กว่า 10 ปีที่เรียนจบจากแม่โจ้ไปนี้เป็นปีที่ 2 ที่ได้กลับมางานยี่เป็งอีกครั้ง
พิธีกรรมทางล้านนาที่ยังคงประทับใจอยู่ตลอดมา
บรรยากาศปีนี้แออัดไปด้วยผู้คนจากทั่วสารทิศ ที่แน่ๆ รถตู้ของนักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นวิ่งเข้างานต่อๆกันหลายคัน ชาวต่างชาติ นักข่าวจากที่ต่าง ตากล้องอิสระเดินแทบจะชนกัน การลอยโคมแต่ละครั้งของแต่ละกลุ่มกลายเป็นนาทีทองที่ตากล้องต่างๆ ต้องการ บางคนลงทุนนอนถ่ายเพื่อให้ได้ภาพสวยงามออกมา ดังเช่นภาพลอยโคมนี้น้องสาวของอรรถพร อุตส่าห์ลงไปนอนยาวกับพื้นหญ้าเพื่อให้ได้มุมที่คิดว่าสวยที่สุดมา ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จเป็นภาพที่ได้มุมสวยจริงๆ
เวลาที่โคมเป็นพันๆดวงลอยขึ้นบนท้องฟ้าไล่เลี่ยกัน มันเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ อธิบายคงนึกภาพไม่ออกเท่ามาดูเอง
รับประกันมาแล้วไม่เสียใจแน่นอน ถือว่าครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้เห็นท้องฟ้าสว่างเป็นสีเหลืองอมส้มทั่วฟ้า พร้อมเสียงเพลงบรรเลงเร้าใจให้ลอยโคม ทำให้ตื่นเต้นและมีความสุขจริงๆ
ด้วยความตื่นเต้นทำให้คณะเรามั่วแต่ไชโยดีใจที่โคมเราลอยออกไปได้ดี จนลืมอธิบายขอขมาลาโทษต่อสิ่งต่างๆ และขอโชคขอพรเสียนี่กระไร...เสียดายขนาดเจ้า
สวัสดีค่ะคุณ UMI ก่อนอื่นเริ่มความหมายของ
ประเพณียี่เป็งก่อนนะค่ะเป็นประเพณีลอยกระทงตามประเพณีล้านนาที่จัดทำขึ้นในวันเพ็ญเดือน 2 ของชาวล้านนา ยี่เป็งเป็นภาษาคำเมืองในภาคเหนือ คำว่า "ยี่" แปลว่า สอง และคำว่า "เป็ง" ตรงกับคำว่า "เพ็ญ" หรือพระจันทร์เต็มดวงซึ่งชาวไทยในภาคเหนือ
จะนับเดือนทางจันทรคติเร็วกว่าไทยภาคกลาง 2 เดือน ทำให้ เดือนสิบสองของไทยภาคกลาง ตรงกับเดือนยี่ หรือเดือน 2 ของไทยล้านนา
ตามวัฒนธรรมของล้านนาจะแบ่งโคมไฟออกเป็น 4 แบบ คือ "โคมติ้ว" หรือ โคมไฟเล็กที่ห้อยอยู่กับซีกไม้ไผ่ซึ่งผู้คนจะถือไปในขบวนแห่และนำไปแขวนไว้ที่วัด แบบที่สองเรียก "โคมแขวน" ที่ใช้แขวนบูชาพระพุทธรูปแบบด้วยกันเช่น รูปดาว รูปตะกร้า โดยปกติจะใช้แขวนตามวัดหรือตามหิ้งพระก็ได้แบบที่สามเรียก "โคมพัด" ทำด้วยกระดาษสาเป็นรูปกรวยสองอันพันรองแกนเดียวกันด้านนอก
จะไม่มีลวดลายอะไรส่วนด้านในจะตัดแต่งเป็นรูปทรงต่าง ๆ ในทางพุทธศาสนา เมื่อจุดโคมด้านใน แสงสว่างจะทำให้เกิดเงาบนกรวย ด้านนอกก็จะเคลื่อนไหวคล้ายตัวหนังตะลุงแบบสุดท้ายเรียก "โคมลอย" เป็นโคมใหญ่มีรูปร่างคล้ายบอลลูน ตัวโครงทำจากซีกไม้ไผ่หุ้มด้วย กระดาษสา เมื่อจุดโคม ความร้อนจากเปลวไฟ จะทำให้โคมลอยตัวขึ้น การปล่อยโคมลอยนี้จะทำกันที่วัดหรือตามบ้านคน โดยเชื่อกันว่าโชคร้ายทั้งหลายจะลอยไปกับโคมถ้าหากโคมลอย
ของพวกเขาขึ้นไปได้สูงและลอยไปได้ไกลมาก นี่ก็แสดงว่าเขาจะประสบความเจริญรุ่งเรือง
หากต้องการทราบความหมายของคำนี้ให้เป็นที่แน่นอนชัดเจนลงไป ก็ต้องไปดูจากต้นตำรับที่ว่าด้วยการลอยกระทง ซึ่งก็คือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือ นางนพมาศ และจากเอกสารชื่อนี้ฉบับที่กรมศิลปากร อนุญาตให้ศิลปาบรรณาคารพิมพ์จำหน่ายครั้งที่ ๑๔ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ หน้า ๙๖ บอกว่าในวันเพ็ญเดือนสิบสองนั้นจะมีพระราชพิธีจองเปรียง ซึ่งเป็น “นักขัตฤกษ์ชักโคมลอยโคม” ที่มีการเฉลิมฉลองกันถึงสามวัน ครั้งหนึ่ง นางนพมาศได้ประดิษฐ์โคมลอยเป็น “…รูปดอกกระมุท(ดอกบัว) บานกลีบรับแสงพระจันทร์ ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ(กงเกวียน) …“ และประดับด้วยดอกไม้และผลไม้สลักเป็นรูปนกจับอยู่ตามกลีบดอกบัว ซึ่ง “พระร่วง” ก็พอพระทัยมาก “… จึ่งมีพระราชบริหารบำหยัดสาปสรรว่า แต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงการกำหนดนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือน ๑๒ พระราชพิธีจองเปรียงแล้ว ก็ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกกระมุทอุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน อันว่าโคมลอยรูปดอกกระมุทบานก็ปรากฏมาจนทุกวันนี้ แต่คำโลกสมมุติเปลี่ยนชื่อเรียกว่าลอยกระทงทรงประทีป… “ (น.๙๙–๑๐๐)
หาข้อมูลเพิ่มได้ที่ http://kidsquare.com
www.guidescenter.com
http://www.khomyeepeng.com
ไม่ทราบว่าปีนี้ที่ธุดงคสถานจะมีการจัดประเพณีโคมลอยไหมค่ะอยากกลับไปเที่ยวจังเลยค่ะ
เท่าที่ทราบเป็นประเพณีที่ต้องทำทุกปีค่ะ เพราะเป็นงานที่น้องใหม่ปี 1 ของแม่โจ้ จะต้องมาเดินขบวนในงานด้วยค่ะ ส่วนพี่ๆ ก็ทำซุ้มขายอาหาร ลูกชิ้น ของปิ้งของย่าง แต่ก็มีอาหารอื่นๆ ด้วยค่ะ ลองมาเที่ยวดูนะค่ะ รับประกันความประทับใจ อ้อ....กล้องที่เอามาเตรียมแบตเตอรี่และความจุมาเยอะๆนะค่ะ ภาพบางภาพถ่ายเป็นวิดีโอจะสวยกว่าค่ะ