รวมไอเดีย
ทำ KM แทรกในงานประจำขอรับ
- นำ AARแทรกตอนจบงานประชุมทุกงานว่า
วันนี้ข้าน้อยได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการประชุมครั้งนี้
จะนำกลับไปทำอะไรได้บ้าง
และพยายามให้ทุกคนมีโอกาสได้พูด สิ่งสำคัญบรรยากาศต้องไม่เหม็น เอ้ย ต้อง(กลิ่น)ดี
- AAR ทุกครั้งที่มีเวลาคุยกับใครนานพอ
ไม่ว่าจะโทรศัพย์หรือยืนคุยก็ตาม
แต่ไม่บอกนะว่าผมกำลังทำ AAR อยู่
โดยจะสรุปทวนให้ฟังว่า ผมเข้าใจและได้รู้อย่างนี้นะ
และจะนำเรื่องนี้ไปทำยังไงต่อ
- AAR จากการอ่านเรื่องต่างๆ ตรงนี้ผมรู้สึกว่าจะทำได้ยากหน่อยแต่อยากทำเพราะ
ทุกวันนี้ผมอ่านเรื่องต่างๆ จาก G2K ก็มาก
แต่ไม่เคยคิดทำ AAR เท่าไหร่เพราะความรู้มันเยอะจนน่ากลัว (ขี้เกียจพิมพ์อะ)
บวกกับถ้ามัวนั่งคิดก็อ่านได้นิดเดียวนะสิ เลยขอเป็นแค่คนอ่านมาเรื่อยๆ
แต่ก็เริ่มรู้ว่า ความรู้ถ้ามันอยู่นอกตัวมันก็จำไม่ได้ซะที
ต้องอาศัยการเขียนและลงมือจะช่วยให้จำง่ายขึ้น
ว่าแล้วก็มาดูการบ้านการทำ AAR (ไ้ด้รู้อะไรจากงาน) ของอาร์ทิตย์ที่ผ่านมาซะเลย
- เริ่มจากของกลุ่มงานตัวเองก่อนขอรับ ได้คุยกับพี่วิไลวรรณที่เป็นหัวหน้ากลุ่มงานเรื่องการทำ KM ในกลุ่มงาน และได้ทบทวนความรูุ้้้จากการอบรมอีกครั้งนั่นคือ การมองต่างมุม เนื่องจากพี่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารทำให้ผมได้มองการนำ KM ไปใช้อีกมุมหนึ่งขึ้น คือ การนำไปใช้ทั้งกลุ่มงานและการทำหน้าที่การประสานงาน
ของพี่เขาว่าจะไปใช้เยี่ยงไร ผมเองตอบไม่ได้มากเพราะไม่รู้การทำงานแบบละเอียด ได้คิดอีกว่าทำไมอ.ทรงพลจึงคิดว่าการทำ AAR น่าจะเป็นเครื่องมือที่ดีสุดสำหรับการบ้านนี้
- ต่อมา คือ เรื่องการเข้าประชุมกลุ่มเบาหวาน ได้ดูการนำเสนอของหมออรุณแล้ว รสึกว่ารูปภาพรูปเดียวสื่อความหมายได้ดีกว่าเอกสารเป็นหน้า นั่นคือ "รูปน้ำอัดลมกับน้ำตาล 6 ช้อน" และหัวข้อเดียวกันนี้เองผมแอบคุยกับพี่พยาบาลด้านข้าง
ได้ความรู้เพิ่มมาอีกว่าถ้าเทียบกับอะไรที่เข้าใจง่าย คนไข้จะเข้าใจได้ดีกว่ากันเยอะไปอีก เช่น ข้าวต้ม, กาแฟ ที่คนไข้กินบ่อย ผมก็คุยกันต่อเพลิน และสรุปความคิดได้ว่า "เราควรนำเสนอสิ่งที่คนไข้ได้กินจริง จะทำให้คนไข้เรียนรู้ได้ดี" ส่วนการนำมาปฎิบัติผมคิดไอเดียคร่าวๆ ว่าต้องถามคนไข้ในแบบสอบถามก่อนว่ากินอะไรประจำอยู่ (แน่นอนว่าต้องให้เขากล้าเขียน บรรยากาศต้องดีย้ำ)
หรือไม่ก็ทำกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างคนไข้ว่า ได้กินอะไรกันบ้างในแต่ละวันเพราะอะไร
และ คิดว่ากินถูกไหม (อันนี้อาจตบท้ายภายหลังเพื่อไม่ให้บรรยากาศลบ)
- จากคนไข้เบาหวานที่มาปรึกษาตอนเวรดึก (22 ธค. เวลาราว 22:00 น.คุยราว 30 นาที) สดๆ ร้อนๆ นี่เองและ เป็นเคสที่ทำให้ผมอยากมาบันทึก
เนื่องจากเจ้าตัวกลุ้มใจกับอาการของตัวเองมาก (เครียดจนผมร่วง) ช่วงแรกแกจะคุยอยู่เรื่องของแกนาน (โชคดีที่คนไข้ไม่มาก) จนในที่สุดก็เข้าประเด็นได้ว่า แกอยากได้ยาฉีดเบาหวานที่ดีที่สุด สาเหตุที่มาวันนี้
เพราะน้ำตาลตกจากที่หมอเปลี่ยนยาฉีดตัวใหม่ให้
ผมสนใจมากเลย ถามและฟังแกคุยลึกๆ ไปเรื่อยๆจนแกยอมบอกว่าที่แกเป็นเช่นนี้เพราะ
แกกินไม่เป็นเวลาเป็นผลพวงมาจากเวลา งานไม่แน่นอนผมเลยได้ไอเดียจากแกนี่แหละแนะนำไปว่า
