ได้อ่านหนังสือ "พูดจาภาษาไทย" ของ รศ.ดร.นิตยา กาญจนะวรรณ ท่านเขียนเกี่ยวกับภาษาลูกครึ่งไว้ ขอนำมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้
“การเรียนรู้ภาษาของมนุษย์ ส่วนหนึ่งเกิดจากการเลียนแบบและการเรียนรู้ เด็กทารกเลียนแบบจากพ่อแม่และคนใกล้ชิด แล้วก็เกิดการเรียนรู้ ต่อมาเลียนแบบและเรียนรู้ต่อในโรงเรียน มหาวิทยาลัย และสังคมรอบตัวทำให้รู้ภาษาแตกฉานขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ เด็กจะสามารถเลียนแบบและเรียนรู้ได้ซาบซึ้งเร็วกว่าผู้ใหญ่ พ่อแม่ที่จำเป็นต้องปล่อยให้ลูกอยู่บ้านกับพี่เลี้ยง คงต้องเลือกพี่เลี้ยงที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกด้วย พ่อแม่บ้างคนบ่นแปลกใจว่า พ่อแม่ก็พูดจาอ่อนหวาน มารยาทงาม ทำไมลูกจึงพูดจาโฮกฮาก ไม่มีหางเสียง กริยามารยาทก็ตึงตังโครมคราม ดู ๆ ทำไมเหมือนคนใช้นัก ก็ควรพิจารณาดูได้แล้วว่าลูกกำลังเลียนแบบใคร
นายทหารท่านหนึ่งจำเป็นต้องปล่อยลูกไว้กับทหารรับใช้ พอขับรถกลับถึงบ้าน ใจหายวาบที่เห็นลุกนั่งจ๋องอยู่เชิงบันได ท่าเดียวกับทหารรับใช้ที่นั่งอยู่บนหัวบันไดเปี๊ยบเลย ลูกคนนี้พูดจาขึงขัง เอะอะ แถมยังชอบกินข้าวเหนียวอีกด้วย
สำหรับผู้ใหญ่นั้นเรื่องไวยากรณ์ออกจะซึมทราบเข้าไปได้ยากหน่อย ถ้าไม่ได้เรียนอย่างถูกวิธี แต่พอจะจำคำบางคำมาใช้ บางท่านอาจจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า
"วัน ฮันเดด ไอ โน โก ทู ฮันเดด ไอ โก"
หรือ "วัน คา โก วัน คา คำ ทู คา โครม"
เด็กไทยที่พ่อแม่ไปทำงานต่างประเทศ ไปโรงเรียนอนุบาลกับเด็กฝรั่ง ก็มีคำพูดแปลก ๆ เวลาอยากได้ช้อนคันใหญ่ว่า "ไอ ว้อน อะ บิ๊ก ช้อน"
คุณแม่ชาวไทยที่มีสามีฝรั่ง ไปอยู่ต่างประเทศเล่าถึงพัฒนาการทางภาษาของลูกสาววัยอนุบาลว่า บางวันก็แทบจะเลอะเทอะ เพราะกว่าครูจะเข้าใจ ก็แม่หนูบอกครูว่า
"ไอ ว้อน ทู ขี้ "
และคุณแม่คนเดียวกันก็เล่าอย่างภูมิใจว่าลูกสาวมีพัฒนาการทางภาษาดีขึ้น เพราะลูกสาวตัวน้อยบอกว่า
"ไอ ว้อน ทู ขี้ แตก " ฮา
เด็ก ๆ เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมที่อยู่ใกล้ตัว โดยเฉพาะพ่อแม่หรือคนรอบข้าง เด็ก ๆ จึงเลียนแบบพฤติกรรมของบุคคลที่เขาชอบ ฉะนั้นผู้ใหญ่จึงควรเป็นแบบอย่างที่ดีมากกว่าคำสอน...จริงเปล่า..
สวัสดีค่ะคุณ naree suwan
สวัสดีค่ะครูมณี