ณ ห้องพักอาจารย์ขณะพูดคุยกันเล่นๆ..............
"พี่ว่านะ การสอนเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ควรจะมีสอดแทรกอยู่ในทุกรายวิชาอยู่แล้วนะ ไม่ใช่มีแค่ในรายวิชาใดรายวิชาหนึ่งเท่านั้น"
สิ่งที่เกิดจากการพูดคุยเล็กๆ ของคนไม่กี่คน ณ สถานที่ที่ไม่ได้เป็นทางการใดๆ ทำให้เกิด..........
"Little Big Project"
จากการแอบหยิบไอเดียที่สุดแสนจะสร้างสรรค์ ของทีมงานภาควิชาทันตกรรมชุมชน ม.เชียงใหม่ หลังจากที่เข้าไป (แอบ) อ่านบันทึกของ อ.อ้อ ( http://gotoknow.org/blog/the-inspiration-on-education ) มาแล้ว สิ่งหนึ่งที่สะดุดใจผู้เขียนบันทึกเหลือหลายคือเรื่องของ "การให้"
"Little Big Project" ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าความพยายามที่ผู้เขียนจะสอดแทรก "อะไรบางอย่าง" ที่นอกเหนือจากเนื้อหาความรู้ในหน้าหนังสือให้กับนิสิต โดยผ่านการเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และแสดงออกไปตามที่ตนรู้สึกก็เท่านั้น......
"เราลองมาทำอะไร สนุกๆ กันดีกว่า บางสิ่งที่เราทำเริ่มต้นอาจจะเป็นสิ่งเล็กๆ ไม่สลักสำคัญอะไร แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งนั้นอาจจะยิ่งใหญ่และมีคุณค่ากับอีกคนมากก็ได้นะ ลองมาทำอะไรเล็กๆ แต่อาจยิ่งใหญ่กันดู" นี่เป็นคำพูดที่พูดตอนบอก Project นี้แก่นิสิตทันตแพทย์ชั้นปีที่ 2 ในรายวิชาทันตกรรมชุมชน 2 คะ.......
สิ่งที่บอกกับนิสิต คือ
หลังจากนั้น ประมาณ 1 เดือน...........
ในคาบเรียนรายวิชาทันตกรรมชุมชน 2 ได้ลองให้เค้าเขียนสิ่งที่เค้าทำลงในกระดาษ จัดแบ่งกลุ่มพูดคุยถึงสิ่งที่เค้าได้ทำให้เพื่อนๆ ฟัง (ช่วงนี้มีกติกานิดหน่อยแทรกไว้คะ คือ ให้นิสิตลองฝึก "การเป็นผู้ฟังที่ดี" ซึ่งตรงจุดนี้ได้ให้นิสิต คิดกันเองว่า "ผู้ฟังที่ดี" ตามที่นิสิตคิดเป็นอย่างไร - นิสิตช่วยกันตอบประมาณ ฟังอย่างตั้งใจ มองตาผู้พูด ไม่พูดขัดขณะผู้พูดกำลังพูดอยู่ ฟังโดยไม่ตัดสิน ดังนั้นจึงขอให้นิสิตนำสิ่งที่ช่วยกันคิดนี้มาเป็นกติกาหลักในการพูดคุยครั้งนี้)
นอกจากนี้เมื่อฟังเรื่องราวของทุกคนจบแล้ว ให้ช่วยกันเลือกเรื่องที่ประทับใจหรือชอบที่สุดของเพื่อนในกลุ่มมา 1 เรื่อง เพื่อเล่าแบ่งปันให้เพื่อนทั้งชั้นได้ฟังกัน
มาถึงช่วงนี้สิ่งที่ได้ฟังบางเรื่องก็อึ้งไปเหมือนกันนะคะ....