"ควรบอกแพทย์ตามนี้เลยครับ แพทย์จะได้สั่ยาฉีดที่แบบออกฤทธิ์นาน
ซึ่งน่าจะคุมได้ดีกว่าตัวที่แบบผสมที่ได้อยู่"
ถึงตรงนี้คนไข้ก็ขอบคุณผมซะมากมายจนผมตกใจ
และไ้ด้ลาจากด้วยความรู้สึกดีๆ
บทเรียนนี้ทำให้ผมได้คิดว่า การที่คนไข้กล้าบอกความจริงกับเรานี่เป็นเรื่องที่ยากอย่าง
รายนี้แกมีความตั้งใจเต็มที่ๆจะแก้ปัญหา
แต่แกไม่กล้าเล่าความจริงอาจกลัวถูกตำหนิหรือต่อว่า
จากพวกเราที่ให้บริการ บรรยากาศในการพูดคุยจึงเป็นสิ่งสำคัญมากๆ รวมถึงเวลาที่จะให้กับคนที่ปรึกษาต้องมากพอ
เพื่อให้เราเก็บแต้มความเอาใจใส่ให้คนไข้ได้เห็น
จนยิงประตูเปิดใจได้ (ข้อนี้อาจทำได้ยากถ้ามีคนไข้รอมาก)
และการคุยพยายามยกหัวเรื่องให้กว้างไม่มองแค่เรื่องยาอย่างเดียว ให้มองทั้งชีวิตของเขา
เพื่อคนไข้เข้าประเด็นที่เป็นปัญหาชีวิตจริงของเขาได้ตรง
ซึ่งผมยกเรื่องการคุมอาหารเข้าไปตรงนี้ คนไข้เลยเล่าเรื่องอาหารของเขาออกมา
การนำไปใช้ต่อ
อืม..ตรงนี้จะลำบากไม่น้อยเพราะแต่ละเคสทริกคงต่างกันมาก
ในการเปิดใจคนไข้แต่ละราย แต่ผมสรุปได้ว่าคนไข้รายนี้ผมใช้การจ้องมองหน้าคนไข้ กระตุ้นให้เจ้าตัวอยากเล่าต่อ รวมทั้งไม่ตำหนิหรือต่อว่ารวมทั้งต่อไปจะลิสต์รายการ
สิ่งที่ส่งผลเกี่ยวข้องไว้คุยด้วย ตอนนี้ลิสต์ได้กว้างๆ ดังนี้ครับ
- อาหาร
- การออกกำลัง
- ยา
- ครอบครัว/คนใกล้ชิด
- ความเชื่อ(ตามท้องถิ่นและจากสื่อต่างๆ)
คิดว่าหากนำไปคุยกับพี่ๆพยาบาลที่ให้คำปรึกษาด้วย
น่าจะต่อยอดได้มากกว่านี้นะขอรับ ไม่แน่อาจทำเป็นฟอนร์มออกมาเลยก็ได้ จะได้ถามครบ
เท่านี้ก่อนนะขอรับเพราะรู้สึกมึนแล้ว ความรู้ที่เหลือน่าจะเป็นมุมมองมากว่า ไมีไอเดียแต่ว่าการนำมาปฎิบัติน่าจะยากเหมือนกันเพราะ คนอื่นคงมองต่างจากข้าน้อย
ขอให้ผู้อ่านทุกท่านหลับฝันดีขอรับ
ปล.นึกเสริมได้ การจะมานั่งเขียนบันทึกได้ต้องมีแรงบันดาลใจมากจริงๆ ขอรับ ไม่เช่นนั้นข้าน้อยคงไม่ถ่างตามาอบันทึกเช่นนี้
รวมแรงบันดาลใจและแรงกระตุ้นจากหลายคน ที่ทำให้บันทึกออกมาได้เยอะขนาดนี้
- อ.ทรงพลที่ให้การบ้านมา
- คนไข้ผู้น่ารัก
- พี่ขวัญที่แวะมาเตือนเรื่องการบ้านคืนนี้เอง
- พี่วิไลวรรณที่กระตุ้นถามเรื่องการทำ KM ทำให้ผมนึกได้ว่ามีการบ้านอยู่ เหอๆ
- คุณอเนกจากบล็อก dmthatpanom
- คุณศิริรัตน์จากบล็อก krabihosp (แอบเอาเข้าแพลเน็ตแล้วขอรับ หุๆ)
- อยากรู้มากๆ ว่าศิษย์ร่วมรุ่น อ.ทรงพลคนอื่นได้ทำการบ้านอะยัง แล้วทำแล้วเป็นไงมั่ง
บันทึกด้วยเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม ฟี้ๆๆๆ
บันทึกความสำเร็จ
เขียนได้เยอะกว่าที่คาดมาก คาดว่าบรรยากาศค่ำคืนช่วยหนุน รวมทั้งการไปค้นอ่านจาก G2K ทำให้เปิดตาและใจได้กว้างขึ้น
การเขียนเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าแบบนิทานอีสบ
ทำให้ผมพิมพ์ได้เพลินดีขอรับ
บันทึกความล้มเหลว
เป้าหมายในการบันทึกความรู้จาก G2K ล้มเหลวครับผม
การบันทึกตามฟอร์มที่ออกแบบไว้ ล้มเหลวครับผม
แต่ได้ฟอร์มใหม่มาไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดีเนี่ย
(การบ้านข้อแรกใจฟูหรือฟุบ ตอบว่าฟูแล้วฟุบ
เพราะนึกว่าต้องบันทึกให้ครบกว่านี้แล้วเหี่ยวเลยขอรับ)