สำหรับในประเทศไทย
ประมาณ พ.ศ. 2480 ปลูกเป็นไม้ประดับที่สถานีทดลองยางคอหงส์
จังหวัดสงขลา
พ.ศ. 2511
เริ่มส่งเสริมการปลูกในลักษณะที่เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ โดยภาครัฐในพื้นที่จังหวัดสตูล
พื้นที่ประมาณ สองหมื่นไร่
และภาคเอกชนในพื้นที่จังหวัดกระบี่
พื้นที่ประมาณ 16,000
ไร่ โดยพันธุ์ปาล์มที่ภาครัฐและภาคเอกชนใช้ปลูกเป็นพันธุ์ลูกผสมแบบเทเนอรา
ซึ่งนำเข้ามาจากประเทศมาเลเซียทั้งหมด
พ.ศ. 2529
ประเทศไทยมีพื้นที่เก็บเกี่ยว 374,881 ไร่
ผลผลิตเฉลี่ย 1.85 ตันต่อไร่
พ.ศ. 2530
ประเทศมาเลเซียออกกฎหมายห้ามนำเข้าเมล็ดพันธุ์ปาล์มเข้าประเทศไทย
พ.ศ.
2531-2539 เกษตรกรประสบปัญหาเกี่ยวกับพันธุ์ปลอม
หรือพันธุ์ที่เก็บเมล็ดจากโคนต้นมาจำหน่ายให้เกษตรกรปลูกอย่างมาก
พ.ศ.
2540 หน่วยงานรัฐเริ่มผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสมได้เองในประเทศ โดยกรมวิชาการเกษตร
ออกพันธุ์แนะนำ 1
พันธุ์ คือ พันธุ์ปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี 1นอกจากหน่วยงานของภาครัฐแล้วบริษัทเอกชน
3 บริษัท สามารถผลิตพันธุ์ลูกผสมได้เองในประเทศ คือ บริษัทยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม จำกัด
บริษัทเปา-รงค์
ออยด์ปาล์ม จำกัด และบริษัทอุติพันธุ์พืช
แต่ในระยะนี้ยังมีการนำเข้าเมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศ
เนื่องจากการผลิตในประเทศยังไม่เพียงพอ โดยมีพื้นที่เก็บเกี่ยว
1,097,000 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ย 2.44 ตันต่อไร่
พ.ศ. 2542
ไทยเริ่มส่งออกน้ำมันปาล์มโดยไม่มีการนำเข้าเป็นครั้งแรกโดยมีพื้นที่เก็บเกี่ยว
1,245,863 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ย 2.82
ตันต่อไร่
พ.ศ.
2544 กรมวิชาการเกษตร ออกพันธุ์แนะนำ 2
พันธุ์ คือ พันธุ์ปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี 2
และพันธุ์ปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี 3
พ.ศ. 2546 มีพื้นที่เก็บเกี่ยว
1,745,000 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ย 2.81 ตันต่อไร่
พ.ศ.
2547 รัฐบาลประกาศขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน ให้ได้ 10
ล้านไร่ภายใน 25 ปี
โดยเกษตรกรขาดแคลนกล้าปาล์มพันธุ์ดีมากในปีนี้ คาดว่าเฉพาะปี
2547 มีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นมากกว่า 150,000
ไร่ และมีพื้นที่เก็บเกี่ยว 1,800,000
ไร่ ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 2.90 ตันต่อไร่
ไม่มีความเห็น