นิสิตคนหนึ่งเล่าประมาณว่าสิ่งมีชีวิตที่เค้าสนใจ คือ "อาม่า" ของเค้าเอง ตามที่นิสิตเล่า อาม่า ของเค้าเป็นคนแก่ที่ไม่ค่อยสนใจกับใครมากนัก ไม่ชอบให้ใครมายุ่งด้วย ช่วยเหลือตัวเองทุกอย่างไม่ชอบให้ใครมาช่วย น้องนิสิตเค้าเลยลองทำในสิ่งที่เค้าเองก็ไม่เคยคิดที่จะทำมาก่อนหน้า นั่นคือ "การกอด" เค้าเล่าว่าตอนแรกก็ไม่กล้าเข้าไปกอดเท่าไหร่ เพราะท่านไม่ชอบให้ใครไปยุ่ง พอลองทำดูอาม่าก็อยู่เฉยๆ ไม่ตอบโต้ เค้าตั้งใจจะกอดอาม่าของเค้าทุกวัน.... เค้าเล่าต่อว่าก็กอดไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีอะไร แต่แล้วมีอยู่วันหนึ่งน้องนิสิตกลับบ้านดึก (ประมาณ 4 ทุ่ม) อาม่าเป็นคนมาเปิดประตูให้ น้องนิสิตเล่าว่า เค้าเข้าไปกอดอาม่า สิ่งอาม่าพูดกลับมา คือ "อาม่ารอเรากลับบ้านอยู่นะ" และก่อนหน้าวันที่เล่าเรื่องนี้ 1 วัน เค้าก็ไปนวดน้ำมันให้อาม่า นวดไปก็ถามอาม่าว่าเจ็บไหม อาม่าก็ไม่ตอบ ถามซ้ำอีก อาม่าก็ไม่ตอบ เค้าก็เลยบอกว่าเจ็บก็บอกสิถ้างั้นเดี๋ยวก็เจ็บต่อไปเรื่อย เดี๋ยวนวดแรงกว่านี้นะ อาม่าตอบกลับมาว่า "เจ็บก็ทน" หลังจากนั้นน้องนิสิตก็นวดเบาๆ แล้วถามอาม่าว่า เจ็บไหม บางครั้งที่นวดแรงอาม่าก็จะพยักหน้า
น้องนิสิตเล่าว่า "จากสิ่งที่ศึกษามาก็ทำให้รู้ว่า การให้ ด้วยการแสดงความรักเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้เรามีความสุข"
สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนบันทึกแทรกเข้าไปด้วยคือ เรื่องของการ "เรียนรู้เรื่อง การรับ จาก การให้ " เพราะ "การรับก็เป็นศิลปะที่ละเอียดอ่อนไม่แตกต่างจากการให้" ให้เค้าได้เรียนรู้ว่าเวลาเราเป็นผู้ให้ แล้วผู้รับเค้ายินดีหรือแสดงความขอบคุณต่อสิ่งที่เราได้ให้ เราอิ่มเอมและรู้สึกยินดีเพียงใด ให้จดจำมันให้ดี
"การรู้จักรับอย่างงดงาม เป็นศิลปะที่ละเอียดอ่อนไม่น้อยไปกว่า การให้ด้วยใจบริสุทธิ์ ถ้าเรียนรู้ศิลปะทั้งสองนี้ให้ลึกซึ้งถึงใจ เราก็จะรู้จักเปิดประตูให้น้ำเลี้ยงใจไหลสู่กัน เพื่อเพิ่มความชุ่มฉ่ำงดงามให้ชีวิต"
สุดท้ายของคาบเรียนในวันนั้น ผู้เขียนได้บอกนิสิตอย่างหนึ่งว่า อย่างน้อยที่สุดวันนี้ทุกคนในชั้นเรียนนี้ก็ได้ "ให้" แล้ว สิ่งที่นิสิตทุกคนได้ให้ คือ "การให้เกียรติ" การให้เกียรติแก่เพื่อนทุกคนทีเป็นผู้พูดในขณะที่เราเป็นผู้ฟัง แค่นี้ก็เพียงพอแล้วค่า......
"การให้" ไม่จำกัดอยู่เฉพาะที่สิ่งของหรือวัตถุเพียงเท่านั้น
"การให้" ไม่จำกัดอยู่เฉพาะแค่เพื่อนมนุษย์เราเท่านั้น
"การให้" อาจไม่ต้องไกลเกินตัวเราเองก็ได้เพียงแค่ "ให้" โอกาสกับตัวเองก็พอ
อีกหลายๆ อย่างที่นิสิตเค้าได้เรียนรู้..... นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่นิสิตเหล่านี้ได้ "ให้" แก่อาจารย์คนนี้แล้วคะ.......
ปล.ยังมีอีกหลายเรื่องที่นิสิตได้เขียนไว้นะคะ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งคะ