้เป็นส่วนหนึ่งในราชสำนักพม่า
ทั้งนี้เพื่อเอกภาพและสันติสุขในราชอาณาจักร
การสยบมอญให้อยู่ในพระราชอำนาจดังกล่าวได้รับการเอ่ยเน้นเป็นพิเศษในแบบเรียนอ่านประวัติศาสตร์เมียนมา
ชั้น ๓ (หน้า ๙–๑๐) ดังนี้ …
“ในแผ่นดินพุกามนั้น
เมื่อสิ้นพระเจ้าอโนรธาแล้วราชบุตรซอลูจึงขึ้นครองบัลลังก์
งะระมันกาน('i,oNdoNt)เจ้าเมืองพะโคได้ก่อการกบฏพร้อมกับสังหารเจ้าซอลู
พอไม่มีเจ้าซอลู จันสิตตาจึงสืบบัลลังก์พุกาม
จากนั้นก็ทรงสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับราชอาณาจักร
ในรัชสมัยของพระเจ้าจันสิตตานั้น
ทรงมีสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยดี
ดังนั้นจึงรอดพ้นจากภัยต่างชาติ และประเทศก็พลอยสงบสันติ
พระจ้าจันสิตตาทรงสามารถดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างมอญและเมียนมาจนเป็นผลสำเร็จต่อความมั่นคงในด้านเอกภาพ
พระองค์ทรงปรารถนาที่จะรักษาไมตรีระหว่างมอญ-เมียนมาซึ่งมีมาแต่ครั้งสมัยพระเจ้าอโนรธา
ดังนั้นในเพลาที่ทรงขึ้นครองราชย์
พระองค์จึงทรงมอบยศศักดิ์ให้กับนักปราชญ์ชาวมอญที่พร้อมด้วยความสามารถ
ทั้งนี้เพื่อรักษาความเป็นสมานฉันท์ของชาวมอญกับชาวเมียนมาไว้
นอกจากนี้
พระองค์เองยังได้ยกขิ่นอู(-'NFt)ราชธิดาชาวมอญขึ้นเป็นมเหสี
อีกทั้งในการขึ้นครองบัลลังก์ก็ทรงให้จัดราชพิธีตามแบบมอญอีกด้วย
พระองค์ทรงให้สร้างศิลาจารึกเป็นภาษามอญเพื่อเล่าถึงพระราชพิธีราชาภิเษก
และด้วยการที่พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญแห่งมิตรภาพมอญ-เมียนมา
จึงได้ทรงมอบโอกาสอันเสมอภาคทั้งแก่ชาวมอญและชาวเมียนมา
ด้วยเหตุนี้
ชาวมอญทั้งหลายจึงน้อมรับความเป็นสมานฉันท์ระหว่างมอญ-เมียนมาด้วยความชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง
ในรัชสมัยพระเจ้าจันสิตตานั้น มอญและเมียนมาจึงมีความรักใคร่ปรองดอง
และประเทศก็สงบสันติ”
จันสิตตายังได้รับการยกย่องในความปรารถนาดีต่อประเทศชาติเยี่ยงมหาบุรุษของชาติที่พยายามลดความขัดแย้งต่างๆเพื่อสร้างความปรองดองในชาติจนสำเร็จทั้งด้วยการศึกและการเมือง
ดังกล่าวในแบบเรียนอ่านประวัติศาสตร์เมียนมาชั้น ๕ (หน้า ๑๐) ไว้ว่า
…
“จันสิตตาทรงมีความปรารถนาที่จักให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง
ทรงเป็นกษัตริย์ที่เพียบพร้อมด้วยสติปัญญา
และทรงปกครองประชาราษฏร์อย่างเสมอภาคโดยมิทรงแบ่งแยกเชื้อชาติและศาสนา
ถึงแม้อาณาจักรพุกามที่สร้างโดยพระเจ้าอโนรธาจะเกิดความระส่ำระสายเพราะเจ้าซอลูผู้ไร้ปรีชาชาญก็ตามที
แต่จันสิตตากลับทรงรักษาอาณาจักรไว้ได้ด้วยการศึก
และมิเพียงแค่นี้ยังทรงใช้การเมืองสร้างความปรองดองของคนในชาติไว้ได้อย่างมั่นคงกว่าแต่ก่อน”
จันสิตตายังตระหนักในไมตรีอันมีต่อมอญ
และเห็นประโยชน์ชาติยิ่งกว่าประโยชน์ตน
โดยทรงยกพระธิดาของพระองค์ให้กับเจ้าชายมอญ
เพื่อรักษาสายเลือดมอญพม่าให้กับราชวงศ์พุกาม
ทั้งยังทรงตั้งพระราชนัดดาอันเกิดจากสายเลือดมอญ-พม่านั้นให้สืบบัลลังก์
แทนที่จะมอบราชสมบัติให้กับราชบุตรของพระองค์เอง
ดังแบบเรียนการอ่านภาษาเมียนมา ชั้น ๒ (หน้า ๙) กล่าวไว้ว่า …
“พระเจ้าจันสิตตาทางสร้างความสมานฉันท์ในชาติ
พระองค์ทรงมอบราชบัลลังก์ให้กับพระราชนัดดานามอลองซีตูซึ่งมีสายเลือดมอญเมียนมา
ทั้งนี้เพื่อความสมัครสมาน”
แต่ความข้อนี้ในแบบเรียนซึ่งใช้มาตั้งแต่สมัยสังคมนิยมกลับไม่ตรงกับแนวคิดของนักประวัติศาสตร์ฝ่ายที่นิยมอิงพงศาวดาร
ซึ่งกล่าวว่าจันสิตตายกพระธิดาของพระองค์ให้กับเจ้าชายขาเป๋นามว่าซอยูนผู้เป็นราชบุตรของเจ้าซอลู
โดยให้เหตุผลว่าเพื่อรักษาสายเลือดพม่าของพระเจ้าอโนรธา
ส่วนการตีความว่าอลองซีตูมีสายเลือดมอญนั้น
เป็นการตีความของนักประวัติศาสตร์ฝ่ายอิงศิลาจารึกที่มีศาสตราจารย์ลูซ(Luce)เป็นผู้นำโดยดูจากจารึกมอญและเชื่อว่าพระเจ้าจันสิตตาน่าจะยกราชธิดาให้กับนาคสมันผู้เป็นหลานของพระเจ้ามนูหา
จึงอาจตั้งข้อสังเกตได้ว่าในยุคสังคมนิยมและปัจจุบันนั้นตำราเรียนต่างได้ให้ความสำคัญต่อความปรองดองระหว่างชนชาติเป็นพิเศษ
แต่กระนั้นกระแสความคิดทางประวัติศาสตร์กระแสหลักของพม่าในปัจจุบันกลับสะท้อนแนวคิดเผ่าพันธุ์นิยมโดยยึดตามพงศาวดารกันมากขึ้น
ซึ่งย่อมขัดกับตำราเรียนของรัฐเอง
ดังพบว่านักเขียนพม่าสายรัฐบาลและนักเขียนนิยายมักยอมรับในทำนองเดียวกันว่าอลองซีตูเป็นสายเลือดพม่าที่สืบมาแต่อโนรธา
ปรากฏการณ์เช่นนี้น่าจะมีแนวคิดการเมืองชี้นำเพราะรัฐได้หันมาเน้นการรักษาเผ่าพันธุ์
เพียงหมายโจมตีนางอองซานซูจีซึ่งมีสามีเป็นชาวอังกฤษ
ส่วนครูสอนประวัติศาสตร์ในโรงเรียนนั้นย่อมต้องสับสน
เพราะคติการรักษาเผ่าพันธุ์พม่ากำลังเป็นกระแสทางการเมืองและยังขัดกับคติความปรองดองระหว่างชนต่างชาติพันธุ์
ซึ่งเป็นสาระสำคัญในแบบเรียน
นอกจากจันสิตตาจะเป็นนักรบและนักปกครองแล้ว
พระองค์ยังเป็นพุทธกษัตริย์
แบบเรียนได้สะท้อนว่าพุทธศาสนาซึ่งเป็นสามัญสำนึกของชาวพม่านั้นถูกใช้เพื่อบ่งชี้ความเป็นผู้นำพม่า
เพราะงานสร้างพุทธเจดีย์และงานพุทธศิลป์ต่างอ้างถึงความใจบุญสุนทานของกษัตริย์พม่าและการมีสันติภาพ
นอกเหนือจากอำนาจทางการเมืองที่มีเหนือประชาชน
ในแบบเรียนอ่านประวัติศาสตร์เมียนมา ชั้น ๓ (หน้า ๑๐) กล่าวว่า
…
“นอกจากพระเจ้าจันสิตตาจะสร้างความปรองดองระหว่างมอญ-เมียนมาแล้ว
พระองค์ยังทรงบำรุงพระศาสนาให้รุ่งเรืองอย่างมากมาย
พระองค์ทรงสืบงานสร้างพระเจดีย์ชเวซีโข่ง(gU0PNt-6"g09u)ที่เริ่มค้างไว้ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโนรธาจนแล้วเสร็จ
นอกจากนี้ยังได้ทรงสร้างพระเจดีย์อานันดา(vkoO·k46ikt)ขึ้นเพื่อการสักการะบูชา
พระเจดีย์องค์นี้มีความโดดเด่นเป็นอย่างยิ่งด้วยเพราะมีภาพเขียนสีบนฝาผนังและภาพแกะสลักเต็มตัวชั้นยอดทางหัตถศิลป์”
นอกจากนี้
จันสิตตายังถูกเผยภาพให้เห็นเป็นกษัตริย์ที่เปี่ยมด้วยความกรุณาต่อราษฎรของพระองค์
ดังปรากฏในแบบเรียนการอ่านภาษาเมียนมา ชั้น ๒ (หน้า ๙) ดังนี้ …
“เมื่อพระเจ้าจันสิตตาขึ้นเสวยราชย์
พระองค์ทรงดูแลผลประโยชน์ของประเทศ
พระองค์ทรงประกาศว่าจะทรงมอบข้าวปลาอาหารแก่พสกนิกรด้วยพระหัตถ์ขวา
และมอบเครื่องนุ่งห่มด้วยพระหัตถ์ซ้าย”
ในการพัฒนาเศรษฐกิจ จะถูกมองว่าเป็นอานิสงส์จากการเมืองที่มั่นคง
และแบบเรียนได้ยกย่องความสามารถของจันสิตตาที่ช่วยสร้างภาวะให้บังเกิดความเจริญทางเศรษฐกิจในอาณาจักร
ดังกล่าวในแบบเรียนอ่านประวัติศาสตร์เมียนมา ชั้น ๕ (หน้า ๑๐)ไว้ว่า
…
“เมื่อมีความปรองดองของคนในชาติเช่นนี้และเกิดความสงบสันติขึ้นแล้ว
ประชาราษฎร์จึงสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้
ด้วยจันสิตตาเป็นกษัตริย์ที่มีความสามารถ จึงดำเนินการปรับปรุงไร่นา
เขื่อน ฝาย และอ่างเก็บน้ำ ซึ่งจำเป็นต่องานด้านเกษตรกรรมอของประเทศ
อีกทั้งดำเนินการค้าขายกับต่างประเทศ อาทิ จีน และอินเดีย เป็นต้น
ดังนั้นพลังทางเศรษฐกิจของประเทศจึงเติบโตขึ้นมา”
อีกทั้งแบบเรียนอ่านประวัติศาสตร์เมียนมา ชั้น ๕ (หน้า ๑๐)
ยังกล่าวถึงภาพรวมของพุกามในสมัยนั้นไว้ว่า …
“ด้วยเหตุนี้
นับได้ว่าพระเจ้าจันสิตตาได้ทรงดำเนินการให้ประเทศมีความสงบสันติ
บังเกิดความปรองดองในชาติ และมีความเจริญรุ่งเรือง”
เมื่อพิจารณาเนื้อหาจากแบบเรียน
นับว่าจันสิตตาได้รับความสำคัญในฐานะผู้มุ่งแก้ไขวิกฤติทางการเมืองด้วยการประนีประนอมทางชนชาติ
โดยการใช้กำลังปราบปรามภาวะคุกคาม และการยอมรับเพื่อสยบอำนาจต่อรอง
และแบบเรียนยังได้เสนอภาพความสำเร็จของความปรองดองในชาติว่าเกิดจากความสามารถของผู้นำ
ส่วนการทำนุบำรุงพุทธศาสนาด้วยการสร้างหรือบูรณะพุทธเจดีย์ในแบบเรียนนั้นเป็นการฉายภาพสันติสุข
และความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าจะให้ภาพของความรุ่งเรือง
ดังนั้นวีรกรรมของจันสิตตาต่อประเด็นดังกล่าวจึงชี้แบบอย่างของผู้นำที่เป็นได้ทั้งนักรบ
นักปกครอง และนักพัฒนา
และดูเหมือนว่าแบบเรียนจะได้พยายามนิยามให้ผู้นำคือผู้เป็นที่พึ่งของประชาชน
และเป็นผู้คอยมอบความอบอุ่นใจแก่ประชาชนทั้งในยามสันติและในช่วงวิกฤต
นอกจากนี้
แบบเรียนยังชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างผู้นำที่เข้มแข็งกับผู้นำที่อ่อนแอ
กล่าวคือจันสิตตาเป็นผู้นำที่กล้าหาญ รู้จักการประนีประนอม มีเมตตา
เสียสละ และซื่อสัตย์ ประเทศชาติจึงมั่นคงและสงบสุข
ต่างจากซอลูซึ่งอ่อนแอจนส่งผลร้ายต่ออาณาจักร
แบบเรียนจึงพยายามสร้างความประทับใจให้กับเยาวชนต่อภาพบวกของนักรบที่จะสามารถปกครองและป้องกันประเทศ
ต่างจากผู้นำอย่างซอลูที่ขาดคุณสมบัติอย่างนักรบจนฝ่ายมอญก่อการกบฏขึ้น
อีกทั้งภาพสืบเนืองของอโนรธากับจันสิตตายังเสมือนจะจงใจให้เป็นภาวะจำเป็นต่อการก่อเกิดและการดำรงอยู่ของอาณาจักรพุกามภายใต้การนำพาของนักรบที่เก่งกล้า
นับเป็นความสอดคล้องกับบทบาทของกองทัพแห่งชาติต่อการกระทำให้ได้เอกราชและการรักษาความมั่นคงทางการเมือง
ความสมนัยดังกล่าวนั้นคงมิใช่ความบังเอิญ
หากเกิดจากการผูกเอาความทรงจำในอดีตของยุคตั้งอาณาจักรพุกามมาอธิบายความชอบธรรมทางการเมืองให้แก่กองทัพพม่า
โดยยกเงื่อนไขของความอ่อนแอของผู้นำอย่างเจ้าซอลู
และการก่อกบฏของชนต่างเผ่าอย่างกบฏมอญมาเป็นอุทาหรณ์
เรื่องราวของจันสิตตาในฐานะวีรกษัตริย์ผู้กอบกู้สถานการณ์แห่งพุกามตามที่ปรากฏในแบบเรียนนั้น
จึงน่าจะเป็นความพยายามอันหนึ่งในการสร้างภาพซ้ำรอยทางประวัติศาสตร์เพื่ออ้างความชอบธรรมในการ
ปกครองประเทศโดยกองทัพแห่งชาติสมัยรัฐบาลปฏิวัติของนายพลเนวิน
ที่ก้าวขึ้นมามีอำนาจโดยกล่าวโทษอูนุผู้นำพลเรือนว่าขาดความเข้มแข็งทางการเมืองและเป็นต้นเหตุให้เกิดกบฏหลากสี(การต่อสู้ทางการเมืองของ
ชนกลุ่มน้อยและพรรคคอมมิวนิสต์พม่า)
หรือแม้แต่ในสมัยรัฐบาลทหารชุดปัจจุบันซึ่งสืบต่ออำนาจจากระบอบเนวินก็ยังสมคล้อยกับภาพซ้ำดังกล่าวไปด้วย
แต่ปรากฏในภาพที่อูเนวินกลายเป็นผู้นำที่ล้มเหลว
เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจและความระส่ำระสายทางการเมือง
ดังนั้นวงจรทางการเมืองและแนวคิดต่อการล้มล้างเพื่อสืบต่ออำนาจทางการเมืองของกองทัพพม่า
จึงอาจอาศัยวีรกรรมต่างๆของพระเจ้าจันสิตตาเป็นแบบอย่างไว้อ้างอิงต่อกรณีที่เกิดวิกฤติทางการเมืองในพม่า
วิรัช
นิยมธรรม